ตอนที่ 138 กระจ่าง

ฉินเยว่ได้จากไปพร้อมกับสมบัติมากมายที่เป็นของหยางเย่

หยางเย่มองไปตามทางที่นางจากไปอยู่ชั่วครู่ จากนั้นเขาถอนสายตาออกพร้อมมองไปที่ตราคําสั่งในมือ มันเขียนตัวอักษร “เยว่” อยู่ ตราคําสั่งนี้นางเป็นคนมอบให้หยางเย่ เขาต้องมุ่งหน้าไปยังหอเจดีย์ที่เรียกว่าหอจิต นิพพานในเมืองหลวง และเมื่อยื่นตรานี้ออกไป จะมีคนพาเขาไปหานาง

ทันใดนั้น แสงสีม่วงได้ส่องประกายตรงหน้าหยางเย่ นอกจากนั้นหีบดาบล้ําค่าที่อยู่ในบ่อน้ําพลังปราณก่อนหน้าก็ออกมาพร้อมกับมิงค์ม่วงด้วย

“สหาย เหตุใดเจ้าจึงนําหีบดาบล้ําค่าออกมากัน?” หยางเย่เอ่ยถาม

มิงค์ม่วงขยับกรงเล็บ ทําให้ดาบภายในนั้นลอยออกมา หยางเย่ชะงักเมื่อเห็นการกระทําเช่นนั้น จากนั้นดวงตาของเขาได้เปิดกว้าง “ทําไมมันถึงกลายเป็นดาบขั้นสีดําได้?”

เมื่อไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น เขาจึงหยิบดาบมาตรวจดูด้วยตนเอง แต่ไม่ว่าจะตรวจยังไง มันก็เป็นดาบขั้นสีดําระดับต่ํา…

ไม่นาน หยางเย่นําดาบทั้งหมดในหีบดาบล้ําค่าออกมา จากนั้นเขาเห็นว่าดาบอีกยี่สิบเจ็ดเล่มจากสามสิบหกเล่มกลายเป็นขั้นสีดําระดับต่ํากันหมดแล้ว

หยางเย่มองไปที่ดาบก่อนจะอ้าปากค้าง ไม่นานเขาหันไปมองมิงค์ม่วงพร้อมเอ่ย “สหาย มันเกิดอะไรขึ้น?”

เวลานี้ หยางเย่รู้สึกตกตะลึงอย่างยิ่ง หากเขาไม่เคยทดสอบดาบเหล่านี้มาก่อนก็คงคิดว่ามันเป็นขั้นสีดํามาตั้งแต่ต้น

มิงค์ม่วงกะพริบตาก่อนจะชี้กรงเล็บไปที่หน้าท้องหยางเย่

หยางเยู่หัวเราะเล็กน้อย “ข้าทราบว่ามันเป็นเพราะตันเถียนน้ําวน แต่ข้าอยากทราบว่ามันทําได้ยังไง!”

มิงค์ม่วงส่ายหัวเพื่อแสดงว่ามันเองก็ไม่ทราบ

ทันใดนั้นแสงสีขาวได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าหยางเย่ และเป็นหยินฉวนเอ่อที่ออกมา นางมองไปยังหยางเย่ก่อนจะกล่าว “ไม่จําเป็นต้องถามมันให้มากความหรอก เพราะแม้แต่ข้าเองก็ยังไม่ทราบว่าเป็นไปได้ยังไง ข้าทราบแค่ว่าตันเถียนนวนของเจ้านั้นน่าสะพรึงมาก นอกจากจะมีพื้นที่เป็นของมันเองแล้ว มันยังสามารถจัดเก็บสิ่งของและสิ่งมีชีวิตได้ด้วย ยิ่งกว่านั้นพลังปราณทองคําที่มันแปลงมาให้นั้นไม่ใช่พลังปราณทั่วไป ข้าคาดว่าตันเถียนนวนของเจ้าอาจจะไม่ใช่ของโลกใบนี้!”

“มันไม่ใช่ของโลกนี้?” หยางเย่ขมวดคิ้วพร้อมถาม “ท่านหมายความว่ายังไง?”

“สิ่งนั้นอยู่ในตัวเจ้า แต่กลับไม่ทราบต้นกําเนิดของมันเลยหรือ?” หยินฉวนเอ๋อตอบ

หยางเยส่ายหัว “ข้าไม่ทราบจริง ๆ ข้าสังเกตเห็นมันไม่นานมานี้เอง และยังรู้สึกว่ามันเติบโตไปพร้อมกับตัวข้า เหมือนว่ามันจะความรู้สึกนึกคิดเองด้วย เพราะข้าเคยพยายามสนทนากับมันมาก่อน ถึงแม้มันจะไม่เอ่ยสิ่งใด แต่ก็พอทราบว่ามันมีสตินึกคิดแน่นอน!”

หยินฉวนเอ๋อเงียบไปครู่หนึ่ง “วัตถุอัศจรรย์นั้นมีอยู่ทั่วฟ้าบนดิน บ้างก็มีสตินึกคิดเป็นของพวกมันเอง เมื่อมันเลือกเจ้าเป็นเจ้าของ เช่นนั้นจะต้องมีบางอย่างในตัวเจ้าที่ดึงดูดมัน สําหรับต้นกําเนิดนั้นช่างมันเถอะ เพราะไม่ว่ายังไง มันจะเติบโตไปพร้อมกับความแข็งแกร่งของเจ้า ในอนาคตเจ้าคงหาคําตอบได้แน่นอน!”

“ข้าคงทําได้เพียงแค่นั้นแหละ!” หยางเยฝันหัวเราะ

ทันใดนั้นหยินฉวนเอ๋อได้กล่าวขึ้น “เจ้ายังจําได้หรือไม่ว่าข้านําองครักษ์ทั้งสิบสองมาด้วย!”

เห็นว่ามันมีประโยชน์อย่างมากกับทั้งคนและสัตว์อสูร!”

หยางเย่ครุ่นคิดอย่างหนักก่อนจะเอ่ย “ข้าสามารถขอความช่วยพวกเขาได้หรือไม่หากตกอยู่ในอันตราย?”

“มันจะดีกว่าหากเจ้าไม่รนหาที่ที่อันตราย และถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น มันก็ดีกว่าที่จะขอให้ข้าหรือองครักษ์ทั้งสิบสองมาช่วย!” หยินฉวนเอ่อกล่าวอย่างเย็นชา

หยางเย่สับสบ “ทําไมกัน?”

“เจ้าน่าจะทราบว่าดีว่ามหาอํานาจเหล่านั้นได้ล้างบางราชวงศ์ชางไปเมื่อหลายปีก่อน หากพวกเขาพบว่าข้ากับองครักษ์ทั้งสิบสองยังอยู่ เช่นนั้นเชื่อเถอะ เจ้าจะได้รับการตั้งค่าหัวอย่างเหมาะสมจากจักรวรรดิต้าฉันแน่นอน!” หยินฉวนเอ๋อกล่าวอย่างเย็นชา

“จริงหรือ?” หยางเย่ค่อนข้างสับสนเล็กน้อย “มันผ่านมานานหลายปีแล้ว เหตุใดหกมหาอํานาจยังจะมาสนใจองค์หญิงอย่างเจ้าล่ะ? พวกเขาคงไม่ใจแคบขนาดนั้นหรอกกระมั้ง?”

“การตัดรากถอนโคนยังไงล่ะ เจ้าไม่เข้าใจกฎนี้เลยหรือไง?” ประกายเย็นเยือกปรากฏผ่านมุมปากของหยินฉวนเอ๋อ “หากเจ้านักพรตไม่ใช่วิชาลับศักดิ์สิทธิ์ผนึกข้าไว้ในโลงศพ ป่านนี้ข้าคงกลายเป็นเศษดินไปแล้ว!”

หยางเย่ลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “แม่นางหยิน บิดาท่านตั้งใจอยากให้ท่านลืมความเกลียดชังที่มีก่อนเขาจะจากไป และข้าก็เห็นด้วยกับความตั้งใจนั้น เพราะด้วยความแข็งแกร่งตอนนี้ของท่าน ถึงแม้จะสิบสององครักษ์อยู่ด้วย ท่านก็ไม่สามารถต่อกรกับหกมหาอํานาจได้หรอก”

ถึงแม้เขาจะไม่ชอบสตรีนางนี้ แต่เขาก็รู้สึกว่าต้องให้คําแนะนํานาง เพราะเขาได้รับการช่วยเหลือจากจักรพรรดิโจวมาก่อน!

“หากมีใครสักคนมาสังหารครอบครัวของเจ้า และทําให้เจ้าต้องลงไปนอนอยู่ใต้ดินนับร้อย ๆ ปี เจ้าจะไม่คิดเคียดแค้นสินะ?” หยินฉวนเอ๋อถามด้วยน้ําเสียงเย็นชา

“ช่างเถอะ มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะเกลี้ยกล่อมนางให้เลิกแก้แค้น’ หยางเย่ยักไหล่ “เมื่อแม่นางหยินคิดจะแก้แค้น เช่นนั้นก็คงไม่ดีหากข้าจะเกลี้ยกล่อมต่อ ข้าแค่ต้องการจะบอกว่า ท่านไม่ควรทําการสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับหกมหาอํานาจระหว่างหนึ่งปีที่พวกเราตกลงกัน กล่าวตามตรงข้าไม่ต้องการถูกไล่ล่าโดยหกมหาอํานาจ!”

“อย่ากังวลไปเลย ข้าจะไม่ทําอะไรแน่นอนแม้เจ้จะขอให้ข้าทํา!”หยินฉวนเอ๋อกล่าว “จุดประสงค์เดียวที่ข้ามีคือบรรลุขั้นปราณจุติและเพิ่มอายุขัย

ทันที่ที่กล่าวจบ นางไม่คิดจะอยู่ต่อพร้อมพุ่งเข้าไปในตัวหยางเย่

มิงค์ม่วงเองก็คิดจะกลับเข้าไปเช่นกัน เพราะมันยังไม่เชื่อใจนาง ทันใดนั้นหยางเยได้เข้ามากอดมิงค์ม่วง พร้อมเอ่ย “อย่าเพิ่งเข้าไปในนั้น เจ้าไปกับข้าก่อน ข้าไม่อาจไปที่นั่นได้หากไม่มีเจ้า!”

ทันทีที่กล่าวจบ ร่างของเขาพุ่งไปยังหุบเหวมรณะ

เมื่อมาถึงยังขุนเขาไม่สิ้นสุด เขาก็คิดจะกลับไปยังหุบเหวมรณะเพื่อพบกับชายชราลึกลับคนนั้นอีกครั้ง สําหรับเหตุผลคงเพราะเขาหวังว่าชายชราจะมอบเคล็ดวิชาที่ไม่ด้อยไปกว่าวิชาควบคุมดาบให้อีก…

ขณะอยู่ใต้หุบเหวมรณะ หยางเยยี่สีหมอกวิ่งไปยังทางที่อยู่ของชายแก่ปริศนา ตลอดทางเขาเงยหน้ามองรอบด้าน แต่ก็ไม่เห็นสิ่งใดนอกจากหมอกสีม่วง

หยางเย่รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยเมื่อมาถึงที่นี่อีกครั้ง เพราะนกรัตติกาลที่เป็นสัตว์อสูรทมิฬระดับแปดยังทําให้เขากลัวอยู่นั้นเอง ถึงแม้จะมีสหายตัวจ้อยอยู่ด้วย แต่เขาก็ยังรู้สึกชาหนังศีรษะขณะนึกถึงฝูงนกรัตติกาลในวันนั้น

โชคดีที่ไม่มีนกรัตติกาลปรากฏแม้แต่ตัวเดียว และเขายังมาถึงที่พักของชายชราลึกลับอย่างปลอดภัย

“ผู้อาวุโส ข้าน้อยหยางเย่ขอรบกวน!” หยางเยโค้งคํานับอยู่หน้ากระท่อมก่อนจะกล่าวด้วยความเคารพ

ในเวลาไม่นาน ประตูกระท่อมได้ถูกเปิดออกอย่างช้า ๆ จากนั้นชายชราได้เดินออกมาพร้อมไม้เท้าในมือ

ชายชรามองไปที่หยางเย่ก่อนจะเผยประกายแห่งความประหลาดใจออกมา ไม่นานรอยยิ้มได้ปรากฏบน ใบหน้าที่ปกคลุมไปด้วยรอยเหี่ยวย่น “ไม่เลว ไม่เลว เจตจํานงแห่งดาบระดับสอง และยังมีดาบแห่งการรู้แจ้งด้วย ดูเหมือนเจ้าจะได้บรรลุความสําเร็จนี้ด้วยเวลาอันสั้น ช่างเป็นพรสวรรค์ที่ฟ้าประทานให้โดยแท้จริง!”

“ดาบแห่งการรู้แจ้ง?” หยางเย่ชะงักไปครู่หนึ่ง เขาทราบว่าเจตจํานงแห่งดาบอยู่ระดับที่สองแต่สงสัยว่าดาบแห่งการรู้แจ้งคืออะไร

ชายชราชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นเขาพยักหน้าพร้อมกล่าว “ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่ทราบสินะ นอกจากเจตจํานงแห่งดาบแล้ว เจ้าสามารถบรรลดาบแห่งการรู้แจ้งได้ด้วย กล่าวอย่างจริงจังคือการบรรลดาบแห่งการรู้แจ้งนั้นยากกว่าเจตจํานงแห่งดาบมาก หรือกล่าวได้เช่นนี้ ผู้ที่สามารถบรรลดาบแห่งการรู้แจ้งจะสามารถใช้เจตจํานง แห่งดาบได้ แต่ผู้ที่มีเจตจํานงแห่งดาบมาก่อนอาจจะไม่สามารถบรรลดาบแห่งการรู้แจ้งได้เลย!”

“ผู้อาวุโส ท่านบอกว่าข้ามีดาบแห่งการรู้แจ้งงั้นหรือ?” หยางเย่เอ่ยถามอย่างงุนงง เพราะตอนจักรพรรดิโจว เขาไม่ได้บอกว่าหยางเยมีดาบแห่งการรู้แจ้ง เขาเพียงอธิบายเกี่ยวกับเจตจํานงแห่งดาบเท่านั้น “เช่นนั้นข้าขอถามผู้อาวุโสได้หรือไม่ว่ามันคืออะไร?”

ชายชรายิ้ม “ดาบแห่งการรู้แจ้งก็ไม่ต่างกับเจตจํานงแห่งดาบ มันเหมือนกับขั้นพลัง ดาบแห่งการรู้แจ้งจะ ทําให้ผู้ฝึกฝนวิชาดาบแข็งแกร่งยิ่งขึ้น พลังบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น และผู้ที่มีมันจะไม่ถูกล่อลวงโดยสิ่งมายา ทั้งยังสามารถมองทะลุถึงแก่นแท้ของสรรพสิ่งได้! ตามคําที่เขาลือในโลกนี้ว่าการโจมตีเพียงครั้งเดียวก็สามารถทําลายทุก เคล็ดวิชาได้ แต่คําลือนั้นไม่ได้เอ่ยถึงผู้ฝึกฝนที่บรรลดาบแห่งการรู้แจ้ง เพราะผู้มีดาบแห่งการรู้แจ้งจะสามารถ เข้าใจแก่นแท้ของทุกวิชาในโลกนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถทําลายมันได้เพียงการโจมตีครั้งเดียว กล่าวโดยง่ายคือเมื่อเจ้าต่อสู้กับใครสักคนในอนาคต เจ้าจะค้นหาข้อบกพร่องและจุดอ่อนได้ไม่ยาก!”

หยางเย่เข้าใจในทันที่พลางคิดในใจ ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเราถึงเห็นภาพลวงตาในสสานจักรพรรดิโจว ทั้งยังสามารถเห็นจุดอ่อนของมันด้วย มันเป็นเพราะเรามีดาบแห่งการรู้แจ้งนี้เอง…’