ตอนที่ 264 ผมยินดีสนับสนุน

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 264 ผมยินดีสนับสนุน

ตอนที่ 264 ผมยินดีสนับสนุน

ถึงอย่างนั้น หลินเซี่ยก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันสำคัญ “ไม่เป็นไรค่ะ ช่วงครึ่งปีหลังฉันก็น่าจะงานยุ่งมากเหมือนกัน”

“หืม? คุณยุ่งอยู่กับอะไร?” เฉินเจียเหอถาม

หลินเซี่ยมองเขา จากนั้นแนะนำแผนการขยายกิจการของเธอให้เขาฟังอย่างกระตือรือร้น “ฉันตั้งใจว่าจะเปิดร้านแต่งหน้าทำผมเจ้าสาวอีกที่ แล้วถ้าเงินทุนเพียงพอ ฉันจะขยายขอบเขตธุรกิจให้กลายเป็นสตูดิโอถ่ายภาพ ให้บริการเช่าชุดแต่งงาน ถ่ายรูปงานแต่ง ทำให้หนึ่งร้านสามารถบริการได้ครบวงจร คุณจะสนับสนุนฉันหรือเปล่าคะ?”

เฉินเจียเหอมองดูใบหน้าน้อย ๆ ของเธอที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการทำธุรกิจ จากนั้นหัวเราะเบา ๆ “สนับสนุนสิ แต่ขอบเขตการทำงานมากมายหลายส่วนขนาดนี้ คุณจะทำเองทั้งหมดได้ยังไง?”

หลินเซี่ยแสดงออกถึงความโล่งใจ “จ้างคนมาช่วยจัดการค่ะ ส่วนฉันจะเป็นเจ้านาย”

“งั้นคุณทำสำเร็จแน่นอน”

เฉินเจียเหอเป็นคนที่คุยด้วยง่ายมาก หลินเซี่ยมองเขาแล้วถามว่า

“คุณไม่กลัวว่าฉันจะเอาเงินไปผลาญเล่นถ้ารายได้ไม่ดีเลยเหรอ?”

“การเปิดร้านต้องค่อยเป็นค่อยไป ต่อให้เสียเงินลงทุนเปล่าก็ไม่เป็นไร ไม่สำคัญว่าจะทำเงินได้ไหม ยังไงผมก็จะสนับสนุนคุณ”

กำลังใจจากเฉินเจียเหอสำคัญมากสำหรับหลินเซี่ย

ด้วยความทรงจำและประสบการณ์จากชาติที่แล้ว เธอเชื่อมั่นว่าตัวเองจะยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งขึ้นในสายงานที่เธอชำนาญแน่

อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอได้ยินคำพูดของเฉินเจียเหอที่ว่า ‘ยังไงผมก็จะสนับสนุนคุณ’ น้ำตาของเธอก็ปริ่มชื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

เธอเอนซบพิงไหล่ของเขาพลางพูดเสียงหวาน “ถึงในอนาคตฉันจะไม่สามารถเดินตามความฝันของตัวเองได้ อย่างน้อยฉันก็ยังมีคุณเป็นผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่ง แต่ถ้าอาชีพการงานของฉันยิ่งใหญ่และทำเงินได้มากมาย ฉันจะซื้อวิลล่าหรูหลังใหญ่ให้พวกเรา และจะพาคุณกับหู่จือไปสู่จุดสูงสุดของชีวิตนะคะ”

เฉินเจียเหอลูบหัวเธอ ยิ้มแล้วพูดเบา ๆ “ดีเลย ผมตั้งตารอวันที่ภรรยาของผมจะหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำแล้วเอาไปซื้อวิลล่าหลังใหญ่ให้พวกเรานะ”

“ผมขอไปล้างจานก่อน”

“ไปด้วยกันเถอะ” หลินเซี่ยเดินตามเขาเข้าไปด้วย

เฉินเจียเหอล้างจาน ส่วนหลินเซี่ยเช็ดจานกับผ้า ทั้งสองพูดคุยและหัวเราะด้วยกัน บรรยากาศอบอุ่นขึ้นโดยปริยาย

หลังจากทำความสะอาดห้องครัวเสร็จ หลินเซี่ยก็ล้างมือแล้วเดินออกมา เฉินเจียเหอเดินเข้ามาขวางเธอที่หน้าประตูทันที แล้วจ้องมองเธออย่างลึกซึ้ง

ทันทีที่หลินเซี่ยเห็นสายตาอันร้อนแรงของเขา เธอก็รู้ทันทีว่าเขากำลังจะทำอะไร

เธอกำลังจะบอกว่าตัวเองยังมีอย่างอื่นที่ต้องทำในคืนนี้ แต่ก่อนที่เธอจะปฏิเสธ ร่างสูงของชายคนนั้นก็เข้ามาประชิดตัวเธอ ห่อหุ้มทั้งตัวเธอไว้ด้วยร่างกายอันแข็งแกร่ง… จากนั้นก็เริ่มระดมจูบ

เธอผลักเขาออก “เราเพิ่งกินข้าวเสร็จ ยังไม่ได้แปรงฟันเลย”

“ผมบ้วนปากแล้ว” เขาอ้าปากแล้วพ่นลมหายใจต่อหน้าเธอ เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเอง ‘สะอาดแล้ว’

หลินเซี่ยยังคงบ่ายเบี่ยงต่อไป “แต่ฉันยังไม่ได้บ้วนปาก”

“ผมไม่รังเกียจ”

เขาแทบรอไม่ไหวที่จะเป็นฝ่ายรุกล้ำ ก้มลงฉวยจูบบนริมฝีปากแดงเรื่อ…

เดิมทีหลินเซี่ยคิดจะปฏิเสธ แต่ความทรงเสน่ห์ของชายตรงหน้าเกินต้านเกินไป ยิ่งนานทักษะการจูบของเขาก็เริ่มเร้าใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ความเร่าร้อนภายในพุ่งสูงจนร่างกายของเธออ่อนยวบลง ท้ายที่สุดเธอก็อดทนไม่ไหว รั้งแขนโอบคอเขาไว้ และจูบตอบเขาอย่างให้ความร่วมมือ

ทันทีที่เธอตอบสนอง ชายหนุ่มก็เริ่มคลั่งไคล้

เขาช้อนร่างเธอขึ้นมา เดินเข้าไปในห้องนอนแล้วปิดประตูลง

กว่าหลินเซี่ยจะกลับมาตระหนักอีกครั้งว่าเธอมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ เธอก็ถูกเปลื้องเสื้อผ้าออกจนเปลือยเปล่าแล้ว

ลูกธนูถูกขึงพาดอยู่บนสาย ย้อนกลับไม่ได้นอกจากต้องยิงออกไป เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากโอบแขนไว้รอบคอเขาแล้วเตือนว่า “ฉันให้แค่รอบเดียวนะ”

“ทำไม?” เขามองหน้าเธอพร้อมกับผ่อนลมหายใจหนักหน่วง เสียงของเขาแหบห้าว

เธอตอบกลับ “ฉันยังมีเรื่องต้องทำ”

“ผมรับประกันไม่ได้ว่ากี่ครั้ง”

หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็ยืดตัวขึ้นทันที ทันใดนั้นหญิงสาวที่อยู่ใต้ร่างก็อดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียงครวญคราง

“กี่โมงแล้วคะ?” แขนขาวนวลของหลินเซี่ยโผล่ยื่นออกมาจากผ้าห่ม พยายามผลักชายหนุ่มด้านบนที่ยังคงหอบหายใจแรง

เฉินเจียเหอเหลือบดูนาฬิกาแล้วตอบว่า

“สี่ทุ่ม”

“ฉันบอกว่าให้แค่ครั้งเดียว ทำไมคุณถึงไม่ยอมฟังกันนะ? ต่อแล้วต่ออีกอยู่เรื่อย”

สภาพหลินเซี่ยตอนนี้เหมือนกับดอกไม้ดอกน้อยที่พร้อมจะร่วงโรย เธอฝืนยันตัวลุกขึ้นนั่ง ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมจรดลำคอ ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง พลางมองหน้าเขาด้วยสีหน้าตัดพ้อ

ริมฝีปากของหลินเซี่ยแดงก่ำทั้งยังบวมเป่งเล็กน้อยจากการถูกจูบ เวลาเธอจ้องมองเขาแบบนี้โดยเม้มริมฝีปาก ทำให้ดูมีเสน่ห์ยั่วยวนเข้าไปใหญ่

พอมองคนตัวเล็กด้านข้าง เขาก็ไม่อาจหักห้ามความต้องการที่จะตะครุบเธอต่อไป “ที่รัก ดูคุณพูดเข้าสิ ครั้งเดียวจะพอได้ยังไง?”

“ทำไม? คุณมีเรื่องอะไรที่ต้องไปทำอีกเหรอ? เรามีโอกาสไม่บ่อยนักที่เจ้าหลอดไฟดวงน้อยนั่นจะไม่อยู่ ในที่สุดเราก็ได้ใช้ชีวิตส่วนตัวในโลกอันแสนสุขและเงียบสงบสำหรับเราสองคน เวลานี้ถ้างานของคุณยังไม่ใช่เรื่องใหญ่ พวกเรามานอนด้วยกันต่อดีกว่า”

เนื่องจากบ้านหลังนี้มีขนาดไม่ใหญ่มาก แถมยังมีเด็กวัยกำลังซนอยู่ที่บ้าน ไม่ว่าพวกเขาจะมีอารมณ์ร่วมมากแค่ไหนในขณะที่พวกเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน เฉินเจียเหอก็จะอดกลั้นไว้เสมอ ไม่กล้าส่งเสียงดังเกินไป เพราะผนังห้องที่นี่ไม่เก็บเสียง เขากลัวหู่จือจะได้ยินสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร

เช่นเดียวกับผู้หญิงตัวเล็กในอ้อมแขนของเขา ทุกครั้งที่ระดับความรักกระชั้นรุนแรงขึ้น เธอจะกัดริมฝีปากตัวเองไว้เสมอ พยายามไม่ให้เสียงใด ๆ เล็ดลอดออกมา

นอกจากบางครั้งที่เธอถูกเขารังแกอย่างรุนแรง เธอก็ปลดปล่อยออกมาบ้างอย่างสุดจะหักห้าม

มีเพียงพระเจ้าที่รู้ดีว่าแม้แต่เสียงหอบกระเส่าแผ่วเบาจากเธอ ก็ทำให้เขาสั่นสะท้านด้วยความรัญจวนใจ

คืนนี้เมื่อไม่มีใครอยู่ เธอจึงเปล่งเสียงออกมาอย่างที่ควรจะเป็นเช่นเมื่อกี้… เสียงนั้นเกือบฆ่าเขาจริง ๆ

แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยังอยากถูกฆ่าต่อไป

หลินเซี่ยมองเห็นความคิดของเขาได้อย่างรวดเร็ว จึงเตือนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “คุณควรหักห้ามใจหน่อย คุณอายุเยอะแล้วนะคะ อย่าปล่อยใจไปตามอารมณ์มากเกินไป”

เฉินเจียเหอ “!!!”

อายุเยอะงั้นเหรอ?

“คุณนอนก่อนได้เลยนะ ฉันขอตัวก่อน”

หลินเซี่ยเพิกเฉยต่อสีหน้าที่เข้มขึ้นของชายคนนั้น และคลำหาเสื้อผ้าของตัวเอง

“นี่ก็ถึงเวลานอนปกติของเราแล้วนะ คุณยังมีอะไรต้องทำอยู่เหรอ?”

“ใกล้จะถึงวันเกิดของผู้เฒ่าเซี่ยแล้วไม่ใช่เหรอคะ? วันนี้ฉันบังเอิญเดินผ่านร้านขายผ้า ก็เลยเลือกซื้อผ้าชิ้นหนึ่งมาตัดเสื้อตัวใหม่ให้เขา วันอื่น ๆ ฉันคงไม่มีเวลา วันนี้รู้สึกว่าตัวเองยังไม่ง่วง ก็เลยตั้งใจว่าจะทำให้เสร็จก่อนแล้วค่อยนอน ไม่อย่างนั้นจะล่าช้าเกินไป ถ้ารีบร้อนทำผลลัพธ์จะออกมาไม่ดี”

หลินเซี่ยสวมเสื้อผ้า จากนั้นมัดผมหางม้าง่าย ๆ “ตอนนั้นฉันกำลังคิดว่าจะซื้อของขวัญบางอย่าง แต่แล้วฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่าพวกเขาไม่ได้ขาดแคลนอะไรเลย ทำให้ฉันคิดไม่ออกว่าจะซื้ออะไรดี สู้ตัดเสื้อตัวใหม่ให้เขาดีกว่า จะได้แสดงถึงความตั้งใจของฉันเองด้วย”

“ที่รัก ไว้พรุ่งนี้ค่อยทำไม่ได้เหรอ”

“พรุ่งนี้เถ้าแก่เซี่ยจะเปิดห้องเต้นรำอย่างเป็นทางการแล้ว คาดว่าพวกเราคงกลับบ้านดึกแน่ ๆ ช่วงนี้ตำรวจยิ่งแวะเวียนมาหาแม่ฉันบ่อย แถมฉันก็ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ อย่างน้อยทำเสร็จเร็วก็สบายใจกว่า”

“คุณนอนซะเถอะ ฉันยังไม่ง่วงจริง ๆ ต่อให้นอนก็อาจจะไม่ได้…!” จู่ ๆ เธอหยุดพูดกลางประโยคทันเวลา

“อาจจะไม่ได้งานก็ได้”

เธอรีบไปหยิบผ้าเมตรที่เธอเพิ่งซื้อมาวันนี้ จากนั้นก็เตรียมอุปกรณ์ตัดเย็บ เริ่มวัดผ้าโดยอิงจากขนาดลำตัวของผู้เฒ่าเซี่ยจากความทรงจำ

เมื่อภรรยาของเขาไม่ยอมเข้านอน เฉินเจียเหอก็ข่มตานอนไม่หลับเช่นเดียวกัน เขาลุกขึ้นไปสวมเสื้อผ้า แล้วมาช่วยเธอดึงผ้าให้ตึงระหว่างการตัดเพื่ออำนวยความสะดวก

หลังจากตัดเสร็จแล้ว เขาก็นั่งอยู่ข้าง ๆ เธอ เฝ้าดูทุกขั้นตอนการตัดเย็บของเธอด้วยสมาธิจดจ่อ

พร้อมกันนั้นก็รู้สึกทึ่งเล็กน้อยเมื่อได้เห็นกับตา

เวลาภรรยาสาวของเขาตั้งใจอยู่กับการทำงานอะไรสักอย่าง ช่างเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์จริง ๆ

แม้ว่าเธอจะอายุเพียงยี่สิบต้น ๆ แต่รังสีความจริงจังและตั้งอกตั้งใจของที่เธอเปล่งออกมาในเวลานี้ดูแทบไม่ต่างจากผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว สั่งสมความมั่นคงทางอารมณ์มาหลายปี และมีประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม

อย่างไรก็ตาม การที่เธอเต็มเปี่ยมไปด้วยวุฒิภาวะแบบนี้ ยิ่งทำให้เขารู้สึกอ่อนเยาว์ลงไปทุกวัน

หลังจากตัดเย็บเสื้อคลุมเสร็จแล้ว เฉินเจียเหอก็ช่วยจัดแจงรีดผ้า

เวลานี้ดึกมากแล้ว หลินเซี่ยจึงวางแผนว่าจะตัดกางเกงในครั้งต่อไป หลังจากที่รีดเสร็จเรียบร้อย ก็พูดขึ้นว่า “คุณลองใส่ดูหน่อยสิ ฉันอยากเห็นว่าเวลามันถูกสวมใส่จริง ๆ จะออกมาเป็นยังไง”

หลินเซี่ยทำเสื้อคลุมคอจีนให้ผู้เฒ่าเซี่ย

ผู้เฒ่าเซี่ยเป็นอาจารย์ สอนและให้ความรู้แก่ลูกศิษย์มานานหลายสิบปี ในความทรงจำของเธอ เขามักจะสวมเสื้อคลุมคอจีนที่เข้าชุดกับกางเกงโดยเหน็บปากกาไว้ตรงกระเป๋าเสื้ออยู่เป็นนิจ ยืดหลังตรงอย่างสง่าผ่าเผยตลอดเวลา

เฉินเจียเหอลองเสื้อตัวใหม่ พบว่ามันค่อนข้างใส่ยาก เนื่องจากช่วงไหล่จะรัดแน่นเป็นพิเศษ เขากลัวว่าตะเข็บจะแตกจึงค่อย ๆ สวมอย่างระมัดระวัง

นอกจากแขนเสื้อที่เต่อขึ้นมาครึ่งหนึ่ง และความยาวของชายเสื้อที่สั้นกว่าเมื่อเทียบกับความสูงของเขา ภาพรวมของเสื้อตัวใหม่ก็ออกมาค่อนข้างดี

หลินเซี่ยดันเขาให้หมุนตัวไปรอบ ๆ “ไม่เลวเลย มันอาจจะเล็กไปหน่อยสำหรับคุณ แต่คุณตาเตี้ยกว่าคุณประมาณสิบเซนติเมตรได้ ครั้งล่าสุดที่พวกเราเจอกัน ฉันเห็นว่าน้ำหนักเขาเหมือนจะเพิ่มขึ้นนิดหน่อย ดังนั้นเขาน่าจะสวมมันได้พอดี”

หลังจากที่หลินเซี่ยพูดจบ เธอก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง

เธอหลุดปากเรียกเขาว่าคุณตาโดยสัญชาตญาณ

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้เธอก็อดยิ้มอย่างขมขื่นไม่ได้

ถ้าไม่ใช่เพราะเขายังเกี่ยวดองกับตระกูลเสิ่น เธอคงคิดจะเรียกเขาแบบนั้นตลอดไป

ถึงอย่างไรชายชราก็ใจดีกับเธอมากจริง ๆ แม้เมื่อก่อนเขามักจะคิดว่าเธอเป็นคนโง่ก็ตาม

เขามักจะมองหน้าเธอแล้วพร่ำบ่นเวลาเธอทำการบ้านไม่ได้ บอกว่าเขามีลูกศิษย์เก่ง ๆ อยู่เต็มบ้านเต็มเมือง แต่กลับมีแตงขมอยู่ที่บ้าน

ตอนนี้ชายชราน่าจะรู้สึกโชคดีไม่น้อย เมื่อรู้ความจริงว่าแตงขมลูกนี้ไม่ได้เป็นหลานสาวของเขา

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

สนับสนุนแบบใดของพี่เหอคะเนี่ย ร้อนแรงจิกหมอนเหลือเกิน อ๊ายยย

ไหหม่า(海馬)