ตอนที่ 265 ห้องเต้นรำเปิดแล้ว

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 265 ห้องเต้นรำเปิดแล้ว

ตอนที่ 265 ห้องเต้นรำเปิดแล้ว

ห้องเต้นรำของเซี่ยไห่เปิดอย่างเป็นทางการในวันนี้ แน่นอนว่าพิธีเปิดก็ค่อนข้างใหญ่ พนักงานทุกคนที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้ามาทำงานต่างสวมเครื่องแบบเดียวกัน ผู้ชายสวมเสื้อเชิ้ตกางเกงขายาว ผู้หญิงสวมกระโปรงสีดำและเสื้อเชิ้ตสีขาว สำหรับไห่เฉิงแล้วถือเป็นยูนิฟอร์มที่ทันสมัยและตามกระแสมาก

เครื่องเสียงชุดใหญ่ถูกลากออกมาตั้งหน้าประตู เปิดเพลงดิสโก้ดังกระหึ่ม ปูพรมแดงเข้าไปจากด้านหน้า

ห้องเต้นรำของเขาในเสิ่นเจิ้นมีชื่อกิจการว่าห้องเต้นรำสวินเมิ่ง (ห้องเต้นรำในฝัน)

ดังนั้น เมื่อมาเปิดสาขาใหม่ที่ไห่เฉิง จึงยังคงใช้ชื่อเดิมเพื่อบ่งบอกถึงความเป็นเครือข่ายเดียวกัน

วันนี้เซี่ยไห่ได้โทรไปเชิญชวนฟางจิ้นเป่าและลู่เจิ้งอวี่ด้วยตัวเอง เนื่องจากพวกเขาล้วนเป็นสหายพี่น้องที่เคยทำงานในกรมการรถไฟ

เมื่อเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยเดินเข้าไปในร้าน ก็พบว่าบรรยากาศค่อนข้างมีชีวิตชีวามาก

ถังหลิงถึงกับยอมปิดร้านในวันนี้เพื่อมามอบของขวัญแสดงความยินดี จากนั้นก็เสนอหน้ามายืนอยู่ข้างเซี่ยไห่

หล่อนเห็นโลกมามาก ถึงกับลงทุนซื้อกระเช้าดอกไม้สองใบให้เซี่ยไห่ ทำให้มันถูกวางไว้ขนาบทั้งสองด้านตรงประตูทางเข้าของห้องเต้นรำ

ฟางจิ้นเป่าและลู่เจิ้งอวี่รีบขยิบตาให้ถังจวิ้นเฟิง แล้วสอบถามเกี่ยวกับตัวตนของถังหลิง

“นั่นใครน่ะ? อย่าบอกนะว่าพี่ไห่มีแฟนแล้ว?”

ถังจวิ้นเฟิงเหลือบมองผู้หญิงที่พยายามทำให้ตัวเองมีตัวตนอยู่ข้าง ๆ เซี่ยไห่ตลอดเวลา เห็นแล้วก็ให้รู้สึกอายแทน

เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าลูกพี่ลูกน้องของเขาคิดอย่างไรกับอีกฝ่าย

หล่อนคงรู้ว่าตัวเองไม่ได้ลงเอยกับเฉินเจียเหอแน่แล้ว จึงเปลี่ยนเป้าหมายมุ่งไปที่เซี่ยไห่

ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้มีท่าทางคัดค้านในเรื่องนี้

ตราบใดที่เซี่ยไห่พึงพอใจ นั่นก็คือเป็นสิทธิ์ของเขา

เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นของฟางจิ้นเป่าและลู่เจิ้งอวี่ ถังจวิ้นเฟิงก็ไม่กล้าตอบแทนเซี่ยไห่ ทำได้เพียงเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”

ที่จริงเซี่ยไห่รู้จักคนที่นี่เยอะพอสมควร แต่เนื่องจากเขาเปิดธุรกิจห้องเต้นรำซึ่งถือเป็นสถานที่อโคจรอย่างหนึ่ง ทำให้ไม่กล้าเชิญชายชรามาสนับสนุน

นอกจากอีกฝ่ายจะไม่ยอมมาตามคำเชิญแล้ว อาจจะตำหนิเขากลับมาด้วยซ้ำบราวนี่ออนไลน์

กล่าวหาว่าเขาไม่รู้จักกาลเทศะ

ดังนั้น เขาจึงเลือกที่จะไม่เชิญทั้งผู้เฒ่าเฉินและผู้เฒ่าเซี่ย

แต่เลือกที่จะเชิญสหายพี่น้องสามสี่คนที่มีความสำคัญต่อเขามากกว่า อย่างน้อยพวกเขาก็เต็มใจมาร่วมสนุกแน่

ในช่วงทศวรรษที่ 1990 ห้องเต้นรำอาจจะไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่อะไรสำหรับเมืองใหญ่ แม้แต่เมืองไห่เฉิงเองก็มีห้องเต้นรำอยู่แล้วถึงสองแห่ง แต่ห้องเต้นรำของเซี่ยไห่ถือเป็นที่แรกบนถนนสายนี้

ทุกคนเห็นความคืบหน้าของการตกแต่งมาหลายวันแล้ว คนหนุ่มสาวในโรงงานต่างตั้งตารอมาเป็นเวลานาน

ยิ่งเมื่อตอนนี้หน้าร้านมีเสียงดนตรีอันเร้าใจเปิดเล่นอยู่ มันก็ดึงดูดผู้คนมากมายให้มาร่วมชมได้สำเร็จ

แผ่นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ถูกติดอยู่บนผนังด้านนอกประตู ซึ่งระบุข้อเสนอพิเศษเพื่อเฉลิมฉลองการเปิดตัวครั้งยิ่งใหญ่

ช่วงหนึ่งสัปดาห์หลังเปิดกิจการใหม่ ทุกบริการจะลดราคาเหลือครึ่งหนึ่งจากราคาเต็ม

เซี่ยไห่หยิบไมโครโฟนขึ้นมาแล้วเริ่มพูด แนะนำลักษณะภายในห้องเต้นรำสั้น ๆ โดยหวังว่าสุภาพบุรุษ สุภาพสตรี และหนุ่มสาวทุกคนจากเขตโรงงานอุตสาหกรรมจะยินดีมาอุดหนุนร้านของเขา

จากนั้นเขาก็พาสหายพี่น้องทุกคนก้าวขึ้นไปเปิดป้าย

เซี่ยไห่จูงมือหลินเซี่ยด้วยความกระตือรือร้นเป็นพิเศษ

“เซี่ยเซี่ย เธอยืนอยู่ตรงกลางเลย”

ถังหลิงยืนอยู่ข้างเซี่ยไห่ตลอดทั้งช่วงเช้า จุดประสงค์คือเพื่อให้คนอื่น ๆ มองเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขามีอะไรที่มากกว่านั้น

แต่เมื่อถึงพิธีเปิดป้ายอย่างเป็นทางการ เซี่ยไห่ไม่เพียงแต่ไม่เชิญหล่อนขึ้นไปเท่านั้น ยังจับจูงมือหลินเซี่ยและเดินผ่านหน้าหล่อนไปด้วย ถึงหล่อนจะกลับมาในเมืองพร้อมกับวุฒิภาวะที่สูงขึ้น แต่ในตอนนี้ก็อดอารมณ์เสียไม่ได้

หล่อนยืนอยู่ที่นั่นด้วยใบหน้าแข็งทื่อ มองดูเซี่ยไห่อย่างไม่เข้าใจขณะที่เขากำลังประคองแขนของหลินเซี่ยให้เดินขึ้นไปบนเวที มือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวกำเข้าหากันแน่น รู้สึกได้ว่าปลายเล็บจิกเข้าในฝ่ามือ

ทำไมเซี่ยไห่ถึงกล้าทำแบบนี้?

ผู้หญิงคนนั้นเป็นภรรยาของเฉินเจียเหอ แต่เซี่ยไห่กลับไม่เคอะเขินเลยยามถูกเนื้อต้องตัวอีกฝ่าย หลังจากจัดแจงให้เธอยืนอยู่ตรงกลางเรียบร้อยแล้ว เขายังไม่วายมองเธอด้วยสายตาที่แฝงด้วยความรักบางอย่าง

ส่วนเฉินเจียเหอก็ไม่มีแม้แต่อาการหึงหวงหรือแสดงความไม่พอใจ เดินขึ้นไปอยู่ข้าง ๆ หน้าตาเฉย

ถังหลิงรู้สึกว่าบางทีความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยไห่และหลินเซี่ยอาจไม่ง่ายอย่างที่คิด

เพราะดูแล้วเขาไม่น่าจะปฏิบัติต่อเธอในฐานะที่พวกเขาเป็นพี่เขยและน้องสะใภ้

หลินเซี่ยถูกบังคับให้ขึ้นไปมีส่วนร่วมบนเวที ดังนั้นเธอจึงต้องตัดริบบิ้นและเปิดป้ายพร้อมกับพวกเขา

หลินจินซานสวมชุดสูทยืนอยู่ที่นั่น ส่งเสียงเชียร์และปรบมือเสียงดัง

ถังหลิงอาศัยช่วงที่ผู้คนกำลังเคลื่อนย้ายตำแหน่งเข้าหาหลินจินซานทันที แกล้งถามเขาว่า “จินซาน ดูเหมือนเถ้าแก่เซี่ยจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับน้องสาวของนายไม่น้อยเลยนะ”

หลินจินซานหันหน้าไปมองเมื่อได้ยินเสียงของถังหลิง

“คุณถัง คุณพูดผิดแล้ว”

“ผิดเหรอ?” ดวงตาของถังหลิงสว่างขึ้นเล็กน้อย พวกเขามีความสัมพันธ์ลับลมคมในต่อกันจริง ๆ สินะ?

ภายใต้สายตาเปี่ยมความหวังของถังหลิง เขาแก้ไขคำพูดของหล่อนด้วยใบหน้าที่จริงจังมาก “ใช่ คุณเรียกผมผิด จากนี้โปรดเรียกผมว่าหัวหน้าหลิน”

ถังหลิง “…”

หล่อนกัดกรามอย่างขัดใจ พยายามสงบสติอารมณ์และฝืนยิ้ม “หัวหน้าหลิน ขอแสดงความยินดีด้วย”

หลินจินซานแสดงรอยยิ้มมืออาชีพที่ได้รับการฝึกฝนมาพร้อมกับพยักหน้า “ขอบคุณครับคุณถัง”

หล่อนถือโอกาสล้วงความลับกับหลินจินซานในขณะที่เหล็กยังร้อนอยู่ “หัวหน้าหลิน เซี่ยเซี่ยกับเถ้าแก่เซี่ยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันแบบนี้ เจียเหอเขาไม่รู้สึกหึงอะไรเลยเหรอ? ฉันคิดว่าเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ อย่างน้อยฝ่ายหญิงก็ควรมีความเกรงใจสามีบ้างจริงไหม?”

“คุณไม่เห็นเหรอว่าน้องเขยของผมมีความสุขมากกว่าใครซะอีก?”

ถังหลิงมองกลับไปบนเวทีที่มีหลินเซี่ยยืนอยู่ระหว่างเฉินเจียเหอกับเซี่ยไห่ และเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเฉินเจียเหอกำลังอารมณ์ดีมากจริง ๆ

คนอย่างเขาเป็นผู้ชายที่ไม่เคยปั้นหน้าเสแสร้ง

ถังหลิงยังอยากจะถามหลินจินซานต่อไปว่าระหว่างพวกเขาทั้งสามมีความลับอะไรหรือไม่ แต่ความสนใจของหลินจินซานยังคงอยู่กับกิจกรรมบนเวที เขาคอยสั่งให้ทีมงานทำสิ่งนี้และสิ่งนั้นเป็นครั้งคราว ไม่มีความตั้งใจที่จะพูดคุยกับหล่อนเท่าใดนัก

ถังหลิงรู้สึกหงุดหงิดและสับสนมาก

ในที่สุดก็เสร็จสิ้นพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ

ทุกคนเข้าไปภายในห้องเต้นรำ จากนั้นก็เริ่มโยกย้ายส่ายสะโพกอย่างสนุกสนานไปตามเสียงดนตรี

เซี่ยไห่ทำงานอย่างรอบคอบและทุ่มเงินไปเป็นจำนวนมากกับการตกแต่งภายใน ทำให้เสียงรบกวนไม่ดังออกมาสู่ภายนอก ต้องเข้าไปข้างในก่อนถึงจะเหมือนก้าวเข้าสู่อีกโลกหนึ่ง

กลางห้องเต้นรำมีไฟหลากสีสันที่หมุนไปรอบ ๆ ได้ ทันทีที่เปิดไฟ บรรยากาศข้างในก็สวยงามเจิดจ้า พอเสียงดนตรีเริ่มเปิดคลอ ทุกคนก็เริ่มเคลื่อนไหว

“มา จวิ้นเฟิง ออกสเตปกันหน่อย”

ฟางจิ้นเป่าผู้เป็นชายวัยกลางคนหยาบกระด้างและไม่โกนหนวดเครา สวมเสื้อแจ็กเกตกางเกงขายาวเก่า ๆ ที่มีรอยยับย่นตรงขา ออกไปยืนอยู่กลางห้องเต้นรำ บิดตัวโยกย้ายอย่างเงอะงะ ดูน่าขบขันมาก

ถึงอย่างไรถังจวิ้นเฟิงก็เป็นตำรวจ การเข้ามาในสถานที่อโคจรอย่างเช่นห้องเต้นรำ ทำให้เขาต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ เพราะกลัวว่าจะฝ่าฝืนวินัย

ฟางจิ้นเป่าเต้นแร้งเต้นกาอยู่คนเดียวพักหนึ่งก็เดินเข้ามาดึงแขนเขา ถังจวิ้นเฟิงรีบผลักเขาออกไปแล้วพูดว่า “เหล่าฟาง ไม่ต้องมาลากฉันไป ฉันเต้นไม่เป็นและเต้นไม่เก่งเท่านายหรอก”

ดังนั้น ฟางจิ้นเป่าจึงหันไปดึงลู่เจิ้งอวี่ให้เข้ามาร่วมสนุกแทน

ลู่เจิ้งอวี่ก็เต้นอยู่กลางฟลอร์อย่างสนุกสนานเช่นเดียวกัน ราวกับพวกเขาทั้งสองมีพื้นที่ให้ปลดปล่อย จึงเพลิดเพลินไปกับมันมาก ๆ

“พวกเขาทำงานเครียด ๆ อยู่ในโกดังซ่อมรถไฟมานานเกินไป ปล่อยให้พวกเขาพักผ่อนหย่อนใจหน่อยเถอะ”

ในยุคนี้ นอกเหนือจากจังหวะดิสโก้ที่เป็นที่นิยมแล้ว ยังมีท่าเต้นยอดฮิตอีกหลายประเภท

ยกตัวอย่างเช่น จังหวะวอลซ์ จังหวะฟอกซ์ทรอท จังหวะชะชะช่า และยังมีจังหวะเต้นอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้

ทันทีที่เข้ามาในที่ที่มีบรรยากาศสนุกสนานแบบนี้ ทุกคนต่างก็อดไม่ได้ที่จะเคลื่อนไหวตามจังหวะเพลง

หลินเซี่ยเป็นฝ่ายดูทุกคนเต้นมาสักพัก ถึงตอนนี้เธอเองก็เตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนไหวแล้ว

เธอหันไปถามเฉินเจียเหอ “เฉินเจียเหอ คุณเต้นเป็นหรือเปล่า?”

เฉินเจียเหอส่ายหัว “ผมไม่สันทัดเลย”

“ให้ฉันสอนไหม?”

เห็นได้ชัดว่าเฉินเจียเหอไม่เคยลองทำอะไรแบบนี้มาก่อน ใบหน้าหล่อเหลาของเขาจึงแสดงออกถึงการต่อต้าน

“ถ้าคุณไม่ไป งั้นฉันจะไปเต้นกับลู่เจิ้งอวี่สุดหล่อแทน”

เซี่ยไห่เดินเข้ามา จากนั้นก็ยื่นมือให้ด้วยท่านิยมของสุภาพบุรุษไปทางหลินเซี่ย “เซี่ยเซี่ย ให้เกียรติเต้นเป็นคู่ฉันด้วย”

ก่อนที่หลินเซี่ยจะมีเวลาตอบ ทันใดนั้นเฉินเจียเหอก็ลุกขึ้นยืน ตบฝ่ามือของเซี่ยไห่ออกไป จากนั้นจูงมือภรรยาของเขาและเดินเข้าไปยังใจกลางของฟลอร์เต้นรำ

อวัยวะของเฉินเจียเหอไปไม่พร้อมเพรียงกัน เป็นเพราะเขาไม่รู้วิธีการก้าวเท้าที่ถูกต้อง ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้หลินเซี่ยเป็นผู้นำตลอดกระบวนการทั้งหมด หลังจากทำซ้ำไม่กี่ครั้งเขาก็จับจังหวะได้

อย่างไรเสียนี่ก็เป็นแค่การเต้น จุดประสงค์ก็เพื่อความสนุกสนาน แค่ขยับตัวไปตามเสียงเพลงก็น่าจะเพียงพอ

“มาเถอะ ขอเชิญทุกคนมาเต้นรำด้วยกัน”

ทันทีที่คนเข้าไปอยู่ในฟลอร์มากขึ้น สเตปการเต้นก็เริ่มวุ่นวายและไม่มีใครสนใจใคร

ถังหลิงกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะเดินเข้าไปอีกครั้ง

หล่อนมองไปทางเซี่ยไห่และพูดด้วยน้ำเสียงไพเราะ “พี่เซี่ย ออกไปเต้นเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิคะ”

เซี่ยไห่ยิ้มและส่ายหัวอย่างสุภาพ “ขอโทษด้วย ผมเต้นไม่เป็นจริง ๆ”

“คุณเปิดห้องเต้นรำแท้ ๆ แต่เต้นไม่เป็นเนี่ยนะ?”

เซี่ยไห่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ผมแค่เปิดห้องเต้นรำเพื่อหารายได้น่ะ”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

หวายยย งานนี้มีคนนกซ้ำนกซ้อนล่ะค่ะ อุตส่าห์ปิดร้านตัวเองมาเรียกร้องความสนใจเขาเต็มที่ แต่เขาก็เมินตลอดงาน

ไหหม่า(海馬)