บทที่ 203 รุมประณาม

cw // เนื้อหาในตอนนี้มีความไม่เหมาะสม มีการกล่าวถึงพฤติกรรมใคร่เด็ก (Pedophilia)

และการบรรยายฉากฆาตกรรม โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

บทที่ 203 รุมประณาม

สาเหตุที่ทำให้ผู้เฒ่าหลี่เป็นลมไม่ใช่เพียงเพราะลูกชายสารภาพว่าตั้งใจจะขืนใจซูเถาฮวาเท่านั้น

หลี่จื่อกั๋วไม่เพียงสร้างเรื่องในชุมชนการผลิตหงซิน

แต่ยังมีเรื่องเด็กในอำเภอที่หายตัวไป นั่นเป็นเพราะหลี่จื่อกั๋วขืนใจเธอก่อนจะสังหารและนำศพไปฝังดิน

นี่ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่เลวร้ายอย่างยิ่ง ต่อให้เป็นสววรค์ก็ปกป้องหลี่จื่อกั๋วไว้ไม่ได้

ผู้เฒ่าหลี่ไม่คิดเลยว่า ลูกชายคนสุดท้องที่ตนรักมากที่สุดจะก่อเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ได้

เขารู้มาตลอดว่าลูกชายเป็นพวกมีความใคร่สูง แต่ไม่คิดเลยว่าจะใคร่กับเด็กผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ใหญ่!

ข่าวที่ว่าหลี่จื่อกั๋ว ลูกชายคนสุดท้องของตระกูลหลี่ในอำเภอขืนใจเด็กผู้หญิง จากนั้นก็สังหารและฝังศพไว้ ทั้งยังมีข่าวแพร่งพรายไปทั่วทั้งอำเภอที่ว่าเขาตัดแขนขาของพยาน

และก็ยังมีข่าวที่ตระกูลหลี่พาคนบุกไปโรงพยาบาลเพื่อข่มขู่ผู้ป่วยที่โดนซ้อมจนเข้าโรงพยาบาล ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นคนอย่างไรกันแน่

ข่าวนี้เสมือนกับเมฆพายุพัดผ่าน ก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้นในเมือง

แค่วันเดียว ทุกคนจากทั่วทุกมุมเมืองก็รู้เรื่องนี้ แม้แต่คนที่ไม่สนใจอะไรเลยก็ยังรับรู้เรื่องนี้

คนในอำเภอไม่คิดเลยว่าจะมีปีศาจตัวนี้อยู่ในโลกด้วย

ก่อนหน้านี้เคยได้ยินมาว่ามีพวกค้ามนุษย์อยู่ในเมือง

อีกหลายครอบครัวที่มีลูกเล็กต่างหวาดกลัวกันมาก จากที่เด็ก ๆ เคยออกไปเล่นได้อย่างสบายใจก็ถูกขังไว้ในบ้าน

พอตอนนี้รับรู้ถึงข่าวนี้ก็รู้ว่าพวกเด็ก ๆ ไม่ได้โดนลักพาตัวไปขาย แต่โดนขืนใจแล้วสังหารทิ้ง

ผลลัพธ์เช่นนี้เลวร้ายยิ่งกว่าการค้ามนุษย์เสียอีก

แม้ว่าจะโดนเอาไปขาย แต่อย่างน้อยก็ยังมีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่

เมื่อข่าวเช่นนี้แพร่ออกมา มันทิ่มแทงหัวใจของครอบครัวเหล่านี้ที่หัวใจของพวกเขาเคยสลายไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย

แม้กระทั่งความคิดสุดท้ายก็ไม่มีแล้ว พวกเด็ก ๆ จากไปแล้วจริง ๆ

เหล่าคนจิตใจดีและซื่อสัตย์พวกนั้นไม่คิดเลยว่าคนข้างกายของพวกเขาจะกลับกลายเป็นคนโหดเหี้ยมอย่างนี้

เดิมทีมันก็เป็นตัวเมืองอำเภอเล็ก ๆ ก่อนหน้านี้ตระกูลที่เคยถูกมองว่าสูงส่ง ตอนนี้ไม่ได้เหนือไปกว่าคนอื่นเลย

ตอนที่ผู้คนมองไปยังตระกูลหลี่ สีหน้าทุกคนล้วนย่ำแย่ มันเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

เหล่าครอบครัวของเด็ก ๆ ที่ถูกทำร้ายต่างมารวมตัวกันที่เรือนสี่ประสานของตระกูลหลี่ทุกวันเพื่อไปร้องไห้คร่ำครวญให้ตระกูลหลี่คืนลูกพวกเขามา

แม้แต่คนไม่ได้มีความเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ยังวิ่งโล่ไปที่ประตูบ้านพวกเขาเพื่อด่าทอและขว้างปาผัก

ถ้าเป็นช่วงปกติ ด้วยอิทธิพลของตระกูลหลี่ในอำเภอ ผู้คนไม่กล้าสร้างปัญหาแบบนี้หรอก

ทว่าในตอนนี้แม้ตระกูลหลี่จะอดทนไม่ไหว แต่ทำได้เพียงกัดฟันอดทน ไม่กล้าขัดขืนแม้แต่น้อย

หากพวกเขาขัดขืน ก็จะโดนโจมตีกลับด้วยความรุนแรงที่เพิ่มขึ้น

ตอนที่พี่ชายและพี่สะใภ้ของหลี่จื่อกั๋วออกไปทำงาน ก็โดนคนอื่นดูถูกดูแคลน

เพราะคิดว่าไม่มีใครในตระกูลนี้เป็นคนดีสักคน ทั้งยังมีคนบอกอีกว่า ลูกชายคนเล็กเป็นแบบนี้แล้ว ลูกชายคนอื่น ๆ ก็คงไม่ต่างกันหรอก

แววตาของพวกเขาทำให้ตระกูลหลี่ไม่สบายใจ แต่ไม่คิดว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น

ครอบครัวที่สูญเสียลูกไปที่บ้านหลี่จื่อกั๋วอย่างรวดเร็ว ทั้งห้องนั่งเล่น ห้องครัวโดนทุบทำลายทั้งหมด

ผู้เฒ่าหลี่โทรหาตำรวจ แต่พวกเขากลับมาล่าช้าเกินไป พอมาก็แค่ทำให้คนกลัว แต่ไม่ลงมือดำเนินการอะไรเลย

ตระกูลหลี่มีอำนาจไม่ใช่เรื่องผิด แต่เรื่องนี้ไร้มนุษยธรรมเกินไป

พวกเขายังรังเกียจการกระทำของตระกูลหลี่ นับประสาอะไรกับคนอย่างหลี่จื่อกั๋ว

ตระกูลหลี่โดนคนมาโวยวายเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่มันไม่มีทางที่จะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้

เพราะคนที่ทำผิดก็เป็นคนจากตระกูลหลี่ ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นในตระกูลเลย!

คนแรกที่ทนไม่ได้คือพวกสะใภ้ของหลี่จื่อกั๋ว

ชีวิตที่มั่นคงแต่เดิมของพวกเธอต้องพังทลายเพราะหลี่จื่อกั๋ว

ช่วงที่ทำเรื่องหย่าและแยกครอบครัวกันนั้น พวกพี่ชายตัดสินใจแยกครอบครัว และออกจากเรือนสี่ประสานเดิมของพวกเขา

จึงเหลือเพียงผู้เฒ่าหลี่ ภรรยาของหลี่จื่อกั๋ว รวมถึงลูกชายทั้งสามคนของเธอที่เรือนนี้

ภรรยาของหลี่จื่อกั๋วทนไม่ได้ที่สามีทำตัวเป็นสัตว์เดรัจฉาน จึงยืนกรานที่จะหย่า แม้กระทั่งลูกก็ไม่ต้องการสักคน

ในไม่ช้า ภรรยาของหลี่จื่อกั๋วก็ออกจากครอบครัวหลี่ไปโดยไม่ได้พาลูกไปด้วย แม้กระทั่งงานก็ไม่ต้องการ

ได้ยินว่าไปหาคนที่เกี่ยวข้องกันไปชนบท แต่ที่ไหนนั้นไม่มีใครรู้

ตระกูลหลี่ที่เคยคึกคัก เพียงพริบตาเดียวก็เหลือเพียงผู้เฒ่าหลีกับลูกชายทั้งสามของหลี่จื่อกั๋ว ทุก ๆ วันพวกเขายังต้องเผชิญกับการดุด่าจากผู้คนมากมาย

ครั้นมองดูพวกหลาน ๆ ที่สูญเสียพ่อแม่ไปในชั่วข้ามคืน ดวงตาของผู้เฒ่าหลี่ก็เศร้าหมอง ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

ส่วนหลี่จื่อกั๋วนั้น เพราะอาชญากรรมที่ก่อร้ายแรงเกิดไป จึงถูกทีมสอบสวนจากเมืองหลวงนำตัวกลับไปพร้อมกัน

ในขณะเดียวกัน ทางฝั่งเสี่ยวเถียนและคนอื่น ๆ กำลังเตรียมตัวสำหรับช่วงเวลาเก็บเกี่ยวธัญพืชฤดูร้อน

ตอนที่เสี่ยวเถียนกลับมาหงซิน ได้ยินว่าทางชุมชนใหญ่เห็นด้วยกับเรื่องที่หงซินจะพัฒนาอุตสาหกรรมการเพาะพันธุ์ต่อไปในระดับที่ล้ำลึกยิ่งขึ้น

นี่เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมเลย หงซินเป็นผู้นำในการจัดตั้งองค์กรที่ดำเนินกิจการภายในหมู่บ้านของตนเอง และการพัฒนาในอนาคตจะก้าวไปข้างหน้าก่อนหนึ่งก้าว

ผู้คนในชุมชนหงซินให้การสนับสนุนเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะจากการการสร้างฟาร์มไก่มันทำให้พวกเขาได้รับประโยชน์

เพราะเป็นประโยชน์ที่ชัดเจนมาก จึงไม่มีใครคิดจะผลักไสโอกาสนี้ออกไป

จากการประมาณการเบื้องต้น ตลอดเวลาทั้งปี แต่ละคนจะได้รับเงินเพิ่มขึ้นอย่างน้อยห้าหยวน

อย่าดูถูกเงินเพียงห้าหยวนเชียวนะ แค่ครอบครัวเดียวก็ได้หลายสิบหยวนแล้ว ยิ่งครอบครัวใหญ่ ยิ่งได้เงินเป็นร้อย

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ไม่กล้าคิดหรือจะได้เห็นด้วยซ้ำ

ผู้คนในหงซินเริ่มจินตนาการแล้วว่าพวกเขาจะได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากขนาดไหน หลังจากที่ก่อตั้งฟาร์มหมูขึ้น

เหล่าสมาชิกเชื่อแล้วว่า หงซินจะกลายเป็นหมู่บ้านมั่งคั่งที่กลายเป็นชุมชน และกลายเป็นอำเภอในไม่ช้า

เสี่ยวเถียนเห็นด้วยกับเรื่องนี้ไม่น้อย

แต่ยังกังวลว่าคนของเราไม่พอ แถมกำลังทรัพย์ยังไม่หนา ถ้าต้องใช้จ่ายไปคงย่ำแย่แน่

เพราะงั้นจะต้องลงแรงไปกับการเรียนเรื่องการเพาะพันธุ์ จนถึงจุดที่หิวกระหายความรู้ไปเลย

ตั้งแต่หลี่จื่อกั๋วถูกจับไป คณะทำงานจากอำเภอยิ่งต่ำต้อยลงเรื่อย ๆ

นอกจากช่วยคนในชุมชนสร้างทำนบกั้นน้ำแล้ว พวกเขาแทบไม่เคยก้าวออกจากบ้านเลย

เพราะซูเถาฮวาเดินทางไปที่อื่นหลายวัน คนพวกนี้จึงต้องเรียนรู้วิธีทำอาหารด้วยตัวเอง

แต่พวกเขาหยิบจับสิ่งใดไม่เป็น และเพราะพวกเขาเป็นผู้ชาย จะทำอะไรแบบนี้ได้อย่างไร

สุดท้าย ซูฉางจิ่วก็ให้เสี่ยวเหมยไปช่วยทำอาหาร

แต่เธอเป็นสาวแล้ว กลัวจะเกิดเรื่องไม่ดีจึงพาซูโส่วเวินไปด้วยทุกวัน

โชคดีที่นอกเหนือจากหลี่จื่อกั๋วแล้ว สมาชิกอีกหกคนที่เหลือในทีมค่อนข้างดี พวกเขาเป็นคนเรียบง่าย ตั้งใจทำงาน และใจดี

ตอนที่เห็นเด็กสองคนช่วยกันทำอาหาร พวกเขาไม่ได้ยืนดูเฉย ๆ แต่ช่วยจัดการงานบ้านอย่างขยันขันแข็งอีกด้วย

โดยเฉพาะสหายเสี่ยวจางที่อายุน้อยที่สุด

ชื่อจริงของสหายเสี่ยวจางคือ จางจวง ปีนี้เขาอายุสิบเก้าปี เป็นเด็กหนุ่มร่าเริงและมีชีวิตชีวา เขาอายุเท่ากับซูโส่วเวิน จึงพูดคุยกันได้อย่างถูกคอ

วันเวลาผ่านไป สุดท้ายทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน