บทที่ 230 งานเลี้ยงอำลา

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 230 งานเลี้ยงอำลา

บทที่ 230 งานเลี้ยงอำลา

“คัต!”

สวีโหมวสั่งคัตเมื่อถ่ายทำฉากนี้เสร็จ และนี่คือฉากทั้งหมดของฮั่วเสวียน

ซูโย่วอี๋ถ่ายทำเสร็จแล้ว!

และตอนนี้ฟ้าก็ใกล้สว่างแล้วด้วย!

นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ละครทีวีเรื่องรักในฝันถ่ายทำข้ามวันข้ามคืน ไม่ใช่เพื่อให้ทันกับตารางงาน แต่เพื่อไม่ให้การเข้าถึงบทบาทการแสดงของซูโย่วอี๋และป๋ายลิ่นขาดตอน

สวีโหมวขอให้ผู้ช่วยผู้กำกับแจ้งให้ทุกคนเก็บของ จากนั้นเขาก็จุดบุหรี่และเรียกซูโย่วอี๋ให้มาหา

“คุณถ่ายทำเสร็จแล้ว เป็นยังไงบ้าง”

ซูโย่วอี๋ยักไหล่ “เบาตัวเลยค่ะ ฉันอยากกลับไปนอนที่โรงแรมจนถึงเย็นเลย”

สวีโหมวทำสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย “วัยรุ่นอย่างคุณน่ะมีพลังงานและความมุ่งมั่นล้นเหลืออยู่แล้ว ถ้าให้ฉันพูดตามตรง ตอนคุณออดิชั่นเป็นฮั่วเสวียนครั้งแรก ผมก็ยังสงสัยในตัวคุณอยู่ดี ถึงคุณจะดูเหมาะกับบทในความคิดของผม”

“เพราะคุณไม่เคยผ่านการแสดงมาก่อน และคุณก็ไม่เคยฝึกศิลปะการต่อสู้ด้วย ครั้งหนึ่งผมเคยคิดว่าคุณเป็นผู้หญิงที่พึ่งพาแฟนจนได้ดีซะอีก”

“แต่ตอนนี้คุณก็รู้แล้วว่าฉันไม่ใช่แบบนั้น” ซูโย่วอี๋ยิ้ม “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำและการดูแลของคุณในช่วงที่ผ่านมานะคะ ฉันมีความสุขมากกับทีมงานทุกคนที่นี่ และทักษะการแสดงของฉันก็พัฒนาขึ้นมากเลยล่ะค่ะ”

มีคนไม่กี่คนที่ได้พบกับผู้กำกับมืออาชีพอย่างสวีโหมวในการแสดงครั้งแรก

สวีโหมวเขี่ยขี้บุหรี่ “ผมจะไม่พูดอะไรที่พิธีรีตรองมากนัก แต่น่าเสียดายที่ผมคงจะไม่ได้กินอาหารอร่อย ๆ แบบนี้อีก”

“ผู้กำกับสวี นี่คือความในใจที่แท้จริงของคุณสินะคะ”

สวีโหมวไม่ได้สนใจมุกตลกของซูโย่วอี๋ แต่เขารู้สึกสนิทใจกับเธอมากขึ้น “วันนี้ผมเลิกกองแล้ว ผมจะจัดงานเลี้ยงอำลาให้คุณคืนนี้”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”

ปกติแล้วการปิดฉากของคน ๆ เดียวคงไม่จำเป็นต้องจัดงานเลี้ยงอำลาพร้อมกับทีมงานพร้อมหน้าขนาดนี้ อาจจะมีแค่คนที่สนิทกันหน่อยได้กินข้าวร่วมกัน

พอได้ยินสิ่งที่ผู้กำกับสวีจะทำ มันก็ค่อนข้างยิ่งใหญ่ไปหน่อย

“ช่วงนี้ทุกคนทำงานอย่างหนัก ผมเลยใช้คุณเป็นข้ออ้างเพื่อให้ทุกคนพักผ่อนน่ะ”

หลังจากผู้กำกับสวีพูดแบบนั้นนั้น ซูโย่วอี๋ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป เธอไปเปลี่ยนชุด ล้างเครื่องสำอางออกและกลับไปที่จุดพักผ่อนของเธอ แต่ก่อนที่จะได้นั่งลง เธอก็ถูกล้อมรอบด้วยกลุ่มคนซะแล้ว

ทีมงานนั่นเอง

พวกเขามีทั้งภาพของเธอ สมุดบันทึก ภาพถ่ายจากในกอง แม้กระทั่งแผ่นเสียง

“โย่วโย่ว ขอลายเซ็นหน่อยได้ไหม”

“ขอถ่ายรูปคู่ได้ไหม”

“คุณช่วยเซ็นชื่อว่าฮั่วเสวียนตามหลังได้ไหม ฉันชอบฮั่วเสวียนจริง ๆ นะ”

ซูโย่วอี๋หยอกล้อพวกเขา “งั้นฉันไปดีกว่า”

ทีมงานทุกคนหัวเราะ

แต่มีเด็กสาวคนหนึ่งที่ตาแดงก่ำ “คุณซู ขอถ่ายรูปคู่คุณกับคุณป๋ายลิ่นหน่อยได้ไหม ฉันคิดถึงฮั่วเสวียนและอูซือม่านเวลาอยู่ด้วยกันจริง ๆ”

ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยน้ำตา เหมือนเธอจะร้องไห้ได้ตลอดเวลา

ซูโย่วอี๋รู้สึกภูมิใจเล็ก ๆ เพราะนี่เป็นการยืนยันทักษะการแสดงของเธอว่ามีคนชอบตัวละครที่เธอแสดงมากแค่ไหน

เธอหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาแล้วยื่นให้เด็กสาว “ได้สิ แต่ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้คุณป๋ายลิ่นว่างหรือเปล่า”

ซูโย่วอี๋มองไปที่โซนพักผ่อนของป๋ายลิ่น และพบว่าเขากำลังคุยกับผู้หญิงคนหนึ่ง

ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นสแตนด์อินของเธอนี่นา

สแตนด์อินถ่ายเสร็จไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมยังไม่ไปไหนอีก?

ขณะที่ซูโย่วอี๋มึนงง เด็กสาวตัวน้อยพูดอย่างตื่นเต้นว่า “คุณซูคะ ฉันไม่รีบค่ะ ไว้ฉันค่อยมาใหม่ตอนคุณทั้งสองว่างพร้อมกัน ได้ไหมคะ”

เมื่อเห็นว่าซูโย่วอี๋เหนื่อยล้า เหมยเหมยก็พูดว่า “ขอโทษนะคะ คุณซูถ่ายทำต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืน ตอนนี้ฉันต้องขอให้เธอพักผ่อนก่อน”

เด็กสาวตัวน้อยเหมือนจะร้องไห้ “งั้นฉันจะไปถามคุณป๋ายลิ่นเดี๋ยวนี้ค่ะ คุณช่วยรอฉันอีกหน่อยได้ไหม”

ซูโย่วอี๋ตอบรับด้วยความยินดี “ได้ ฉันจะรอ”

เมื่อฝูงชนแยกย้ายกันไป เหมยเหมยก็พูดขึ้น “คุณซู ศิลปินมักจะเจอกับสถานการณ์ที่แฟน ๆ เรียกร้อง ไม่ว่าจะสมเหตุสมผลหรือไม่ แต่ไม่ว่ายังไง คุณก็ไม่ต้องเสียสละเวลาของตัวเองขนาดนั้น ไม่งั้นคุณเองจะเหนื่อยเปล่า ๆ”

เช่นเดียวกับตอนนี้ หากเธอปฏิเสธตามตรง ซูโย่วอี๋คงจะออกจากกองถ่ายและกลับไปพักผ่อนได้ตั้งนานแล้ว

ซูโย่วอี๋หลุบตาลง เธอไม่เข้าใจเหตุผล แต่เธอรู้สึกขอบคุณทุกคนเสมอที่ชอบเธอ “ไว้คราวหลังฉันจะระวัง”

เหมยเหมยอธิบายว่า “ฉันไม่ได้โทษคุณว่าคุณทำได้ไม่ดี แต่จากมุมมองของผู้ช่วย ฉันแค่เป็นห่วงคุณเท่านั้นค่ะ”

ในไม่ช้า สาวน้อยคนนั้นก็พาป๋ายลิ่นมา

ตอนนี้ป๋ายลิ่นยังคงแต่งกายแบบในละครอยู่ “คุณอยากถ่ายแบบไหน”

เด็กหญิงตัวเล็กหน้าแดง “พวกคุณยืนด้วยกันก็ได้”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ป๋ายลิ่นก็ยืนถัดจากซูโย่วอี๋ โดยที่เขายืนซ้อนอยู่ข้างหลัง ทำให้ดูเหมือนว่าซูโย่วอี๋กำลังยืนอยู่ในอ้อมแขนของป๋ายลิ่น

ท่าทางของทั้งสองดูสนิทสนมกันมาก

เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ รีบถ่ายรูปออกมาสองสามรูปและโค้งคำนับ “ขอบคุณมากค่ะ”

ซูโย่วอี๋พยักหน้าเล็กน้อยให้กับป๋ายลิ่นและจากไป

แต่ดวงตาของป๋ายลิ่นก็มองตามแผ่นหลังของซูโย่วอี๋ไป

เขาเข้าใจว่านี่ไม่ใช่คนที่เขาแตะต้องได้!

เขาหยิบมือถือขึ้นมาและเปิดวีแชตที่มีข้อความล่าสุดแสดงในช่องแชทด้านบน [สวัสดีค่ะ คุณป๋าย]

คนคนนี้คือสแตนด์อินของซูโย่วอี๋

เธอรออยู่ที่นี่ทั้งคืนเพื่อเพิ่มเพื่อนกับเขาในวีแชต

“ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าให้ฝากเบอร์โทรไว้กับผู้ช่วย”

สแตนด์อินยิ้มเขิน ๆ “ฉันอยากจะแน่ใจว่าฉันได้เพิ่มเพื่อนด้วยตัวเอง”

เธอพูดถึงขนาดนี้แล้ว ป๋ายลิ่นก็คงหาข้ออ้างปฏิเสธไม่ได้

เขาไม่เข้าใจว่าทำไมสแตนด์อินถึงหมกมุ่นกับการเพิ่มเพื่อนกับเขานัก แต่เขาก็ไม่อยากใส่ใจ

เดี๋ยวก็คงรู้เหตุผลเอง

เมื่อกลับมาที่โรงแรม ซูโย่วอี๋ก็ทำในสิ่งที่เธอพูด เธอหลับไปและไม่ได้กินข้าวเที่ยงด้วยซ้ำ

ทำให้ไป๋เสิ่นเฉียวอดไม่ได้ที่จะถามเหมยเหมยหลายครั้งว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า “โย่วโย่วไม่เป็นอะไรจริง ๆ เหรอ”

ทำไมเธอถึงง่วงได้ขนาดนั้น

เหมยเหมยเลยบอกให้อีกฝ่ายใจเย็น ๆ “นี่ก็ใกล้หกโมงเย็นแล้ว เดี๋ยวฉันไปปลุกเธอเองค่ะ เอ่อ แล้วคืนนี้คุณจะไปกินข้าวเย็นกับพวกเราไหม”

ไป๋เสิ่นเฉียวเลิกคิ้ว ดวงตาที่เรียวยาวเธอเปล่งประกายแวววาว “ไม่ล่ะ อาหารแบบนี้น่าเบื่อ ไว้พวกเราค่อยฉลองกันวันหลังดีกว่า”

สถานที่จัดงานเลี้ยงอำลาอยู่ที่ล็อบบี้ชั้น 2 ของโรงแรม ซึ่งก็น่าจะเป็นมาตรฐานของโรงแรมในเขตเมืองเล็ก ๆ อย่างที่นี่ มันเลยดูโทรม ๆ

โดยเฉพาะป้ายสีแดงตรงกลาง ‘ขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของซูโย่วอี๋’

ดูวินเทจชะมัด

เมื่อเห็นป้ายข้อความนี้ เปลือกตาของซูโย่วอี๋ก็กระตุก

ไม่จำเป็นสักหน่อย

แต่ผู้กำกับสวีเป็นคนต้นคิด และเสียงของเขาก็ดังพอโดยไม่ต้องใช้ไมค์ “โย่วอี๋ มานั่งที่โต๊ะนี้สิ”

โต๊ะของสวีโหมวเต็มไปด้วยทีมผู้กำกับและเหล่าผู้จัด

ส่วนนักแสดงตัวรอง ๆ อย่างเสิ้งเซี่ยก็ทำได้แค่ไปนั่งที่โต๊ะอื่นเท่านั้น

ทันทีที่ซูโย่วอี๋เดินไป ฮันเจ๋อหยางก็ตบที่นั่งข้าง ๆ เขา “มานี่มา นั่งข้าง ๆ กัน”

สวีโหมวยิ้มและหรี่ตา “ทุกคนมาพร้อมกันหมดแล้ว”

เมื่อคิดว่าอาหารเย็นกำลังจะมาเสิร์ฟ ซูโย่วอี๋ก็หยิบตะเกียบขึ้นมาอย่างตื่นเต้น ก่อนจะพบว่าสวีโหมวหาไมค์มาจากไหนไม่รู้

เขากระแอมในลำคอและเริ่มพูดเสียงดัง

‘จากความยากลำบากตั้งแต่การถ่ายทำรักในฝันไปจนถึงความสำเร็จในตอนนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกคนที่นี่ต้องทำงานอย่างหนัก’

เขาพูดพล่ามอยู่เป็นเวลานาน และในที่สุดก็ได้พูดถึงจุดสำคัญ ‘เพื่อเฉลิมฉลองให้กับซูโย่วอี๋ที่ได้ถ่ายทำเสร็จเรียบร้อย’

ฮันเจ๋อหยางโน้มตัวเข้าใกล้ซูโย่วอี๋ “พวกแฟน ๆ ที่ไม่รู้คงคิดว่ารักในฝันจบแล้ว แต่มันก็จริงอยู่นะ ลองคิดดูแล้วกัน พอฮั่วเสวียนตาย ละครเรื่องนี้คงจะจบลงในใจของใครหลาย ๆ คน”