ตอนที่ 262 ถ้ามีใครบางคนเอาเรื่องส่วนตัวไปร้องเรียนจะทำอย่างไร

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

อนที่ 262 ถ้ามีใครบางคนเอาเรื่องส่วนตัวไปร้องเรียนจะทำอย่างไร

ตอนที่ 262 ถ้ามีใครบางคนเอาเรื่องส่วนตัวไปร้องเรียนจะทำอย่างไร

“เรื่องโรงงานเครื่องจักรเหรอ? หรือเธอหมายถึงเรื่องที่เสิ่นเสี่ยวเหมยถูกรายงาน? เธอพอจะรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหม?”

เจียงกั๋วเซิ่งมองหลินเซี่ยอย่างมีความหมาย

อันที่จริงเขาสงสัยมาตั้งแต่เช้าแล้วว่าหลินเซี่ยเป็นคนทำหรือเปล่า

หลินเซี่ยส่ายหัว “ลุงเจียง เรื่องที่ฉันอยากคุยกับคุณคือเรื่องปัญหาการจัดการการผลิตบางอย่างที่เกิดขึ้น หรือกำลังจะเกิดขึ้นในโรงงานของคุณ เสิ่นเสี่ยวเหมยมีส่วนในเรื่องนี้เป็นส่วนน้อย”

“การจัดการการผลิตมีปัญหายังไง?” เจียงกั๋วเซิ่งไม่ได้ให้ความสำคัญกับคำพูดของหลินเซี่ยอย่างจริงจังนัก

“คุณไม่รู้เหรอคะว่าหลังจากที่หลิวจื้อหมิงถูกปรับขึ้นเป็นรองหัวหน้าฝ่ายผลิต เขาก็เริ่มทำการทุจริตกับวัตถุดิบในสายการผลิตทันที”

“นี่… เซี่ยเซี่ย ช่วยเล่าให้ชัดเจนหน่อย เธอไปรู้อะไรมา?”

หลินเซี่ยจึงเริ่มเล่าให้เจียงกั๋วเซิ่งถึงความลับทั้งหมดภายในโรงงานเครื่องจักรที่เธอเคยรู้ในชาติก่อน

“ลุงเจียง ฉันรู้ว่าคุณเป็นคนซื่อสัตย์ต่อหน้าที่การงาน ไม่มีทางฝ่าฝืนกฎหรือระเบียบวินัยในที่ทำงานเพื่อกอบโกยเงินใส่กระเป๋าตัวเองแน่ แต่สำหรับบางคนกลับมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่เน่าเฟะ ฉันหวังว่าคุณจะระวังในสิ่งที่ฉันพูดอย่างจริงจัง ปกป้องตัวเองและอย่าให้เงินไปเข้ากระเป๋าคนอื่น ไม่งั้นถ้าเรื่องแดงขึ้นมา คุณนั่นแหละที่จะตกเป็นแพะให้คนอื่น”

เจียงกั๋วเซิ่งตกใจมากกับสิ่งที่หลินเซี่ยพูด เขามองไปที่หลินเซี่ยแล้วถามว่า “เซี่ยเซี่ย เธอไปได้ยินเรื่องนี้มาจากที่ไหน?”

“ลุงเจียง อย่าเพิ่งถามที่มาที่ไปของเรื่องนี้เลยค่ะ”

ใบหน้าของหลินเซี่ยจริงจังมาก เจียงอวี่เฟยก็ตกใจเหมือนกันเมื่อได้ยินแบบนั้น “เซี่ยเซี่ย อย่าบอกนะว่าตอนเธออยู่กับตระกูลเซี่ย เธอแอบไปได้ยินพวกเขาคุยกัน?”

“ฉันจะรู้มายังไงไม่สำคัญหรอก สิ่งที่สำคัญคือต่อจากนี้ คือรองผู้อำนวยการโรงงานเจียงจะต้องใส่ใจระมัดระวังกับเรื่องนี้ให้มากขึ้น”

เจียงกั๋วเซิ่งพูดอย่างจริงจัง “ได้ ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะให้ระวังตัวให้มาก”

“อวี่เฟย เรื่องนี้สำคัญมาก ถ้าอยู่ข้างนอกอย่าเพิ่งแพร่งพรายออกไปล่ะ”

“ฉันรู้แล้ว” เจียงอวี่เฟยรู้สึกขอบคุณหลินเซี่ยมากที่อุตส่าห์มาเตือนพ่อของเธอ

“เมื่อกี้คุณพูดอะไรเกี่ยวกับเสิ่นเสี่ยวเหมยหรือเปล่านะคะ?” ดวงตาของหลินเซี่ยขยับเล็กน้อยขณะถามเจียงกั๋วเซิ่ง

เธออยากรู้ว่าโรงงานเครื่องจักรมีมาตรการจัดการกับเสิ่นเสี่ยวเหมยอย่างไรบราวนี่ออนไลน์

ด้วยบุคลิกที่ตรงไปตรงมาของเจียงกั๋วเซิ่ง คาดว่าเสิ่นเสี่ยวเหมยน่าจะไม่รอดจากการลงดาบในครั้งนี้

เจียงกั๋วเซิ่งตอบว่า “มีคนเขียนเอกสารรายงานมาถึงโรงงาน นอกจากปัญหาชีวิตส่วนตัวของหล่อนจะยุ่งเหยิงแล้ว หล่อนยังไม่จริงจังกับภาระงานของตัวเอง ทำให้เกิดปัญหามากมายกระทบกับหลาย ๆ ฝ่าย วันนี้หลังจากผ่านการหารือกับทีมผู้บริหาร เราจึงลงความเห็นว่าจะสั่งพักงานหล่อนชั่วคราว ไม่อย่างนั้นเราจะไม่สามารถอธิบายให้พนักงานหลายร้อยคนในโรงงานเข้าใจได้”

รอยยิ้มสาแก่ใจพลันปรากฏขึ้นใบหน้าของหลินเซี่ย

เจียงอวี่เฟยพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “คนแบบนั้นไล่ออกไปซะเลยยังดีกว่า”

“ถึงยังไงหล่อนก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของผู้อำนวยการโรงงาน อีกไม่นานผู้อำนวยการเสิ่นต้องหาทางพาหล่อนกลับมาทำงานเหมือนเดิมแน่”

หลินเซี่ยมองไปที่เจียงกั๋วเซิ่งและพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “คุณต้องทนต่อแรงกดดันให้มาก อย่าอนุมัติให้เสิ่นเสี่ยวเหมยกลับมาทำงานเร็วเกินไป ต่อให้กลับมาทำงานแล้วก็พยายามอย่าให้หล่อนทำงานที่เกี่ยวกับฝ่ายบัญชีอีก ถ้าหล่อนกลายเป็นพนักงานบัญชีเมื่อไหร่ จะยิ่งมีช่องโหว่ให้ทุจริตได้ง่ายขึ้น”

เจียงกั๋วเซิ่งเป็นคนฉลาด เมื่อหลินเซี่ยพูดแบบนี้ เขาก็เข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไร

ถ้าวัตถุดิบของสายการผลิตในโรงงานมีปัญหา ตามขั้นตอนแล้วตัวเลขที่มีปัญหาจะถูกส่งต่อมาถึงฝ่ายบัญชี ดังนั้นเพื่อให้ทุกอย่างราบรื่น พวกเขาจะต้องได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่จากคนที่ไว้วางใจได้และเชื่อถือได้อย่างแน่นอน

การแสดงออกของเจียงกั๋วเซิ่งเริ่มเคร่งขรึม เขามองไปที่หลินเซี่ย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความขอบคุณ “ฉันเข้าใจแล้ว เซี่ยเซี่ย ขอบคุณเธอมากที่ยินดีบอกเรื่องพวกนี้กับลุงเจียง”

หากสิ่งที่หลินเซี่ยพูดเป็นความจริง นั่นหมายความว่าเธอกำลังยอมเสี่ยงเพื่อช่วยเขา

“ไม่เป็นไรเลยค่ะลุงเจียง ฉันเองก็ยึดความเป็นธรรมเป็นที่ตั้ง ฉันต้องเผชิญกับความเจ็บปวดที่ไม่สามารถเรียกร้องความบริสุทธิ์ได้เพราะถูกใส่ร้าย ดังนั้นฉันไม่ต้องการให้ผู้นำที่ซื่อสัตย์อย่างคุณถูกใส่ร้ายโดยมิชอบเหมือนกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการที่ทรัพย์สินของรัฐถูกคนในยักยอก”

“เธอนี่เป็นเด็กดีจริง ๆ”

หลังออกมาจากโรงน้ำชา เจียงกั๋วเซิ่งเห็นร้านขายของชำฝั่งตรงข้าม จึงอยากไปที่ร้านนั้นเพื่อซื้อขนมฝากให้หู่จือ

หลินเซี่ยปฏิเสธ แต่เจียงกั๋วเซิ่งกระตือรือร้นมาก เขาเดินลิ่วนำไปที่ร้านก่อนแล้ว

เจียงอวี่เฟยไล่ตามเขาไป

“พ่อ ในเมื่อพ่อคิดจะซื้อขนมให้หู่จือ ถ้าอย่างนั้นก็ซื้อไปฝากลูกสาวของพี่สาวหวังด้วยสิ”

เจียงกั๋วเซิ่งกำลังเลือกขนมอยู่ในร้าน เขาพูดอย่างไม่คิดอะไรว่า “ทำไมเราต้องซื้อขนมให้ลูกชาวบ้านด้วยล่ะ?”

“พ่อคะ ในฐานะที่เป็นผู้ชาย ถ้าอยากพัฒนาความสัมพันธ์กับผู้หญิง พ่อไม่ควรเป็นฝ่ายริเริ่มแสดงความจริงใจออกมาก่อนเหรอ?”

“พูดอะไรของลูก? พัฒนาความสัมพันธ์อะไรกัน?”

“พ่อไม่ได้สัญญากับฉันหรอกเหรอว่าพ่อยินดีจะพัฒนาความสัมพันธ์กับพี่สาวหวังหลังจากที่พ่อทำใจยอมรับการปฏิเสธจากป้าหลิวได้แล้ว? นี่ผ่านมาสองสามวันเท่านั้นเอง พ่อยังไม่ลืมหล่อนอีกเหรอ? พ่อแก่แล้วนะ จะเล่นตัวเหมือนเป็นหนุ่มน้อยไม่ได้แล้ว ต้องเป็นฝ่ายรุกอย่างตรงไปตรงมาเท่านั้น”

เมื่อภรรยาเจ้าของร้านได้ยินการสนทนาระหว่างพ่อกับลูกสาว หล่อนก็ชะเง้อชะแง้คอพลางเงี่ยหูฟังทันที

เจียงกั๋วเซิ่งกลอกตาใส่ลูกสาวของเขาด้วยความอับอาย ขี้เกียจเกินกว่าจะคุยกับหล่อนในตอนนี้ รีบหยิบขนมออกมาจากชั้นวาง

หลินเซี่ยเดินตามเข้ามา จากนั้นพูดด้วยรอยยิ้ม “ลุงเจียง ไม่ต้องซื้อเยอะมากก็ได้ค่ะ ซื้อเยอะเกินไปเด็กจะติดนิสัยกินขนมแทนอาหารจานหลัก”

เจียงอวี่เฟยขอถุงเพิ่มจากเจ้าของร้าน แล้วพูดว่า “พ่อ แบ่งครึ่งอย่างละเท่า ๆ กัน ให้หู่จือหนึ่งถุง ให้เสี่ยวฮวาอีกหนึ่งถุง”

“ได้ ลูกจัดการเลย”

เจียงกั๋วเซิ่งควักเงินจ่าย หยิบขนมบนชั้นให้เด็กจนเต็มสองถุงใหญ่

หลังออกมาจากร้านแล้ว หลินเซี่ยก็ทำหน้าที่เป็นแม่สื่ออย่างจริงใจ “ลุงเจียง พี่สาวหวังเป็นผู้หญิงที่เรียบง่ายไม่ฟุ้งเฟ้อ แถมยังมีบุคลิกร่าเริงแจ่มใส ถ้าพวกคุณถูกโชคชะตากำหนดมาให้ได้อยู่ด้วยกันจริง ๆ พวกคุณจะต้องเป็นคู่สามีภรรยาที่เหมาะสมกันมากแน่ ๆ”

เจียงกั๋วเซิ่งทำหน้าตาแปลก ๆ “ได้ยินเด็กรุ่นลูกอย่างเธอคุยกับฉันเรื่องนี้ เธอดูไม่เคอะเขินเลย ฉันเสียอีกกลับกลายเป็นฝ่ายละอายใจ”

หลินเซี่ยหัวเราะเบา ๆ “ถึงฉันจะเป็นเด็กรุ่นลูก แต่ฉันก็แต่งงานแล้วนะคะ ไม่เห็นมีอะไรที่น่าเคอะเขินเลย”

เจียงอวี่เฟยเห็นว่าพ่อเต็มใจซื้อขนมให้เสี่ยวฮวา จึงถือโอกาสตีเหล็กในขณะที่ยังร้อนอยู่ เสนอว่า

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปเยี่ยมพี่สาวหวังกันตอนนี้เลยเป็นไงคะ?”

เจียงกั๋วเซิ่งอ้างว่า “วันนี้อาจจะกะทันหันเกินไป ฝากเซี่ยเซี่ยเอาขนมไปให้หล่อนก่อนก็แล้วกัน ไว้มีเวลาค่อยนัดเจอกันใหม่”

“พ่อ งั้นพ่อก็หมายความว่าพ่อเต็มใจที่จะลองสานสัมพันธ์กับพี่สาวหวังแล้วน่ะสิ?”

ตราบใดที่เขายินดีเปิดใจอีกครั้ง ก็ถือว่าเป็นความก้าวหน้าที่ดี

เจียงกั๋วเซิ่งกระแอมไออย่างเชื่องช้า “ลองทำความรู้จักดูก็ไม่เสียหาย พ่ออายุปูนนี้แล้วยังมีคนมาชอบ แล้วทำไมพ่อต้องทำตัวหยิ่งด้วย พ่อคิดว่าเสี่ยวหวังเองก็ดูเป็นคนตรงไปตรงมาและกระตือรือร้นมาก นิสัยไม่เลว”

เจียงอวี่เฟยหันมองหลินเซี่ยอย่างมีความสุข จากนั้นก็ไล่ตามผู้เป็นพ่อไปพร้อมถามว่า “พ่อคะ ถ้าอย่างนั้นพ่อตัดใจจากป้าหลิวได้หรือยัง? อย่าคิดอีกอย่างแล้วทำอีกอย่างที่ตรงกันข้ามกับความคิดเชียวนะ”

ใบหน้าของเจียงกั๋วเซิ่งเปลี่ยนเป็นแดงเรื่อเมื่อลูกสาวจี้ใจดำอย่างตรงไปตรงมา เขามองไปยังผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาบนถนน รวมถึงหลินเซี่ยที่กำลังรอคำตอบจากเขาด้วยใบหน้าอยากรู้อยากเห็นแบบเดียวกัน เขากัดฟันและแค่นเสียงพูดว่า “ยัยลูกคนนี้ ทำไม? คิดว่าพ่อดูเป็นคนใจโลเลแบบนั้นเหรอ?”

เจียงกั๋วเซิ่งมอบถุงขนมทั้งหมดให้หลินเซี่ย และบอกลาเธอ “เซี่ยเซี่ย พวกเราไปก่อนนะ ไว้มีเวลาเมื่อไหร่เราค่อยมาเจอกันอีกครั้ง รอบหน้าลุงเจียงจะเตรียมกับข้าวอร่อย ๆ ไว้ให้”

“ค่ะ ลุงเจียง อวี่เฟย ลาก่อนนะ”

“ลาก่อน”

เจียงกั๋วเซิ่งผลักเจียงอวี่เฟยไปที่ป้ายรถโดยสาร “รีบกลับบ้านเร็วเข้า วันหลังระวังพฤติกรรมและคำพูดของตัวเองให้มากหน่อย พ่อเป็นรองผู้อำนวยการโรงงานนะ ถ้ามีใครบางคนไปร้องเรียนว่าปัญหาชีวิตส่วนตัวของพ่อไม่เหมาะสมจะทำยังไง?”

เมื่อเจียงอวี่เฟยได้ยินแบบนี้ หล่อนก็รีบปิดปาก มองไปรอบ ๆ ถนนอย่างระมัดระวัง แล้วพูดเสียงเบา “โอ้ งั้นไว้เราค่อยคุยกันหลังจากกลับถึงบ้านแล้วกันค่ะ”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

อ่อ มาแฉกลโกงของบ้านหลิวกับบ้านเสิ่นนี่เอง สองบ้านนี้มันทำกันเป็นกระบวนการเลยนี่หว่า

รองผอ.ไม่ต้องอายแล้วค่ะ อายุขนาดนี้มันต้องพุ่งชนเป้าหมายเท่านั้น

ไหหม่า(海馬)