บทที่ 231 ข่าวร้าย

บทที่ 231 ข่าวร้าย

ซูโย่วอี๋เติมเหล้าในแก้วให้ตัวเอง “รุ่นพี่พูดอะไรเนี่ย? รุ่นพี่เป็นถึงนักแสดงชายยอดนิยมแห่งวงการเลยนะ”

“อีกอย่างนะ รุ่นพี่ตัดหัวของฉันไปแล้ว ก่อนจะใช้การตายของฉันเพื่อปลุกระดมผู้คน แถมยังได้กำจัดองค์จักรพรรดิอีก รุ่นพี่ในเรื่องนี้ทำแย่จริง ๆ”

แม้ว่าฉากในตอนหลังจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับซูโย่วอี๋แล้ว แต่เธอก็รู้เรื่องราวดี หลี่จื้อใช้เหตุผลในความโหดร้ายทารุณเพื่อโจมตีจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน และเขาได้รวบรวมกลุ่มทหารที่ไว้ใจได้เพื่อไปปราบกองกำลังตระกูลฮั่ว ในที่สุดก็ได้ขึ้นครองบัลลังก์และกลายเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ของตระกูลหลี่ จากนั้นก็ได้แต่งงานกับกู้ชิงเฉิง

ส่วนอูซือม่านต้องแบกรับคำต่อว่าที่ตนฆ่าฮั่วเสวียน ชุยดาบเดียวก็ใช้ทั้งชีวิตของเขาเพื่อตามล่าอูซือม่าน

ฮันเจ๋อหยางพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “ในบทหรือนอกบทก็ต้องแยกกันนะ เธออย่าเอาความคับข้องใจในละครมารวมกับชีวิตส่วนตัวสิ”

ไม่นานหลังงานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนก็เริ่มปาร์ตี้กันอย่างเฮฮา คืนนี้ซูโย่วอี๋เป็นตัวเอกของงาน มีผู้คนหลั่งไหลมาขอดื่มด้วยไม่ขาดสาย นั่นทำให้ฮันเจ๋อหยางเริ่มนั่งไม่ติด

เขาเลยเดินไปดึงแก้วมาจากซูโย่วอี๋ “ฉันดื่มให้เอง”

คนที่มาขอดื่มด้วยพูดขึ้น “ไม่ได้นะ เหล้าแก้วนี้เพื่อมิตรภาพของพวกเรา ให้คุณฮันดื่มให้ไม่ได้ งั้นให้คุณซูดื่มชาแทนเหล้าแล้วกัน”

ได้ยินอย่างนั้นเหมยเหมยก็รีบเทน้ำชาและส่งให้ซูโย่วอี๋ทันที

สวีโหมวเห็นเหตุการณ์นั้นก็นึกถึงคำพูดของลู่เฉิน ‘ห้ามให้ใครหน้าไหนเติมเหล้าให้ซูโย่วอี๋เด็ดขาด’

แม้เขาจะเริ่มเมาเล็กน้อย แต่เขาก็ตะโกนขึ้นเสียงดัง “หยุดก่อน!”

“เหล่าเจียง ทำอะไรน่ะ! รีบกลับไปกินข้าวซะ พวกคุณฟังผมพูดนะ ซูโย่วอี๋ดื่มเหล้าไม่เก่ง ถ้าพวกคุณอยากจะดื่มจริง ๆ ก็มาดื่มกับผม ใครก็ห้ามดื่มเหล้ากับเธออีก”

ได้ยินอย่างนั้นทีมงานก็ยิ่งแปลกใจ

ส่วนซูโย่วอี๋กินข้าวอยู่เงียบ ๆ ไปสักพัก ส่วนฮันเจ๋อหยางที่อยู่ข้าง ๆ ก็ทำหน้าที่เหมือนผู้พิทักษ์ที่คอยปกป้องดอกไม้งาม

“โย่วอี๋” ทันใดนั้นเสียงอันนุ่มนวลของอวิ๋นเหมี่ยวดังขึ้น

ซูโย่วอี๋เงยหน้าขึ้น อวิ๋นเหมี่ยวและเสิ้งเซี่ยยืนอยู่ตรงหน้า

ใบหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ถึงผู้กำกับสวีจะไม่ให้คุณดื่มเหล้า แต่พวกเราก็ถ่ายละครด้วยกันมาตั้งนาน คงสนิทกันมากกว่าคนอื่น ไม่รู้ว่าพวกเราจะได้รับเกียรติดื่มกับคุณสักแก้วได้หรือเปล่า?”

คำพูดพวกนี้ช่างดูถ่อมตัวมากเกินไปแล้ว

“คุณฮันคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม?”

ฮันเจ๋อหยางเลิกคิ้วขึ้น “แล้วแต่เลย”

เสิ้งเซี่ยยิ้มอ่อน ๆ “ถ้าไม่ใช่เพราะทุกคนรู้ว่าแฟนของโย่วโย่วคือประธานลู่ ก็คงจะหลงคิดไปว่าพวกคุณสองคนกำลังอยู่ในความสัมพันธ์ประเภทนั้นนะคะ”

“ความสัมพันธ์ประเภทไหน?” ฮันเจ๋อหยางมีท่าทีล้อเล่น

“ความสัมพันธ์แบบคู่รักไงคะ ก็คุณดูแลซูโย่วอี๋เป็นอย่างดี พวกเราทุกคนก็เห็น ๆ กันอยู่”

น้ำเสียงของฮันเจ๋อหยางฟังดูจริงจังขึ้นมา “คุณเสิ้ง คำพูดเล่น ๆ แบบนี้ไม่พูดออกมาจะดีกว่านะครับ ไม่อย่างนั้นคุณจะอับอายซะเอง”

เสิ้งเซี่ยหน้าเสียไปในทันที

ในใจก็แอบต่อว่า ใครก็ต้องคิดเหมือนกันนั่นแหละ?

อวิ๋นเหมี่ยวยกแก้วเหล้าขึ้น “ดูเหมือนโย่วอี๋จะดื่มแอลกอฮอล์เก่งนะคะ ดื่มเหล้าไปไม่น้อย แต่หน้าก็ยังดูปกติอยู่เลย”

ซูโย่วอี๋ยังคงรินน้ำชาลงในแก้ว “แค่มองไม่ออกก็เท่านั้นแหละ ถ้ายังดื่มต่อไปคงได้เมาจริง ๆ ขอโทษด้วยนะคะ ฉันขอดื่มชาให้กับพวกคุณแล้วกันนะ”

พอดื่มเหล้าจนหมด เสิ้งเซี่ยก็รีบดึงให้อวิ๋นเหมี่ยวเดินออกไป “ซูโย่วอี๋ทำตัวหยิ่งเกินไปแล้วนะ พวกเราดื่มเหล้าให้ แต่เธอกลับดื่มแต่ชาเนี่ยนะ?”

ดวงตาของอวิ๋นเหมี่ยวมืดมนลง “ผู้กำกับสวีชอบเธอ เขาปกป้องเธอซะขนาดนั้น คนอื่นจะไปทำอะไรเธอได้”

“เหมี่ยวเหมี่ยว คุณควรจะเป็นอันดับหนึ่งสิ”

การเป็นอันดับหนึ่งมันช่างน่าหดหู่จริง ๆ

เสิ้งเซี่ยโดนฮันเจ๋อหยางโกรธจนทำให้เธอรู้สึกไม่ดี “ซูโย่วอี๋เป็นลูกคนเดียว ในทีมละครนี้ เธอเป็นเหมือนเจ้าหญิงตัวน้อยที่ใคร ๆ ก็เอ็นดู ทั้งหมดก็เป็นเพราะลู่เฉินไม่ใช่เหรอ”

“ผู้หญิงน่ะนะ ไม่ว่าคุณจะต่อสู้ดิ้นรนแค่ไหนมันก็ไร้ประโยชน์ สู้หาเจ้าชายสักคนยังดีซะกว่า”

พูดจบก็พบว่าสีหน้าของอวิ๋นเหมี่ยวยิ่งหม่นหมอง เธอจึงพูดเสริมขึ้นมา “ฉันไม่ได้พูดถึงคุณนะ ซวี่เฟิงของคุณก็ไม่เลวเลย”

อวิ๋นเหมี่ยวยิ้มอย่างเย็นชา ไม่เลว?

ตอนที่ซวี่เฟิงยังไม่เคยพบเจอกับซูโย่วอี๋ เขาก็สนใจในตัวของเสิ้งเซี่ยมาก่อน

เกรงว่าเสิ้งเซี่ยเองก็รู้ถึงไส้ถึงพุงของซวี่เฟิงอยู่แล้ว แต่ก็ยังพูดออกมาได้ว่าไม่เลว?

ตอนนี้ทุกคนดื่มเหล้ากินข้าวกันจนอิ่มหนำสำราญแล้ว งานเลี้ยงอำลาก็เริ่มมีสีสันมากยิ่งขึ้น

พื้นที่ว่างกลายเป็นลานเต้นรำ มีทั้งคนที่ร้องเพลงและเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน

เวลานี้บรรยากาศกำลังเป็นไปด้วยดี

ซูโย่วอี๋เริ่มรู้สึกเมามาก ใบหน้าของหญิงสาวเริ่มเป็นสีแดงเล็กน้อย

ซึ่งเหมยเหมยก็คอยเฝ้าสังเกตท่าทีของเธออยู่ข้าง ๆ “คุณซู อยากจะกลับไปพักผ่อนที่ห้องไหมคะ?”

ซูโย่วอี๋ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่สักครู่ “ไม่ดีกว่า”

วันนี้เธอเป็นถึงตัวหลักของงาน แค่ไม่ดื่มเหล้าก็มากพอแล้ว ถ้าหากยังกลับไปก่อนคนอื่น ๆ อีกก็ดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่

แต่ทันใดนั้นฮันเจ๋อหยางก็ยื่นหน้ามาใกล้ ๆ “มีข่าวมาบอก”

“ข่าวดีหรือข่าวร้าย?”

ฮันเจ๋อหยางผงะไปสองวินาที “ข่าวร้าย”

“ไม่ฟังได้ไหม?”

ถ้าไม่ได้ยิน ก็เท่ากับไม่มีข่าวร้ายอะไรไม่ใช่เหรอ

แต่ฮันเจ๋อหยางกลับไม่ยอมปล่อยเธอไป “แต่ฉันคิดว่าเธอน่าจะอยากรู้นะ”

ซูโย่วอี๋ถอนหายใจ “พูดมาเลย”

อย่างไรเสีย ถ้าไม่มีเรื่องอะไร ก็ถือเสียว่าเป็นการฆ่าเวลา

“คุณนายลู่จะเดินทางกลับปักกิ่งแล้ว”

ในหัวของซูโย่วอี๋คิดวนไปมา ก่อนจะปฏิกิริยาตอบกลับ คุณนายลู่ที่ฮันเจ๋อหยางพูดถึง เป็นใครกัน

แม่ของลู่เฉินงั้นเหรอ

เธอไม่เข้าใจ “ทำไมถึงเป็นข่าวร้ายล่ะ?”

เหมือนฮันเจ๋อหยางกำลังปิดบังบางสิ่งอยู่ เขาไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกมาทั้งหมด

“คุณนายลู่เกิดในตระกูลดัง เธอต้องการหาภรรยาที่เหมาะสมให้ลู่เฉินมาโดยตลอด ลูกสะใภ้คนแรกที่เธอเลือกเอาไว้ก็คือเอินจี เธอรู้ใช่ไหม”

ซูโย่วอี๋พยักหน้า

“รุ่นพี่ฮัน คุณจะโทษว่าฉันแย่งแฟนฮันเอินจีไหม ฉันอยากฟังความรู้สึกจริง ๆ ของรุ่นพี่นะ”

ฮันเจ๋อหยางมองเธอด้วยสายตาแปลก ๆ “นี่เธอคิดอะไรอยู่ ฉันจะถือสาเรื่องพวกนี้ได้ยังไง เธอไม่ได้แย่งลู่เฉินมาจากเอินจีสักหน่อย สองคนนั้นไม่เคยคบกันด้วยซ้ำ แถมสองคนนั้นก็ไม่เหมาะสมกันสักนิด”

“ในเมื่อไม่เคยคบกันมาก่อน จะรู้ได้ไงว่าไม่เหมาะสม”

“ถ้าเขาเห็นด้วยกับครอบครัว ก็ถือว่าเหมาะสมกันอยู่นะ แต่เธอดูประธานลู่สิ เขาไม่ได้ทำตามที่ครอบครัวบอกนี่ เพราะฉะนั้นมันไม่มีทางเลย ประธานลู่เองก็ไม่ยอมถูกบังคับด้วย ของแบบนี้ไม่ต้องลองก็รู้ว่าสองคนนั้นไม่เหมาะสมกัน”

ฮันเจ๋อหยางพูดอย่างจริงใจ “ที่ฉันบอกเธอก็เพราะอยากให้เธอเตรียมใจเอาไว้ก่อน เรื่องที่ทำให้คุณนายลู่กลับมา น่าจะเป็นเพราะว่าอยากจะพบกับว่าที่ลูกสะใภ้”

ซูโย่วอี๋จ้องมองไปยังแก้วเหล้าใส ๆ ตรงหน้าพร้อมกับใช้ความคิด “ทำไมลู่เฉินไม่เห็นบอกฉันเลยล่ะ”

ทั้งที่มันเป็นเรื่องสำคัญขนาดนี้แท้ ๆ

ฮันเจ๋อหยางตบลงที่ไหล่ของเธอ “อย่าคิดมาก ใคร ๆ ก็รู้ว่าความสัมพันธ์ของประธานลู่กับคนในครอบครัวไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ ในเมื่อเขาไม่พูด ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเขารู้สึกว่าการคบกับเธอไม่จำเป็นต้องได้รับการอนุญาตจากคุณลุงลู่และคุณป้าลู่ไง”

“ความสัมพันธ์ของเธอทำให้หลายคนประหลาดใจ การที่พวกเธอจะอยู่ด้วยกันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เชื่อใจกันและกันให้มากหน่อย อย่าเอาแต่คาดเดาความคิดของอีกฝ่าย มีอะไรก็ถามไปเลย เข้าใจไหม?”

ซูโย่วอี๋รู้สึกว่าสิ่งที่ฮันเจ๋อหยางพูดนั้นก็มีเหตุผล

ลู่เฉินนั้นดีกับเธอมาก ๆ เธอไม่ควรสงสัยในเจตนาดีของเขาเลยด้วยซ้ำ

“รุ่นพี่ฮัน พี่เคยมีแฟนมาก่อนไหม?”

ฮันเจ๋อหยางตอบอย่างไม่สนใจ “ไม่เคย ทำไมล่ะ? ไม่เคยมีแฟนมาก่อนแต่ประสบการณ์ของฉันยังมากกว่าเธอซะอีก”

งานเลี้ยงอำลานี้จัดขึ้นจนถึงห้าทุ่มกว่า ๆ ทุกคนจึงเริ่มแยกย้ายกันไป

หลังจากที่ซูโย่วอี๋กลับไปยังโรงแรมและอาบน้ำจนเสร็จ เธอกลับนอนไม่หลับแล้ว จึงหยิบโทรศัพท์ออกมาค้นข้อมูลคุณนายลู่

ทั้งที่คิดว่าจะไม่ใส่ใจแล้วแท้ ๆ แต่เมื่อเห็นประวัติของคุณนายลู่ ซูโย่วอี๋ก็รู้สึกประทับใจในตัวเธอมาก เธอเป็นผู้หญิงที่เก่งจริง ๆ

เธอสนับสนุนสามีในการพัฒนาธุรกิจของครอบครัว จนขยายธุรกิจไปยังทวีปยุโรป อเมริกาเหนือ และประเทศอื่น ๆ ได้ เธอพูได้ถึง 7 ภาษา และจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับโลก