ตอนที่ 139 ชายชราใต้หุบเหว!

ชายแก่มองหยางเย่พร้อมกล่าว “มีเหตุผลอะไรหรือที่มาหาข้าเวลานี้?”

หยางเย่ลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “ผู้อาวุโสข้าสงสัยว่าเหตุใดท่านถึงเอาวิชาดาบให้ข้าวันนั้น!”

หยางเย่ไม่เชื่อว่าจะมีของวิเศษตกมาจากฟ้าให้โดยไม่มีเหตุผล และถึงจะตกมันก็ไม่น่าจะเป็นเขา

ชายชราหลังค่อมหัวเราเบา ๆ “เจ้าทราบหรือไม่? ตอนที่เจ้ากับแม่หนูนั้นมาถึงที่นี่ ข้าคิดจะสังหารพวกเจ้าทั้งสองทิ้ง เพราะข้าไม่ต้องการให้ผู้ใดหรือใครทราบว่าข้าอยู่ที่นี่ แต่ทราบหรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงเปลี่ยนใจและมอบของวิเศษและวิชาให้แทน?”

หยางเยถึงกับเหงื่อตกเมื่อได้ยินชายชรา งั้นวันนั้นเขาก็คิดจะสังหารเรากับซชิงฉือสินะ หากทําจริง พวกเราคงไม่รอดแน่นอน

หยางเยถามอย่างสงสัย “ทําไมกัน?”

ชายชราเงยหน้ามองท้องฟ้า ทันใดนั้นเขาเอ่ยขึ้น “มีคนหลายประเภทที่มักจะทําตามสิ่งที่พวกเขาต้องการ เมื่อมีความแข็งแกร่งอยู่ระดับหนึ่ง และมันก็บังเอิญเป็นข้า เหตุผลที่ข้าไม่สังหารเจ้าในวันนั้น เพราะข้าไม่สามารถเห็นอนาคตคงเจ้าได้ ใช่ อนาคตของเจ้านั้นวุ่นวายและซับซ้อนไปหมด มันทําให้ข้าสงสัยอย่างมาก!”

“เห็นอนาคตของเรา? หยางเย่ตกตะลึงพร้อมเอ่ย “ผู้อาวุโสสามารถเห็นอนาคตได้งั้นหรือ?”

หากใครก็ตามที่สามารถเห็นอนาคตได้ เช่นนั้นความแข็งแกร่งของเขาจะต้องน่าสะพรึงอย่างมาก..

ชายชราส่ายหัว “อนาคตที่ข้ากล่าวถึงคือเรื่องดีหรือเรื่องร้ายของคน ๆ หนึ่ง หาได้ใช่อนาคตที่เขาจะทําไม่ ทําไมคนเราต้องการอยากทราบอนาคตของผู้อื่นล่ะ? อาจไม่มีใครในโลกนี้ที่สามารถทําเช่นนั้นได้หรอก แต่เมื่อยอดฝีมือขั้นปราณจักรพรรดิสามารถสัมผัสกับโชคชะตาของตนเองได้แล้ว เช่นนั้นเขาจะสามารถกําหนดอนาคตของคนอื่นว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้ายในอนาคตได้เช่นกัน”

“งั้นขั้นพลังของผู้อาวุโสคือ…?” หยางเยถามอย่างระมัดระวัง เพราะเขาสงสัยในเรื่องความแข็งแกร่งของชายชราอย่างมาก

ชายชรายิ้ม “กล่าวอย่างนี้ดีกว่า หากข้าต้องการสังหารใครสักคนในเขตแดนใต้ ถึงแม้ข้าจะออมแรงสุด ๆ มันผู้นั้นก็ไม่อาจรอดจากความตาย”

หัวใจหยางเยู่เต้นรัวเมื่อได้ยิน จากนั้นเขารีบโค้งคํานับพร้อมกล่าว “ผู้อาวุโส ข้ามีบางอย่างจะขอร้องท่าน!”

หากชายชราสามารถช่วยเขาได้ เช่นนั้นราชวังบุปผาเองก็คงต้องยอมประนีประนอม ดังนั้นเขาจึงไม่อยากปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไป

ความอยากรู้อยากเห็นปรากฏผ่านดวงตาชายชราก่อนจะเอ่ยถาม “ว่ามา”

หยางเย่รู้สึกดีใจ จากนั้นเขาบอกชายชราว่าเกิดอะไรขึ้นกับมารดา

ผ่านไปชั่วครู่ชายชราส่ายหัวพร้อมเอ่ย “ข้าขอปฏิเสธ”

ใบหน้าหยางเย่มืดดําทันที่ที่ได้ยินเช่นนั้น แต่เขายังไม่คิดที่จะยอมแพ้ “ถึงแม้มันจะหยาบคาย แต่ขาต้องขอถามหน่อยว่าทําไม?”

ชายชรามองหยางเย่ “เจ้าหนู เจ้ามีความสามารถที่ร้ายกาจ ไม่เพียงแค่เจตจํานงแห่งดาบ เจ้ายังมีดาบแห่งการรู้แจ้ง แต่เจ้ายังอยู่เพียงแค่ขั้นปราณสวรรค์ เหตุผลก็เพราะอ่อนซ้อม อย่าบอกข้าว่าเจ้าประสบกับความยากล่าบากในชีวิต เพราะในความคิดข้า ความลําบากของเจ้านั้นแทบไม่เรียกว่าความลําบากด้วยซ้ํา อย่ากล่าวให้มากความ ดูอย่างบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งสํานักดาบ เจ้าทราบหรือไม่หลายร้อยปีก่อน ครอบครัวของถูกสังหาร แขนขวาของเขาถูกตัดขาด และยังถูกทรมานจากศัตรูอีกนับสิบปี? แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้กับเรื่องทั้งหมด ความมุ่งมั่นของเขาแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ และฝึกฝนอย่างพากเพียรจนถึงขั้นสุดยอด เจ้าทราบผลลัพธ์อยู่แล้ว จากนั้น เขาก็มีอํานาจและยิ่งใหญ่ที่สุดในเขตแดนใต้ เจ้าคิดยังไงหากเปรียบกับความลําบากที่เจ้าประสบล่ะ?”

หยางเย่ส่ายหัวพร้อมยิ้มอย่างขมขึ้น เพราะชายชราเอาเขาไปเปรียบกับบรรพบุรุษของสํานักดาบราชัน และก็ไม่ทราบว่าควรรู้สึกเป็นเกียรติหรือโมโห

“ข้าปฏิเสธไม่ใช่เพราะข้าอยากให้เจ้าลําบากเหมือนบรรพบุรุษสํานักดาบ เหตุผลที่แท้จริงคือข้าไม่อาจออกจากสถานที่แห่งได้ นอกจากนั้นให้ข้าบอกเจ้าอีกอย่าง มันเป็นการดีที่สุดที่เจ้าจะพยายามด้วยตนเอง เพราะมีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่จะทําให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นได้” ชายชรากล่าว

หยางเยโค้งคํานับ “ข้าเข้าใจแล้ว!”

อันที่จริงหยางเย่เข้าใจสิ่งที่ชายชราต้องการจะสื่อ แต่หากการขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นเพื่อช่วยให้มารดาของตนเองเจ็บปวดน้อยลงล่ะ? ตอนนี้เขาไม่สามารถฝากความหวังไว้กับชายชราได้แล้ว ท้ายที่สุดเขาก็ต้องพึ่งพาตนเองอยู่ดี!

ทันใดนั้นชายชราได้เอ่ยขึ้น “ถึงแม้ข้าจะไม่สามารถออกไปช่วยมารดาเจ้าได้ แต่ข้าจะชี้แนะเจ้าเอง!”

หยางเย่รู้สึกดีใจ จากนั้นเขารีบเอ่ย “ขอบคุณผู้อาวุโส!”

ตอนนี้สิ่งเขาต้องการที่สุดคือคําแนะนําจากอาจารย์ที่ดี เพราะไม่ว่าจะวิชาดาบ หรือเจตจํานงแห่งดาบ เขาก็ต้องทําความเข้าใจและศึกษามันเองอย่างช้า ๆ

“อย่ารีบร้อนขอบคุณข้า!” ชายชรากล่าว “ในวันนั้น ข้าบอกว่าให้เจ้ากลับมาตอนอยู่ขั้นปราณจักรพรรดิ เจ้ายังจําได้หรือไม่?”

“แน่นอนว่าข้าจําได้!” หยางเย็พยักหน้า

ชายชรากล่าวต่อ “แต่เดิมที่ข้าบอกแบบนั้นไป เพราะข้าก็ไม่ได้คิดว่าเจ้าจะทําได้อย่างจริงจังเท่าไหร่ เพราะมันยากที่จะทําสําเร็จ อย่าว่าแต่จะสามารถบรรลุขั้นปราณจักรพรรดิได้ เจ้าอาจทําไม่ได้เลยด้วยซ้ํา แต่ตอนนี้ เจ้ามีเจตจํานงแห่งดาบ และดาบแห่งการรู้แจ้ง ข้ารู้สึกว่าเจ้ามีโอกาสขึ้นมาบ้าง”

“อันที่จริงตอนนั้นข้าเองก็ตกลงแบบไม่เป็นทางการ ทั้งยังไม่ค่อยเก็บมันไว้ในความทรงจําเท่าไหร่!“หยางเย่กล่าวอย่างเขินอาย “เพราะขั้นปราณจักรพรรดินั้นอยู่ไกลเกินกว่าที่ข้าคาดไว้ ยิ่งกว่านั้น ชีวิตเรามีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน บางทีข้าอาจจะไม่อยู่บนโลกนี้ในวันพรุ่งนี้”

“เจ้าช่างตรงไปตรงมาดี!” ชายชรายิ้มก่อนจะกล่าวอย่างจริงจัง “หากเจ้าสามารถบรรลุขั้นปราณจักรพรรดิได้ ในอนาคตได้ ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถช่วยข้าทําบางสิ่ง สําหรับจะทําอะไรนั้น ข้าจะบอกอีกครั้งเมื่อบรรลุขั้นปราณจักรพรรดิแล้ว แน่นอนสําหรับสิ่งตอบแทน ข้าจะชี้แนะเจ้าให้กลายเป็นยอดฝีมือโดยเร็วที่สุด”

หยางเย่เงียบไปชั่วครู่ หากเป็นคนอื่นผู้นั้นคงตอบตกลงไปทันที เพราะมีเพียงคนโง่เท่านั้นที่ไม่เห็นด้วยในการรับคําชี้แนะจากยอดฝีมือที่ไร้เทียมทาน แต่หยางเย่ไม่ใช่คนไร้เหตุผลก่อนจะตกลงรับเงื่อนไขนั้น แค่คิดว่าความแข็งแกร่งของชายชราคงอยู่อย่างน้อยขั้นปราณจักรพรรดิ์ และอาจจะสูงกว่า แต่มันยังเป็นสิ่งที่ชายชรายัง ทําไม่ได้ ดังนั้นมันจะเป็นอะไรที่ง่ายดายได้อย่างไร?

หลังจากนั้นไม่นานหยางเย่ก็พยักหน้าในที่สุด เขาไม่มีทางเลือกอื่น เพราะเขาต้องการแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุด เขาต้องการความแข็งแกร่งเพื่อเข้าร่วมเทียบอันดับสวรรค์ เพราะหยางเย่ต้องไปอยู่ที่อันดับหนึ่ง ทั้งยังต้องใช้ความแข็งแกร่งเพื่อช่วยมารดาจากราชวังบุปผา

ในความแข็งแกร่งปัจจุบัน มันยังมีปัญหามากมายที่จะเข้าร่วมเทียบอันดับสวรรค์ อย่างไรก็ตาม หากเขาต้องการไปอยู่อันดับหนึ่ง เช่นนั้นก็จะต้องฟันฝ่าอุปสรรคจากขั้นพลังที่เหนือกว่าของคู่ต่อสู้มากมาย ซึ่งเขาเองก็ไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อย มีอัจฉริยะมากมายที่นั่น พวกเขาล้วนมาจากหกมหาอํานาจที่ยิ่งใหญ่

หยางเย่มั่นใจในตัวเองมาตลอด แต่ก็ไม่เคยหยิ่งผยอง เพราะไม่เคยคิดว่าตนเองเหนือกว่าใครในรุ่นอายุใกล้เคียงกันในเขตแดนใต้

ดังนั้นมันจึงทําให้เขาต้องพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเอง หยางเย่ไม่เพียงจะทําเพื่อซูชิงฉือ แต่มันยังทําให้เขาได้รับเหรียญตราครองสวรรค์ที่สามารถช่วยมารดาจากการทรมานได้!

เมื่อเขาเห็นหยางเย่พยักหน้า ชายชราเองก็พยักหน้าเล็กน้อย “การลังเลของเจ้าพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเจ้าให้ความสําคัญกับค่าสัญญามากแค่ไหน มันเป็นสิ่งที่ดี หากเจ้าตกลงโดยไม่ไตร่ตรองอะไร เช่นนั้นข้าก็อาจจะคืนคําได้”

หยางเย่กล่าว “อันที่จริงถึงแม้ผู้อาวุโสจะไม่ชี้แนะ ข้าก็จะกลับมาหลังจากบรรลุขั้นปราณจักรพรรดิ เพราะข้าสัญญาไว้แล้วว่าจะมา”

ชายชรายิ้มก่อนจะถาม “การฝึกฝนวิชาควบคุมดาบของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

“มันยังอยู่แค่ระดับแรก!” หยางเย่กล่าว “ข้าสามารถควบคุมมันได้ประมาณสามสิบเมตรแล้ว หากมันมันเป็นปราณดาบ เช่นนั้นข้าจะสามารถควบคุมได้ถึงร้อยเมตร แต่ข้าไม่สามารถควบคุมดาบจริงได้!”

“เพียงแค่สามสิบเมตรเองหรือ?” ชายชราขมวดคิ้ว “เจ้าทราบหรือไม่ว่าผู้คิดค้นวิชาสามารถควบคุมได้ไกลแค่ไหน?”

“ไกลแค่ไหนงั้นหรือขอรับ?”

“ทุกที่ที่เขารู้สึกได้” ชายชรากล่าว “มันไกลเกินกว่าห้าร้อยกิโลเมตร ข้าไม่ได้กล่าวเกินจริง หลายร้อยปีที่ผ่านมา วิชาควบคุมดาบนั้นสั่นสะเทือนไปทั่วยุทธภพเมื่อทุกคนได้ยิน ถึงแม้มันไม่ใช่วิชาขั้นปราณสวรรค์ แต่หากมันถูกใช้โดยอัจฉริยะแห่งวิถีดาบ เช่นนั้นความสามารถมันก็ไม่ด้อยไปกว่าขั้นปราณสวรรค์แน่นอน แต่เจ้ายังทําได้เพียงสามสิบเมตรงั้นหรือ? พวกสานักดาบราชันมันสอนอะไรเจ้ากัน?”

หยางเย่ทั้งตกตะลึงและดีใจเมื่อได้ยินว่ามันสามารถไปได้ไกลถึงห้าร้อยกิโลเมตร แต่เมื่อเขาได้ยินชายชรากล่าวก็ทําได้เพียงหัวเราะอย่างขมขึ้น “ข้าไม่มีใครสอนอะไรทั้งนั้น เพราะข้าถูกขับไล่ออกจากสํานักตามคําสั่งของผู้อาวุโสบัญชาการดาบของสํานักดาบราชัน!”

“เจ้าถูกขับไล่ออกจากสํานักดาบราชัน?” ประกายแห่งความประหลาดใจปรากฏผ่านดวงตาชายชรา “เจ้าเป็นอัจฉริยะทางการใช้ดาบอย่างแท้จริง เหตุใดพวกเขาถึงขับไล่เจ้าออกได้? ถึงแม้จะมีความขัดแย้งกับพวกผู้อาวุโส แต่คนใหญ่คนโตอย่างเจ้าสํานักหรือผู้อาวุโสสูงสุดไม่น่าจะทําได้?”

เมื่อเขาเห็นชายชราลึกลับสนใจ หยางเยจึงทําได้เพียงเล่าเรื่องราวว่าเกิดเหตุใดกับเขา

หลังจากนั้นไม่นาน ชายชราส่ายหัวพร้อมเอ่ย “ผู้อาวุโสบัญชาการดาบช่างโง่เขลานัก…”