ตอนที่ 263 หมายความอย่างนั้นกับคุณ
ตอนที่ 263 หมายความอย่างนั้นกับคุณ
หลินเซี่ยอำลาจากพวกเขา ระหว่างทางกลับบ้านก็เดินผ่านร้านขายผ้าที่ตัวเองมักจะแวะประจำ จึงเข้าไปเลือกซื้อผ้ามาชิ้นหนึ่ง
จากนั้นตรงก็กลับไปที่อาคารพักอาศัย
ทุกคนเพิ่งรับประทานอาหารเย็นเสร็จ ลานกว้างหน้าอาคารจึงมีชีวิตชีวามาก
อากาศเริ่มอุ่นขึ้นเล็กน้อย กลางวันเริ่มยาวนาน ช่วงนี้ลุง ๆ ป้า ๆ ทั้งหลายจะยังไม่กลับบ้านไปทำอาหาร แต่ออกมารวมตัวและเต้นแอโรบิกอย่างเบิกบาน
แม้แต่เสี่ยวฮวาก็ตามพี่สาวหวังออกไปเต้นกับพวกเขาด้วย
ล่าสุดคุณลุงคุณเหล่านี้เริ่มเรียนรู้จากคนอื่น ๆ คิดค้นท่าเต้นต่าง ๆ ขึ้นมาด้วยตัวเอง แม้ท่าทางพื้นฐานมองแล้วจะดูคล้ายกับการรำไทเก็ก แต่พอเปิดเพลงคลอกับกลุ่มคนที่เต้นไปในทิศทางเดียวอย่างพร้อมเพรียงกัน มันก็ดูมีเอกลักษณ์สะดุดตา
เมื่อเห็นว่าหลินเซี่ยกลับมาแล้ว ลุงหลี่ก็ทักทายหลินเซี่ยอย่างอบอุ่นและกระตือรือร้น
“มาสิ มาเต้นด้วยกัน”
หลินเซี่ยวางกระเป๋าและถุงขนมไว้ด้านข้าง จากนั้นก็เข้าไปร่วมสนุกกับพวกเขาด้วย
หลังจากยืนทำงานมาตลอดทั้งวัน พอได้ออกกำลังกายยืดเส้นตามแขนขาสักพัก ทั้งร่างกายก็เหมือนถูกปลดปล่อย
ทันทีที่หลินเซี่ยเข้าร่วม คุณลุงคุณป้าที่เข่าไม่ดีและเฝ้าดูทุกคนจากข้างสนามก็ยิ้มและพูดว่า
“เสี่ยวหลินนี่รูปร่างดีจริง ๆ”
“คนอื่น ๆ ก็เต้นเก่งกันทุกคน ดีแล้วที่รู้จักออกกำลังกาย สุขภาพคือสิ่งสำคัญที่สุด”
หลังจากร้องเพลงจบ ลุงหลี่ก็พูดด้วยความตื่นเต้นว่า “เร็ว ๆ นี้พวกเราออกไปเต้นที่สวนสาธารณะกับบรรดาพนักงานที่เกษียณอายุแล้วจากโรงงานทอผ้า เสี่ยวหลิน พวกเราเอาท่าเต้นทั้งหมดที่เธอออกแบบให้ก่อนหน้านี้ไปสอนพวกเขา จากนั้นเราก็ปรับเปลี่ยนท่าเต้นอื่น ๆ ให้หลากหลายมากขึ้น พวกเราพัฒนากันเร็วมาก ถ้าเธอมีเวลาอย่าลืมแวะมาเลือกเพลงใหม่ให้พวกเราด้วยล่ะ”
หลินเซี่ยตอบกลับอย่างกระตือรือร้นเช่นกัน “ได้ค่ะ”
หลังจากเต้นเสร็จ หลินเซี่ยก็หยิบของขึ้นมาตามเดิมแล้วกลับบ้าน แต่ไม่ลืมเรียกหวังซิ่วฟางก่อน
“พี่หวัง เจอพี่พอดีเลย”
เธอยื่นถุงขนมใบใหญ่ให้อีกฝ่าย “นี่ขนมของเสี่ยวฮวาค่ะ”
พี่สาวหวังมองดูขนมถุงใหญ่ในมือหลินเซี่ยแล้วรีบปฏิเสธ “เซี่ยเซี่ย นี่ไม่ใช่ปีใหม่หรือช่วงเทศกาลสักหน่อย จะซื้อขนมมากมายขนาดนี้มาฝากทำไมกัน?”
หลินเซี่ยพูดยิ้ม ๆ “ฉันไม่ได้เป็นคนซื้อน่ะค่ะ”
พี่หวังสับสน “มีคนให้มาอีกทีเหรอ? ถ้าอย่างนั้นเก็บไว้เองเถอะ”
หลินเซี่ยกลัวว่าเพื่อนบ้านจะได้ยิน ดังนั้นเธอจึงลดระดับเสียงลงและพูดด้วยรอยยิ้ม “รองผอ.โรงงานเจียงตั้งใจซื้อมาให้เสี่ยวฮวาโดยเฉพาะเลยนะคะ”
ทันทีที่พูดถึงรองผู้อำนวยการโรงงานเจียง สีหน้าของพี่สาวหวังก็เบิกบานขึ้นทันที “รองผู้อำนวยการโรงงานเจียงซื้อให้? ทำไมจู่ ๆ เขาถึงอยากซื้อของให้เสี่ยวฮวากันล่ะ?”
หลินเซี่ยพยักหน้า “ใช่ค่ะ เขาตั้งใจซื้อขนมพวกนี้มาฝากเสี่ยวฮวาโดยเฉพาะ แล้วเขาก็ซื้ออีกถุงหนึ่งให้หู่จือด้วย ต้องบอกว่าหู่จือได้ลาภเพราะเสี่ยวฮวาเลยนะคะ”
หลังจากได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย หวังซิ่วฟางก็มองไปที่ขนมถุงใหญ่ จากนั้นก็เริ่มบิดตัวพลางจับผมตัวเองอย่างเขินอาย ก่อนมองไปที่หลินเซี่ย น้ำเสียงเต็มไปด้วยความคาดหวัง “เสี่ยวหลิน เขาหมายความว่ายังไง?”
“จะหมายความว่ายังไงได้อีกล่ะ? ก็แสดงความปรารถนาดีกับพี่น่ะสิ”
หลินเซี่ยเดินเข้าไปใกล้เธอ มองหน้าแล้วพูดว่า “รองผู้อำนวยการโรงงานเจียงมีความตั้งใจที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับพี่ พี่ล่ะคิดยังไงกับเขา?”
หวังซิ่วฟางสังเกตจากสีหน้าของหลินเซี่ย รู้ทันทีว่าพวกเธอยังมีเรื่องที่ต้องคุยกันอีกยาว
หล่อนดึงหลินเซี่ยให้ตามกลับไปที่บ้านตัวเอง จากนั้นก็บอกให้เสี่ยวฮวากลับไปอยู่ในห้องของตัวเองก่อน
“เสี่ยวเซี่ย เธอคิดว่าเขาหมายความอย่างนั้นกับฉันจริงเหรอ? ครั้งล่าสุดที่เราเจอกัน เขาค่อนข้างเย็นชากับฉันมาก ฉันเคยเดินไปอยู่หน้าประตูโรงงานเครื่องจักรเพื่อรอเขาด้วย แต่ทันทีที่เห็นหน้าฉัน เขากลับดูไม่มีเยื่อใย บอกว่าเขายังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ ไม่มีความกระตือรือร้นต่อฉันเลย ทำให้ฉันรู้สึกว่าใจจริงแล้วเขาอาจจะไม่สนใจฉันเท่าที่ควร ถ้าฉันออกตัวแรงเกินไป สุดท้ายอาจจะไม่ได้อะไรกลับมาเลย ในที่สุดก็หยุดคิดเรื่องนี้”
หลังจากผ่านความผิดหวังที่ได้รับจากเฉินเจียเหอมาแล้ว แม้หวังซิ่วฟางจะยังกังวลเรื่องการหาคู่ครองคนใหม่ แต่ความทรงจำเก่า ๆ ก็ทำให้หล่อนตระหนักรู้ถึงสัจธรรมบางอย่าง ความพยายามฝ่ายเดียวไม่เพียงแต่จะไม่ได้ผลตอบรับ ยังเป็นการสร้างความลำบากใจให้กับอีกฝ่ายด้วย
หวังซิ่วฟางมองไปที่หลินเซี่ย จากนั้นก็ถอนหายใจอย่างหนัก
“ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ ที่จะหาผู้ชายสักคนที่เต็มใจแต่งงานกับฉันและช่วยกันดูแลลูก ๆ ก่อนหน้านี้ฉันอาจจะคิดตื้นเขินเกินไป คิดเสมอว่าในเมื่อตัวเองสามารถหาเลี้ยงครอบครัวและดูแลลูกสาวได้เป็นอย่างดี ว่าที่สามีใหม่จะต้องประทับใจในตัวฉันแน่ และจะชอบฉันอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่านั่นไม่เสมอไปซะทีเดียว”
“ผู้ชายดี ๆ ไม่ได้ต้องการแค่แม่บ้านที่สามารถซักผ้าและทำกับข้าวได้ ก็เหมือนกับคนหนุ่มสาวสมัยนี้ พวกเขาให้ความสำคัญกับอัธยาศัยที่ดี นิสัยใจคอที่เข้ากันได้ รวมถึงความรู้สึก
ตอนแรกฉันแค่รู้สึกว่าคงจะดีไม่น้อยถ้าฉันได้ลงเอยกับเขา ถึงยินดีที่จะทำความรู้จักเขาอย่างแข็งขัน ที่แท้ชุดความคิดของฉันก็ล้าสมัย”
หลินเซี่ยยิ้มและพูดว่า “พี่สาวหวัง แล้วชุดความคิดพวกนั้นไม่ดีเหรอ การรักษาความสัมพันธ์ไว้ให้ยาวนานและมั่นคง ดีกว่าการแต่งงานเพียงเพื่อหาที่พึ่งพาในชีวิตนะ ถ้าพี่แต่งงานกับใครบางคนแค่เพราะเหตุผลว่าอยากให้เขามาช่วยแบ่งเบาภาระ นานวันเข้าพี่นั่นแหละที่จะกลายเป็นฝ่ายต้องแบกรับความทุกข์”
หวังซิ่วฟางคิดตามอยู่พักหนึ่ง แล้วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “นั่นก็จริง”
“คุณอายุยังน้อย มั่นใจในตัวเองให้มากกว่านี้หน่อย ฉันรู้ว่าคุณอยากหาสามีจริงจัง แต่คุณอย่าเอาแต่คิดเรื่องแต่งงาน ต้องเผื่อระยะเวลาได้พวกคุณได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นด้วย ไปออกเดตเหมือนคู่รักหนุ่มสาว ดูหนัง ฟังเพลง หรือทำกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อสร้างความทรงจำที่ดีต่อกันดีกว่า”
“เสี่ยวหลิน รอบนี้รองผู้อำนวยการโรงงานเจียงจริงจังกับฉันแน่ใช่ไหม? อย่าให้ความหวังกับฉันจนเกินไป ฉันทนรับความผิดหวังไม่ได้แล้วจริง ๆ ฉันอยากเข้าใจความคิดของเขา”
หลินเซี่ยพยักหน้าอย่างหนักแน่น “รอบนี้เขาจริงจังค่ะ พี่คงเห็นแล้วว่าเขาพยายามที่จะแสดงความจริงใจ เพียงแต่ช่วงนี้รองผู้อำนวยการโรงงานเจียงค่อนข้างงานยุ่ง ดังนั้นไม่แปลกที่จะทำให้พี่คิดว่าเขาไม่ได้คิดอะไรกับคุณในเชิงนั้นเลย แต่ในความเป็นจริงเขาไม่ได้ไม่สนใจ เพราะฉะนั้นถ้าเขามาหาพี่อีกครั้ง พี่ก็แค่ยอมคุยกับเขาดี ๆ แล้วเปิดใจทำความรู้จักกับเขาให้มากขึ้น”
หลังได้รับคำตอบยืนยันแล้ว ในที่สุดหวังซิ่วฟางก็รู้สึกโล่งใจ และตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“เอาล่ะ ตราบใดที่เขาเป็นฝ่ายมาชวนฉันออกเดต ฉันจะจริงจังอย่างแน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ”
เมื่อหลินเซี่ยกลับถึงบ้าน ก็พบว่าเฉินเจียเหอยังไม่กลับมา
หลินจินซานก็ไม่ได้พาหู่จือกลับมาที่นี่ หมายความว่าเฉินเจียเหอยังไม่เลิกงาน เขาต้องฝากท้องไว้กับข้าวในโรงงานแน่ เธอที่ยังไม่ค่อยหิวจึงเปิดทีวีและหยิบบิสกิตออกมาหนึ่งห่อจากบรรดาขนมที่เจียงกั๋วเซิ่งซื้อให้หู่จือ ก่อนเอนหลังพิงบนโซฟา กินขนมไปพลางดูทีวีไปพลาง
จากนั้น ก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
เธอตื่นขึ้นอีกครั้งเพราะถูกใครบางคนปลุก เมื่อเธอลืมตาขึ้นก็ต้องหรี่ตาให้กับแสงไฟในห้อง กระทั่งเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่ส่องสว่างด้วยแสงไฟ เธอมองเขาด้วยความงุนงงและถามออกไปด้วยความเคยชิน “เช้าแล้วเหรอคะ?”
เฉินเจียเหอรู้สึกขบขันกับท่าทางงัวเงียของเธอ เขาเกลี่ยผมหน้าม้าของเธอออกจากหน้าผาก แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เด็กโง่ ตอนนี้ยังไม่ทันข้ามคืนเลย”
หลินเซี่ยขยี้ตาทันที พอมองนาฬิกาบนผนังก็เห็นว่าเข็มนาฬิกาบอกเวลาทุ่มครึ่ง ถึงตระหนักว่าเมื่อกี้นี้ตัวเองแค่เผลอหลับไปบนโซฟา
เขาดึงเธอให้ลุกขึ้นนั่งแล้วพูดว่า “ลุกขึ้นมากินข้าวมื้อเย็นเร็วเข้า”
“หู่จืออยู่ไหนคะ?” ทันทีที่หลินเซี่ยลืมตาขึ้นแล้วเห็นว่าทั้งห้องเงียบสงบ ปฏิกิริยาแรกของเธอคือมองหาหู่จือ
“เขาไปกินข้าวมื้อเย็นกับลุงที่บ้านแม่ยาย คืนนี้น่าจะนอนค้างไม่กลับมา”
“โอ้”
เฉินเจียเหอดึงหลินเซี่ยให้ลุกขึ้นนั่ง จากนั้นเธอก็เข้าไปล้างหน้าล้างตา ทำให้หายจากอาการง่วงงุนโดยสมบูรณ์
เธอสูดจมูกแล้วถามว่า “กลิ่นหอมจังเลย คุณทำอะไรเหรอ?”
“ทำสตูว์แบบง่าย ๆ น่ะ”
“ว้าว เดี๋ยวนี้คุณชักจะเก่งขึ้นทุกวัน ทำสตูว์ได้ด้วย”
“ผมถามขั้นตอนต่าง ๆ จากแม่ ฟังแล้วดูเหมือนจะทำตามไม่ยาก”
ไม่นานนักเฉินเจียเหอก็ยกชามสตูว์สองชามออกมาวางบนโต๊ะ
ในชามมีทั้งวุ้นเส้น กะหล่ำปลี ลูกชิ้น และเนื้อหั่นบางพอดีคำ ส่วนผสมค่อนข้างหลากหลาย
“กินเยอะ ๆ นะ ช่วงนี้พวกเราไม่ได้กินข้าวอร่อย ๆ ที่บ้านด้วยกันแบบนี้มานานแล้ว”
หลินเซี่ยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วก็เห็นจริงตามนั้น ช่วงที่ผ่านมาเธอมักจะไปกินข้าวที่บ้านตระกูลเฉิน หรือไม่ก็บ้านแม่ และมักจะมีเซี่ยไห่หรือคนอื่น ๆ ติดสอยห้อยตามอยู่เสมอ
หลินเซี่ยตักเข้าปาก จากนั้นชมเปาะอย่างไม่ลังเล “กลิ่นหอมน่ากินมากค่ะ ทักษะการทำอาหารของคุณเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ เลย”
เมื่อเฉินเจียเหอได้รับคำชมเรื่องทักษะในการทำอาหาร มุมปากของเขาก็โค้งขึ้น อารมณ์ดีขึ้นมาทันที “ช่วงนี้ผมยังพอมีเวลาว่าง ไว้จะทำกับข้าวให้พวกเรากินทุกเย็นนะ”
“แล้วคุณจะงานยุ่งอีกทีเมื่อไหร่?”
เฉินเจียเหอบอกว่า “ยังมีเวลาอีกประมาณสองเดือนในการเตรียมย้ายทรัพยากรการผลิตไปยังโรงงานแห่งใหม่ ถึงตอนนั้นงานผมน่าจะรัดตัวมาก หัวรถจักรคันใหม่จะถูกใช้งานอย่างเป็นทางการในปีหน้า ช่วงครึ่งปีหลังผมอาจต้องใช้ชีวิตกินนอนอยู่ในโรงงานใหม่ ทำงานในพื้นที่ปิดตลอดเวลา ดังนั้นผมจะมีเวลาอยู่กับคุณและลูกน้อยลง”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
พี่สาวหวังมีหวังแล้วค่ะ สู้ๆ กับการเดตครั้งนี้นะคะ
พี่เหออบอุ่นเหลือเกิน เห้อ ช่วงคริสต์มาสอากาศเย็นแล้วรู้สึกเหงาขึ้นมาเลย ขอคนอย่างพี่เหอสักคนได้ไหมคะ
ไหหม่า(海馬)