ตอนที่ 261 นายว่าฉันมีโอกาสไหม?
ตอนที่ 261 นายว่าฉันมีโอกาสไหม?
หลินเซี่ยคว้ามือชุนฟางที่ปิดตาตัวเองแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “โธ่เด็กน้อย เวลามันเปลี่ยนไปแล้ว เดี๋ยวนี้เธอสามารถใส่เสื้อสบาย ๆ แบบนี้เวลาไปชายหาดได้แล้ว และก็ไม่มีใครมาถ่มน้ำลายใส่เราหรอก”
เจียงอวี่เฟยเห็นด้วย
“ใช่แล้ว ฉันเคยเห็นคนใส่เสื้อแบบนี้ออกทีวีด้วย มันคือศิลปะ”
พูดตามตรง เจียงอวี่เฟยไม่แปลกใจเลยกับปฏิกิริยาของชุนฟาง
จนถึงตอนนี้ แม้แต่หล่อนเองก็ยังกังวลไม่หาย ในขณะที่การประกวดยังดำเนินต่อไป พ่อของตนคงต้องรู้เรื่องนี้ในไม่ช้าก็เร็ว
จินตนาการไม่ออกเลยว่าพ่อของหล่อนจะมีปฏิกิริยาอย่างไรถ้าเห็นหล่อนในทีวี แถมยังแต่งตัวแบบนั้นอีก?
เขาคงจะโกรธมากจนหยิกตีหล่อนไม่หยุด หรือใช้ไม้กวาดไล่ฟาดจนกว่าหล่อนจะสำนึกผิด
แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว
หลินเซี่ยเริ่มเตรียมเครื่องสำอาง พลางพูดกับเจียงอวี่เฟยว่า
“คราวนี้เรามาแต่งเบา ๆ กันดีกว่า มาลองแต่งหน้ากันหน่อย ฉันจะแต่งให้เธอดูหวานขึ้นสักหน่อย อย่าแต่งจนฉูดฉาดเกินไป เวลาเดินอยู่บนเวทีจะได้ดูเป็นธรรมชาติ”
“เซี่ยเซี่ย เธอช่วยแต่งจัด ๆ ไปเลยได้ไหม? คงดีกว่าถ้าแต่งให้คนรู้จักจำหน้าฉันไม่ได้ไปเลย”
หลินเซี่ยตอบกลับ “ไม่ได้ สไตล์การแต่งหน้าครั้งก่อนส่งเสริมบุคลิกให้เธอดูสง่าและเป็นตัวเองไปแล้ว คราวนี้เราต้องเปลี่ยนสไตล์ จะแต่งหน้าจัดเกินก็ไม่ได้ นอกจากนี้เธอยังเด็กเกินไป ไม่เหมาะกับการแต่งหน้าหนัก ๆ แต่งให้มันดูสดชื่นและหวานฉ่ำจะดีกว่า รูปร่างหน้าตาเธอเองก็สวยใช่เล่น ถือเป็นข้อได้เปรียบเยอะเลย เดี๋ยวเสียของหมด”
หลินเซี่ยไม่ได้คำนึงถึงเจียงอวี่เฟยเพียงอย่างเดียว เธอยังต้องการแสดงทักษะการจัดแต่งทรงผมของตัวเอง และให้ทุกคนเห็นความสามารถและทักษะของเธอในฐานะสไตลิสต์
เธอพูดมานานแล้วว่านี่คือโอกาสของเจียงอวี่เฟย และมันก็เป็นโอกาสของเธอเองด้วย
เจียงอวี่เฟยทำได้แค่ฟังหลินเซี่ย และปล่อยให้เธอจัดแจงทุกอย่าง
ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่าหลินเซี่ยเป็นมืออาชีพขนานแท้
ชุนฟางมองดูทักษะการแต่งหน้าอันยอดเยี่ยมของหลินเซี่ย ไม่นานก็ต้องตกตะลึง
“เซี่ยเซี่ย นี่มันสุดยอดไปเลย”
หลังจากแต่งหน้าเสร็จแล้ว ดูเผิน ๆ อาจจะยังดูคล้ายลุคเดิม แต่พอมองดูดี ๆ จะเห็นได้ว่ามันให้อารมณ์เปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่งเลย
เจียงอวี่เฟยสวมชุดราตรีสีขาวนวลประดับเพชร หล่อนบอกว่านี่เป็นสินค้านำเข้าที่ซื้อจากห้างสรรพสินค้าด้วยเงินก้อนโต หลังสวมชุด แต่งหน้า ทำผม และยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมสวมรองเท้าส้นสูง ทั้งร่างก็ดูเปล่งประกายมาก ๆ
หลินเซี่ยพูดขึ้น “ในเมื่อแต่งตัวเสร็จหมดแล้ว งั้นไปที่ห้องเต้นรำของเถ้าแก่เซี่ยใกล้ ๆ กันสิ ที่นั่นกว้างขวางมาก เราสามารถใช้เป็นห้องฝึกซ้อมได้”
เจียงอวี่เฟยสวมเสื้อคลุมแล้วเดินตามหลินเซี่ยไปที่ห้องเต้นรำ
การฝึกอบรมในห้องเต้นรำเพิ่งจบลง และพนักงานกำลังเลิกงาน
เมื่อพวกเขาได้ยินว่านางแบบสาวสวยกำลังจะมาซ้อมเดินแบบที่นี่ พวกเขาจึงหยุดและมองไปรอบ ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น
แน่นอนว่าทันทีที่หลินเซี่ยถอดเสื้อคลุมของเจียงอวี่เฟยออก เจียงอวี่เฟยที่ยืนอยู่ท่ามกลางคนที่นั่นได้กลายเป็นที่ดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที
เมื่ออาจารย์ฝึกอบรมจากเซินเจิ้นเห็นรูปร่างหน้าตาของเจียงอวี่เฟยเข้า ดวงตาของเขาก็พลันสว่างวาบ
เขาเอ่ยชื่นชมว่า “การแต่งหน้าทำให้เธอดูสดใสมาก”
หล่อนช่างงดงามเหลือเกิน รูปลักษณ์ที่สดใสและอ่อนหวานนี้ ประกอบกับใบหน้าอันบอบบางและเรียวเล็กของหล่อน ทำให้ผู้คนละสายตาจากหล่อนไม่ได้จริง ๆ
เมื่อเห็นเจียงอวี่เฟยกลับมาซ้อมเดินแบบอีกครั้ง หลินจินซานและเฉียนต้าเฉิงก็พอมีประสบการณ์อยู่บ้าง จึงเตรียมเพลงสำหรับประกอบการแสดงของหล่อนอย่างกระตือรือร้น และยังเปิดไฟโทนเย็นรอบห้องเพื่อสร้างบรรยากาศ
หลินเซี่ยเหลือบมองหลินจินซานที่ควบคุมระบบไฟ ริมฝีปากของเธอพลันกระตุกเล็กน้อย เขาเห็นคนแต่งตัวแบบนี้เข้ามาเต้นดิสโก้เธคหรือไง ถึงจัดแสงสีเจิดจ้าวิบวับแบบนี้?
“พี่ชาย แสงมันแพรวพราวเกินไปหน่อย เปิดแค่ไฟสีขาวก็พอแล้ว”
“โอ้”
เจียงอวี่เฟยรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เมื่อเผชิญกับสายตาของคนที่ไม่คุ้นเคยนับสิบซึ่งเต็มไปด้วยความสนใจ
หลินเซี่ยกระซิบ
“คิดซะว่าทุกคนเป็นผู้ชมด้านล่างเวที ผ่อนคลายอารมณ์สักหน่อย ไม่ต้องกังวลจนเกินไป”
พอได้ยินคำเตือนนี้ เจียงอวี่เฟยก็เข้าสู่สถานะตั้งอกตั้งใจอย่างรวดเร็ว
หล่อนซ้อมเดินอยู่หลายครั้ง หลังจากนั้นก็ได้รับเสียงปรบมือ ทั้งยังได้รับเสียงเชียร์จากผู้ชมมากมาย
ห้องเต้นรำจะเปิดอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้แล้ว ซึ่งตอนนั้นเจียงอวี่เฟยจะไม่สะดวกใช้พื้นที่ตรงนี้ซ้อมเดินแบบอีกต่อไป หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการ หล่อนก็มองไปยังเซี่ยไห่และขอบคุณด้วยรอยยิ้ม “หัวหน้าเซี่ย ขอบคุณที่ให้ฉันยืมสถานที่สำหรับฝึกซ้อมนะคะ ถ้าฉันชนะหรือได้อันดับในการประกวด ฉันจะเลี้ยงมื้อค่ำสุดพิเศษให้พวกคุณทุกคนเป็นการตอบแทน”
“คุณเจียง ผมเชื่อมั่นในความสามารถของคุณ เราจะตั้งตารอนะ”
เจียงอวี่เฟยสวมเสื้อคลุม ก่อนกล่าวอำลาพวกเขา “งั้นขอตัวกลับก่อนนะคะ”
เจียงอวี่เฟยและหลินเซี่ยเดินออกไป ขณะที่หลินจินซานยังคงยืนมองไปทางประตู
เฉียนต้าเฉิงเข้ามาแล้วโบกมือไปมาตรงหน้าเขา “ตาแทบจะถลนออกมาแล้วมั้ง”
“พี่เฉิง นายคิดว่าฉันยังมีโอกาสอยู่หรือเปล่า?” หลินจินซานพูดพลางแสดงสีหน้าว่างเปล่า
“ทั้งนายและทุกคนต่างก็รู้จักเสี่ยวหลินและน้องเขยของเธอดี นายคิดว่าตัวเองมีโอกาสแค่ไหนกันล่ะ? เฉินเจียวั่งจะยอมให้นายเป็นคู่แข่งไหม ถ้านายมีโอกาส ฉันกับหัวหน้าก็มีโอกาสเหมือนกันแหละวะ ขนาดโฉมงามยังคู่กับเจ้าชายอสูรได้เลย โลกนี้มีความยุติธรรมที่ไหนกันล่ะ?”
เด็กหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ หัวเราะเสียงดัง เมื่อได้ยินคำพูดของเฉียนต้าเฉิง
“ฮ่าๆๆ พี่เฉิง อย่าเปรียบเทียบพี่ซานแบบนั้นสิ”
ถังหลิงเห็นหลินเซี่ยและคนอื่น ๆ เข้าไปในห้องเต้นรำ เดิมทีหล่อนต้องการจะเข้าไปทักทายและร่วมสนุก เพื่อหาทางตีสนิทกับพวกเขาให้มากขึ้น
ขั้นแรกคือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างเซี่ยไห่
ไม่คาดคิดว่าเสิ่นเสี่ยวเหมยจะเอายืนจ้องมองร้านตัดผมของหลินเซี่ย พลางบ่นและสาปแช่งทุกสิ่งทุกอย่าง
ถังหลิงได้แต่เหม่อลอย ขี้เกียจเกินกว่าจะฟังสารพัดคำด่าของหล่อน
หลิวลี่ลี่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างมากกับเสิ่นเสี่ยวเหมย เมื่อเสิ่นเสี่ยวเหมยเริ่ม หลิวลี่ลี่ก็พูดเรื่องเลวร้ายเกี่ยวกับหลินเซี่ยในทุกรูปแบบ
จนกระทั่งหลินเซี่ยและเจียงอวี่เฟยออกมาจากประตูห้องเต้นรำ เสิ่นเสี่ยวเหมยก็จากไปพร้อมกระเป๋าของหล่อน
ถังหลิงรู้ว่าตัวเองคลาดโอกาสแล้ว จึงมองตามแผ่นหลังของเสิ่นเสี่ยวเหมยด้วยสายตามืดครึ้ม
คนโง่คนนี้ นับจากนี้หล่อนจะพยายามไม่ติดต่อใกล้ชิดอีกต่อไป
คนๆ นี้ช่างไร้ประโยชน์ ดีแต่ถ่วงความเจริญของหล่อนก็เท่านั้น
หลังกลับมาที่ร้านตัดผม เจียงอวี่เฟยก็เปลี่ยนชุดมาสวมกางเกงยีนส์กับแจ็กเก็ตผ้าฟลีซที่สวมใส่สบายและเคลื่อนไหวได้สะดวก
หล่อนถามหลินเซี่ยอย่างลังเลว่า “เธอได้เจอเฉินเจียวั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้บ้างไหม? เขาจะมาดูการประกวดของฉันหรือเปล่า?”
ครั้งล่าสุดเขาออกไปกลางคัน ไม่หันมามองหล่อนบนเวทีด้วยซ้ำ เจียงอวี่เฟยจึงหวังว่าครั้งนี้ในรอบการประกวดอย่างเป็นทางการ เฉินเจียวั่งจะมานั่งชมการแสดงของหล่อนอีกครั้ง
ดวงตาหลินเซี่ยกะพริบเล็กน้อย และเกิดความลังเล
“ช่วงนี้เขาค่อนข้างยุ่ง คงอาจจะเป็นครั้งหน้า”
“ยุ่งเรื่องอะไรเหรอ?” เจียงอวี่เฟยถามอย่างสงสัย
“รักษาตัวน่ะ”
หลินเซี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “หมอเย่กำลังดูเรื่องฝังเข็มให้เขาอยู่ ตอนนี้เขาต้องเก็บตัวตามคำสั่งหมอ อย่าเพิ่งรบกวนเขาจนกว่าสภาพร่างกายจะฟื้นตัวเต็มที่ดีกว่า”
เธอไม่กล้าบอกเจียงอวี่เฟยว่าเฉินเจียวั่งมีอาการลมบ้าหมูกำเริบหนักอีกครั้ง
เธอไม่อยากให้เจียงอวี่เฟยคิดว่าเฉินเจียวั่งยังไม่หายดีเหมือนคนไม่ปกติทั่วไป
เฉินเจียวั่งรับการรักษาจากหมอเย่แล้ว คาดว่าไม่นานน่าจะหายเป็นปกติ ในภายหน้าตราบใดที่เขารักษาความมั่นคงทางอารมณ์เอาไว้ได้ ความถี่ของการโจมตีจากโรคก็จะน้อยลงไปเรื่อย ๆ
เจียงอวี่เฟยผิดหวังเล็กน้อยเมื่อฟังจบ “โอ้ งั้นคราวหน้าเราชวนเขาออกไปเที่ยวกันเถอะ”
ระหว่างทั้งสองกำลังคุยกัน จู่ ๆ เจียงกั๋วเซิ่งก็เดินเข้ามา
เจียงอวี่เฟยถึงกับสะดุ้งตกใจ
“พ่อ ทำไมถึงมาที่นี่ได้?”
เจียงกั๋วเซิ่งประหลาดใจเมื่อเห็นเจียงอวี่เฟย “เป็นพ่อมากกว่าที่ควรจะถาม ลูกไม่ได้ไปเรียนหนังสือหรือไง ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
เจียงอวี่เฟยรีบอธิบาย “ฉันมาที่นี่หลังจากเลิกเรียนแล้วต่างหาก”
หล่อนกลัวว่าพ่อจะโกรธและหาทางจับผิด จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “พ่อมาที่นี่เพราะอยากกินเหลียงเฝิ่นของป้าหลิวอีกแล้วเหรอ?”
เจียงกั๋วเซิ่ง “…”
หลินเซี่ยเหลือบมองเจียงกั๋วเซิ่งที่เขินอาย และอธิบายให้เจียงอวี่เฟยด้วยรอยยิ้ม
“ฉันเป็นคนนัดลุงเจียงให้มากินข้าวด้วยกันเมื่อมีเวลาว่างเองแหละ ไม่คิดว่าเขาจะมีเวลาว่างเร็วขนาดนี้”
เจียงอวี่เฟยสับสนและไม่เข้าใจว่าทำไมหลินเซี่ยถึงอยากกินข้าวกับพ่อของหล่อน?
เป็นไปได้ไหมที่ป้าหลิวอาจเปลี่ยนใจอีกครั้ง
เจียงกั๋วเซิ่งเข้ามาข้างใน หลินเซี่ยขอให้ชุนฟางเฝ้าร้าน แล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ ออกไปนั่งในร้านน้ำชาตรงนั้นกันค่ะ”
“อืม”
ทั้งสามคนไปที่โรงน้ำชาตรงหัวมุมถนน บรรยากาศที่นั่งบนชั้นสองนั้นเงียบสงบมาก
เมื่อก่อนมีอาจารย์สอนเล่าเรื่องอยู่ที่ชั้นหนึ่งของโรงน้ำชา แต่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่เลย บรรยากาศจึงดูเงียบเหงา
หลังจากนั่งลงและสั่งชากับของว่างแล้ว เจียงกั๋วเซิ่งก็มองไปทางหลินเซี่ยแล้วถาม
“เซี่ยเซี่ย เธอโทรเชิญฉันมาที่นี่เป็นการส่วนตัวแบบนี้ มีเรื่องอะไรสำคัญหรือเปล่า?”
“ลุงเจียง ฉันมีเรื่องที่ต้องคุยกับคุณจริง ๆ ค่ะ และยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์บางอย่างในโรงงานเครื่องจักรอีกด้วย” หลินเซี่ยมองเขาอย่างจริงจังแล้วตอบกลับ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พี่ซานคิดจะสู้กับเจียวั่งเหรอ รายนั้นนางฟ้าน้อยของพี่เขามีใจให้ด้วยนะ
เอาล่ะ เซี่ยเซี่ยจะบอกความลับอะไรในโรงงานให้รองผอ.เจียงนะ?
ไหหม่า(海馬)