ตอนที่ 269 ทำความดีไถ่โทษ

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 269 ทำความดีไถ่โทษ

“จุดประสงค์ที่องครักษ์จินอู่จับท่านก็คงเป็นเพราะสงครามทางตะวันตกเฉียงเหนือ พวกเขาจะใช้ท่านบังคับให้ท่านโหวกว่างหนิงยอมจำนน โจมตีกองกำลังซีหยงอย่างเต็มกำลัง ฮึ…”

หลิงฉางจื้อพูดถึงตรงนี้ก็ยิ้มเสียดสีออกมา

จากนั้นเขาก็พูดต่อ “ราชสำนักกับฝ่าบาทล้วนอยากให้ท่านโหวกว่างหนิงสู้รบจนตัวตาย แม้ทหารโยวโจวตายหมดก็ไม่สำคัญ เพียงแค่กองกำลังซีหยงจะเดินทัพลงใต้ต่อไม่ได้ เข้าใกล้เมืองหลวงไม่ได้ ตายหมดก็คุ้มค่า

แต่ท่านโหวกว่างหนิงย่อมไม่ยอมสูญเสียที่สาหัสเพียงนี้ พี่อวิ๋นฉวนเองก็ไม่ยอม ข้าขอถาม คุณหนูสี่จะยอมหรือ นางยอมที่จะทนเห็นทหารโยวโจวตายจนหมดสิ้น มองพี่ชายของนาง เยียนอวิ๋นถงนำทัพสู้รบกับกองกำลังซีหยงสามวันสามคืน?”

“ดังนั้นพี่ฉางจื้อจึงแนะนำให้ข้าขอความช่วยเหลือจากน้องสี่?”

หลิงฉางจื้อพยักหน้าระรัว “หากมองจากผลประโยชน์ส่วนตัว เยียนอวิ๋นเกอย่อมไม่มีทางเห็นท่านตกอยู่ในมือขององครักษ์จินอู่”

“แต่นางก็อาจไม่ยอมคุ้มกันข้าออกจากนครบาล นางสามารถกักขังข้าเอาไว้ หรือสังหารข้า”

เยียนอวิ๋นฉวนเคยคิดนับครั้งไม่ถ้วน หากวันหนึ่งเขากลายเป็นศัตรูกับบ้านใหญ่ เยียนอวิ๋นเกอจะฆ่าเขาหรือไม่

เวลานี้มีโอกาสที่ดีวางอยู่ตรงหน้า นางจะอดทนไหวหรือ

หลิงฉางจื้อยิ้ม “คุณหนู่สี่จะฆ่าท่านหรือไม่คงต้องพนันกันสักตั้ง แต่ข้าคิดว่านางไม่ฆ่าท่าน”

“เพราะเหตุใด”

“เพราะหากนางฆ่าท่าน ถึงแม้จะกลบเกลื่อนร่องรอยไม่ถูกคนสืบพบ แต่ทางท่านโหวกว่างหนิงบิดาของท่านไม่ต้องการหลักฐาน เขาแค่มีความสงสัยก็เพียงพอที่จะทำให้เยียนอวิ๋นถงตกอยู่ในสถานการณ์ไม่มีทางที่จะฟื้นคืนได้ตลอดไป ข้าขอถาม เยียนอวิ๋นเกอนางกล้าเสี่ยงหรือ ท่านโหวกว่างหนิงบิดาของท่านไม่ใช่คนที่มีเมตตานัก”

เยียนอวิ๋นฉวนพยักหน้าระรัว

ใช่ ทั้งสองฝ่ายต่างมีจุดอ่อนและมีหลักฐานของอีกฝ่าย

วิธีที่ดีที่สุดคือการประคองความสัมพันธ์ในเวลานี้เอาไว้ ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

เพียงแต่เขายังคงมีความลังเลเล็กน้อย

หลิงฉางจื้อพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักขึ้น “พี่อวิ๋นฉวน เวลาที่ควรตัดสินใจย่อมต้องตัดสินใจ อย่าได้ลังเลจนพลาดโอกาสที่ดีที่สุดไปเด็ดขาด”

เยียนอวิ๋นฉวนลูบหน้า “ขอบพระคุณพี่ฉางจื้อที่ตักเตือนด้วยความหวังดี ข้าจะหาวิธีส่งจดหมายไปให้น้องสี่”

หลิงฉางจื้อรับหน้าที่นี้เอง “ข้าช่วยท่านส่งจดหมายได้ พี่อวิ๋นฉวนพักอย่างสบายใจ รอทางคุณหนูสี่มีจดหมายตอบกลับมา หลังจากที่ทุกอย่างจัดการเรียบร้อยแล้วก็จะส่งพี่อวิ๋นฉวนออกจากเมืองหลวง”

“ขอบพระคุณอย่างยิ่ง”

เยียนอวิ๋นฉวนลุกขึ้นโน้มตัวแสดงความขอบคุณอย่างจริงจัง

หลิงฉางจื้อแกว่งจอกสุรา “พี่อวิ๋นฉวนไม่โทษข้าที่รั้งท่านไว้ในเมืองหลวงเวลานั้นก็พอ!”

“ข้าย่อมไม่โทษพี่ฉางจื้อ ท่านเพียงเสนอความเห็นให้ข้า คนที่ตัดสินใจจริงๆ ยังคงเป็นตัวข้าเอง ผลที่ตามมาทั้งหมด ข้าก็ควรแบกรับไว้เพียงผู้เดียว”

“พี่อวิ๋นฉวนมีคุณธรรม!”

หลิงฉางจื้อยกจอกสุราขึ้นดื่มให้เยียนอวิ๋นฉวน

ทั้งสองต่างสบตากันแล้วยิ้ม แสดงท่าทีแห่งความหวงแหนซึ่งกันและกัน

หลิงฉางจื้อถามขึ้น “หลังจากที่พี่อวิ๋นฉวนกลับไปถึงโยวโจวได้อย่างราบรื่น ท่านมีแผนการในอนาคตอย่างไร”

เยียนอวิ๋นฉวนตอบ “ข้าย่อมต้องกลับเข้าสู่กองทัพอีกครั้ง”

หลิงฉางจื้อได้ยินจึงหัวเราะ “ภายใต้สถานการณ์สงครามบ่อยครั้ง ท่านเข้าร่วมกองทัพย่อมต้องเกิดความขัดแย้งกับเยียนอวิ๋นถง หลังจากพี่อวิ๋นฉวนกลับไปแล้ว ลองไตร่ตรองไปทำงานที่สำนักราชการท้องถิ่นเสียดีกว่า”

เยียนอวิ๋นฉวนผงะไป “เข้าสำนักราชการท้องถิ่น?”

เขาอยากเป็นขุนนางในเมืองหลวง ไม่เคยคิดที่จะเป็นขุนนางท้องถิ่น อีกทั้งยังเป็นสำนักราชการท้องถิ่นที่ต้องฟังคำสั่งจากผู้อื่น

แต่ว่าเมื่อลองครุ่นคิดดู ความคิดนี้ก็ดูเข้าท่าไม่น้อย

หลิงฉางจื้อพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านเข้าสำนักราชการท้องถิ่นย่อมกอบกุมอำนาจทางการทหารได้เช่นเดียวกัน อีกทั้งยังสามารถแทรกแซงส่วย เสบียง สิ่งของจำเป็นสำหรับกองทัพ…นอกจากนี้ยังสามารถได้รับความเชื่อใจจากเยียนอวิ๋นเกอ ทำให้นางเห็นถึงความจริงใจของท่าน คราวนี้ท่านถูกบีบบังคับจนหมดหนทางจึงต้องกลับโยวโจว ท่านไม่คิดจะแย่งชิงกับเยียนอวิ๋นถง อีกอย่าง เวลานี้พี่อวิ๋นฉวนตัวคนเดียว แม้แต่เรื่องหมั้นหมายยังไม่ลงตัว จะแย่งชิงก็คงแย่งไม่ได้”

คำพูดนี้ช่างทำให้คนรู้สึกเสียใจ

เยียนอวิ๋นฉวนก็อยากแต่งงาน แม้แต่ในฝันก็อยาก

เขามองหลิงฉางจื้อตาปริบๆ

หลิงฉางจื้อยิ้มอย่างรู้ทัน “พี่อวิ๋นฉวนไม่ต้องรีบ สิ่งที่ควรเป็นของท่านย่อมต้องเป็นของท่าน อย่างไรก็ตาม ท่านกำลังจะออกจากเมืองหลวง เวลานี้ไม่เหมาะสมกับการพูดเรื่องแต่งงาน”

เยียนอวิ๋นฉวนเข้าใจ

เรื่องหมั้นหมายของเขาล่าช้ามานานเพียงนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถบ่นได้

ทำได้เพียงถอนหายใจ

องครักษ์จินอู่ค้นหาทั่วเมือง สองวันผ่านไปยังคงไร้วี่แววของเยียนอวิ๋นฉวน

ฮ่องเต้หย่งไท่ทรงกริ้ว

เขาชี้หน้าต่อว่าหัวหน้าองครักษ์จินอู่เจิ้งกัง “ไร้ประโยชน์! โง่เขลา! แค่จับคนยังจับไม่ได้ เก็บเจ้าไว้จะมีประโยชน์อันใด!”

“กระหม่อมมีความผิด ขอฝ่าบาททรงลงโทษ!”

หัวหน้าองครักษ์จินอู่เจิ้งกังคุกเข่าอยู่บนพื้นยอมรับความผิด

“แค่กๆๆ…”

ฮ่องเต้หย่งไท่โกรธจนกระแอมไอระรัว

ซุนปังเหนียนกังวลอย่างมาก เขารีบยกยามาปรนนิบัติฮ่องเต้หย่งไท่

“ฝ่าบาททรงระงับความโกรธ! หมอหลวงกำชับไว้ ฝ่าบาทต้องทรงงดความหงุดหงิด อย่าได้ทรงมีอารมณ์โกรธมาก ฝ่าบาทต้องทรงรักษาพระวรกายนะพ่ะย่ะค่ะ! พระราชวังไม่มีฮ่องเต้ไม่ได้ ราชสำนักไม่มีฮ่องเต้ไม่ได้ แผ่นดินต้าเว่ยยิ่งไม่มีฮ่องเต้ไม่ได้”

ฮ่องเต้หย่งไท่ได้ยินจึงหัวเราะเสียงเย็น

เขาหยุดไป พลันเอ่ยเสียดสี “เกรงว่ามีคนไม่น้อยภาวนาให้ข้ารีบตาย จะได้สละตำแหน่งให้คนด้านหลัง”

“ฝ่าบาททรงระงับความโกรธ!”

ซุนปังเหนียนอกสั่นขวัญแขวน เขาคุกเข่าอยู่บนพื้นไม่กล้าขยับเขยื้อน

ฮ่องเต้หย่งไท่กวาดตามองเขา พูดด้วยเสียงเรียบเฉย “ลุกขึ้นมาเถิด! ข้าไม่ได้หมายถึงเจ้า เจ้ากลัวอันใด”

ซุนปังเหนียนลุกขึ้นมาจากบนพื้นด้วยใบหน้าที่เปื้อนน้ำตา

เขาสะอึกสะอื้น “กระหม่อมเป็นห่วงฝ่าบาท! พระองค์ประชวรหนักยังต้องทรงเหน็ดเหนื่อยเพื่อบ้านเมือง”

“เฮ้อ! ผู้ใดให้ข้าเป็นโอรสสวรรค์ เป็นเจ้าเป็นนายของแผ่นดินต้าเว่ย ราชสำนักไม่มั่นคง ชายแดนไม่สงบ ราษฎรไม่พอใจ ข้าอยากที่จะผลักภาระ ข้า…”

ฮ่องเต้หย่งไท่พูดต่อไปไม่ไหว ภายในใจเต็มไปด้วยความโศกเศร้า

ฮ่องเต้อย่างเขาช่างยากลำบากเหลือเกิน!

ซุนปังเหนียนซับน้ำตา เสียใจไปพร้อมกับฮ่องเต้

หัวหน้าองครักษ์จินอู่เจิ้งกังที่คุกเข่ารอลงโทษอยู่บนพื้นทั้งกระอักกระอ่วนทั้งหวาดกลัวอย่างมาก

เขาเห็นด้านที่อ่อนแอของฝ่าบาท ฝ่าบาทจะทรงประหารเขาหรือไม่

เวลานี้เขาควรคุกเข่าต่อไป หรือรีบถอยออกไปแล้วถือว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

ในสมองของเขาเต็มไปด้วยความคิดมากมาย แต่ร่างกายยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

“ใต้เท้าเจิ้ง!”

เมื่อฮ่องเต้หย่งไท่ทรงเสียพระทัยอยู่สักพัก ในที่สุดเขาก็สังเกตเห็นเจิ้งกังที่คุกเข่าอยู่บนพื้น

“กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ!” เจิ้งกังทูลตอบเสียงดังฟังชัด แสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณขององครักษ์จินอู่

ไม่ว่าเวลาใด องครักษ์จินอู่ล้วนเป็นสุนัขรับใช้ที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้ที่สุด

ฮ่องเต้หย่งไท่ถามเขา “เวลาสองวันยังไม่อาจสืบหาร่องรอยของเยียนอวิ๋นฉวนได้ เจ้ายากที่จะผลักความรับผิดชอบ แต่เห็นแก่ที่เจ้าช่วยข้าแบ่งเบาความกังวลมาหลายปี ข้าให้โอกาสเจ้าทำความดีไถ่โทษ ไปเชิญท่านหญิงจู้หยางมา ข้าจะพบนาง”

ไม่มีเยียนอวิ๋นฉวน ยังมีเซียวฮูหยิน

ฮ่องเต้ไม่ได้ต้องการเยียนอวิ๋นฉวนเท่านั้น

เมื่อเจิ้งกังได้ยินก็ดีใจ เขาน้อมรับคำสั่งทันที “กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง”

เขาออกจากวังหลวงไปเตรียมกำลังพล มุ่งหน้าไปยังจวนท่านหญิงจู้หยางอย่างรวดเร็ว

เวลานี้ เยียนอวิ๋นฉีกำลังเยี่ยมเยือนเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดาและน้องสี่ เยียนอวิ๋นเกออยู่ในจวนท่านหญิง

“วันนั้นองครักษ์จินอู่รื้อค้นจวนท่านหญิง ตอนที่ข้าได้ข่าวก็สายไปเสียแล้ว โชคดีที่ท่านแม่กับน้องสี่ปลอดภัย”

เซียวฮูหยินหันกลับมาปลอบนาง “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้ากับน้องสี่ของเจ้า กองกำลังซีหยงเดินทัพลงใต้เป็นเวลาที่ตระกูลเยียนต้องออกแรงพอดี ไม่ว่าอย่างไรฮ่องเต้ก็ไม่มีทางทรงทำสิ่งใดในเวลานี้ แต่ทางเจ้า ราชสำนักวุ่นวาย องค์ชายสองได้ทรงเอ่ยสิ่งใดหรือไม่”

สองวันนี้ เซียวฮูหยินก็ไม่อยู่ว่าง นางส่งคนออกไปสืบข่าวจากทุกหนแห่ง

ในที่สุดก็สืบทราบสาเหตุที่แท้จริงที่ฮ่องเต้ต้องการจับเยียนอวิ๋นฉวน

กองทัพซีหยงบุกรุกลงใต้ ฮ่องเต้ทรงคิดจะใช้เยียนอวิ๋นฉวนข่มขู่เยียนโส่วจ้าน บังคับให้เยียนโส่วจ้านยอมจำนน

เซียวฮูหยิน “…”

เฮอะๆ !

ฮ่องเต้ทรงดูถูกเยียนโส่วจ้านเกินไปหรือไม่

ถึงแม้เยียนโส่วจ้านจะโปรดปรานเยียนอวิ๋นฉวนอย่างมาก แต่หากเกี่ยวข้องกับอำนาจทางการทหาร หรือชีวิตของตนเอง เยียนโส่วจ้านก็สามารถทอดทิ้งบุตรชายคนโตอย่างเยียนอวิ๋นฉวนได้อย่างเด็ดเดี่ยว

อย่างมากก็แค่พยายามมีบุตรอีกหลายคน

ฮ่องเต้ยังสามารถทอดทิ้งภรรยาและบุตรในเวลาสำคัญได้ เหตุใดเขาจึงคิดว่าเยียนโส่วจ้านเป็นคนที่มีเยื่อใย

นางพบว่าบางครั้งฮ่องเต้ก็ไร้เดียงสาเสียจริง

เยียนอวิ๋นฉีส่ายหน้าเล็กน้อย พลางพูด “องค์ชายสองไม่ยอมเอ่ยสิ่งใดกับข้า ข้าก็ไม่รู้ความคิดของเขา บางครั้งดูเหมือนเขากังวลกับราชสำนักอย่างมาก แต่บางครั้งก็รู้สึกว่าเขาไม่สนใจราชสำนักแม้แต่น้อย ข่าวการเดินทัพลงใต้ของซีหยงแทบจะส่งไปยังเชื้อพระวงศ์ทุกคนแล้ว ทุกคนต่างถกเถียงต่างต่างนานา มีเพียงจวนองค์ชายสองที่เงียบสงบ ไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องนี้”

“เรื่องประหลาดย่อมมีบางสิ่งผิดปกติ เจ้าคิดว่าองค์ชายสองไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่แน่ว่าเขาอาจมีแผนการลับหลังอยู่ก่อนแล้ว ในเมื่อเขาไม่ยอมบอกความจริงกับเจ้า เจ้าก็ไม่ต้องสืบ”

“ข้าเข้าใจ! ข้าถามเรื่องที่เกี่ยวข้องกับราชสำนักกับเขาน้อยครั้งอย่างมาก เพียงแต่ครั้งนี้เกี่ยวข้องกับท่านแม่และน้องสี่ ข้าจึงเป็นห่วงอย่างยิ่ง”

“ข้ากับน้องสี่ของเจ้าสบายดี เจ้าไม่ต้องกังวล สถานการณ์จะพัฒนาไปทิศทางใด ไม่มีผู้ใดรู้ เจ้าในฐานะสมาชิกราชวงศ์ ต้องดูแลตัวเองให้ดี พยายามอย่าแทรกแซงเข้าไปในราชสำนัก การคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเองก็เป็นอีกหนทางหนึ่ง”

“ข้าจดจำคำสอนของท่านแม่”

เวลานี้ พ่อบ้านเดินเข้ามาจากด้านนอกอย่างเร่งรีบ “รายงานท่านหญิง หัวหน้าองครักษ์จินอู่ ใต้เท้าเจิ้งนำกำลังคนมา ข้าน้อยคิดเห็นว่าพวกเขามาด้วยเจตนาร้าย”

เซียวฮูหยินยังไม่ทันมีปฏิกิริยา เยียนอวิ๋นฉีก็ระเบิดขึ้นก่อน “เจิ้งกังคิดจะทำสิ่งใด ท่านแม่เป็นท่านหญิงที่ฮ่องเต้จงจ้งทรงแต่งตั้งเอง เขาอยากมาก็มา อยากไปก็ไป ไม่จบไม่สิ้น เขาช่างบังอาจนัก ท่านแม่ ให้ข้าออกไปไล่เขาดีหรือไม่ ข้าไม่เชื่อว่าเขากล้าดูหมิ่นพระชายาอย่างข้า”

“ไม่จำเป็น! ในเมื่อเจิ้งกังกล้ามา เขาย่อมมีเหตุผล สู้ฟังเขาพูดก่อนว่าจุดประสงค์ในครั้งนี้เป็นอย่างไร”

เซียวฮูหยินสงบนิ่งอย่างมาก นางกำชับพ่อบ้านให้เชิญหัวหน้าองครักษ์จินอู่เจิ้งกังเข้ามา

เจิ้งกังถูกเชิญเข้าห้องโถง เขากวาดตามองอย่างรวดเร็ว ไม่พบเยียนอวิ๋นเกอ

เยียนอวิ๋นเกอหลบอยู่ที่ใด

นางกำลังถือคันธนูเตรียมยิงเขาอยู่ทุกเวลาใช่หรือไม่

ฝีมือการยิงธนูของเยียนอวิ๋นเกอ เขาเห็นมากับตา

อีกทั้งคนผู้นี้ยังบังอาจสามหาว นางกล้าที่จะยิงธนูใส่ขุนนางราชสำนักจริงๆ

เขากัดฟันกวาดตามองเยียนอวิ๋นฉี “นี่ไม่ใช่พระชายาองค์ชายสองหรือ ไม่คิดว่าจะพบกันในจวนท่านหญิง”

เยียนอวิ๋นฉีทำหน้าบึ้ง “ใต้เท้าเจิ้งมีภารกิจมาก เหตุใดจึงมีเวลามาเยือนจวนท่านหญิง”

เจิ้งกังหัวเราะร่า “พระชายาองค์ชายสองไม่ต้องระแวงข้า ท่านหญิงยิ่งไม่จำเป็นต้องมองข้าเป็นศัตรู วันนี้ข้ามาเพราะมีข่าวดี ฝ่าบาททรงเรียกท่านหญิงเข้าเฝ้า ท่านหญิงเชิญ!”