บทที่ 196 อันดับหนึ่งในหล้า โชคร้ายสู่พิภพเซียน

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 196 อันดับหนึ่งในหล้า โชคร้ายสู่พิภพเซียน

“นี่ไม่ใช่เรื่องดีนี่!”

หานเจวี๋ยพึมพำ เขาไม่อยากให้โลกเมฆาแดงแข็งแกร่งเกินไป เพื่อจะได้ไม่เป็นที่จับจ้องของสายตาเทพ

อยู่ในอันดับกลางๆ ดีที่สุด จะได้ดูไม่มีตัวตน

ยามนี้ยังดีที่เลื่อนขึ้นไม่กี่ร้อยอันดับ หากยังเลื่อนขึ้นเรื่อยๆ เช่นนั้นคงเกิดปัญหาขึ้นแน่แล้ว

หานเจวี๋ยรู้สึกว่าหลังจากนี้จะต้องให้ความสนใจป้ายศิลามรรคาสวรรค์บ่อยๆ สักหน่อยแล้ว

เขาไม่ได้ทำอะไรเลย เหตุใดโลกเมฆาแดงถึงแข็งแกร่งขึ้นมาได้เล่า

ตั้งแต่เป็นเทพเซียน ดวงชะตาของหานเจวี๋ยก็ไม่เกี่ยวข้องกับโลกเมฆาแดงอีก

หรือจะเป็นผลสะท้อนจากเขาเพียรบำเพ็ญเซียน

หานเจวี๋ยคิดไม่ออกและขี้เกียจที่จะคิดด้วย

……

ภายในตำหนักหารือบนยอดเขาหลักของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์

นักพรตเต๋าจิ่วติ่งนั่งอยู่บนแท่นด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม

บรรดาผู้อาวุโสในตำหนักต่างก็มีสีหน้ากลัดกลุ้มเช่นเดียวกัน

หลิ่วปู๋เมี่ยเอ่ยปากกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ มู่หรงฉี่เป็นถึงศิษย์หลานของผู้อาวุโสสังหารเทพ แม้ความสัมพันธ์นี้จะไม่ถูกเผยแพร่ออกไป แต่หากเกิดเรื่องกับมู่หรงฉี่ ผู้อาวุโสสังหารเทพจะต้องเดือดเป็นฟืนเป็นไฟอย่างแน่นอน”

ผู้อาวุโสคนอื่นก็ออกมากล่าวสนับสนุน

นักพรตเต๋าจิ่วติ่งปวดศีรษะ กล่าวอย่างจนใจว่า “ยามนี้ไม่ใช่ว่าเรื่องเกิดกับมู่หรงฉี่ แต่เป็นเขาต่างหากที่หาเรื่อง เขาต้องการทำลายดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกท่านมีใครเกลี้ยกล่อมได้บ้าง หรือพวกท่านจะให้ข้าไปหาผู้อาวุโสสังหารเทพ ท่านเคยบอกว่าจะไม่ยุ่งเรื่องทางโลก รวมถึงบุญคุณความแค้นของศิษย์และศิษย์หลาน จะบอกว่าไม่สนใจ แต่หากมู่หรงฉี่ตายไปจะต้องสร้างปมปัญหาในใจอย่างแน่นอน ที่ข้าเรียกพวกท่านมาก็เพื่อหวังว่าพวกท่านจะนึกถึงแผนที่ปลอดภัยครอบคลุมได้”

เงียบสงัด

ในตำหนักใหญ่เกิดเป็นความเงียบขึ้นอีกครั้ง

คิดจะเกลี้ยกล่อมมู่หรงฉี่ ยากเกินไปนัก

มู่หรงฉี่ในยามนี้นับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งระดับสูงสุดของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ หาใช่ธรรมดาอย่างศิษย์เอกทั่วไป

“จริงสิ มู่หรงฉี่มีความสัมพันธ์อันดีกับฟางเหลียง ฟางเหลียงนิสัยอ่อนโยนเมตตา ไม่สู้ให้ฟางเหลียงไปเกลี้ยกล่อมเล่า” มีคนพูดเสนอขึ้นมา

ฟางเหลียงกับมู่หรงฉี่ถูกสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ยกให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่คู่กัน ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งในใต้หล้า

นักพรตเต๋าจิ่วติ่งกล่าวด้วยดวงตาที่เป็นประกาย “ฟางเหลียงไม่อยู่ที่สำนักหยกพิสุทธิ์ ใครเล่าจะไปหาเขา”

หลิ่วปู๋เมี่ยตอบรับ “ข้าไปเอง จะได้เป็นตัวแทนของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ด้วย”

นักพรตเต๋าจิ่วติ่งปรายตามองเขาคราหนึ่ง พยักหน้ารับเล็กน้อย

เรื่องก็กำหนดไว้เช่นนี้แล้ว

……

เพียงพริบตา เวลาก็ผ่านไปอีกเจ็ดปี

วันนี้ สหายเก่าท่านหนึ่งมาเยี่ยมเยียนหานเจวี๋ย

เขาก็คือหวงจี๋เฮ่าจากลัทธิสัจจะยุทธ์ ที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นผู้อาวุโสของสำนักกระบี่วิหคชาดในต้าเยี่ยนนั่นเอง เขาเคยท้าประลองกับหานเจวี๋ยจนเกือบถูกสังหารในเสี้ยววินาทีมาก่อน

คนผู้นี้มีดวงชะตาแต่กำเนิด มีจิตกระบี่ฟ้าประทาน และเคยไปที่แม่น้ำมรรคกระบี่มาก่อน

หานเจวี๋ยมีความประทับใจในตัวเขามาโดยตลอด เพราะเจ้านี่คลั่งไคล้การต่อสู้ สามารถตั้งป้อมสู้กับจี้เซียนเสินได้ ครอบครองสามอันดับแรกของรายชื่อผู้ถูกโจมตีตลอดปี

หานเจวี๋ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจพบเขา

เมื่อหวงจี๋เฮ่าเข้ามาในเขาเพียรบำเพ็ญเซียนก็ต้องตกใจในทันที

‘พลังวิญญาณเข้มข้นยิ่งนัก!’

แม้จะเดินทางไปมาทั่วหล้า เขาก็ยังไม่เคยสัมผัสพลังวิญญาณเช่นนี้มาก่อน

กระทั่งเขามาถึงบนยอดเขา มองเห็นราชามังกรสามหัวกับอีกาทองสองตัว เขาก็ขนลุกซู่ขึ้นมา

กลิ่นอายของปีศาจทั้งสามทำให้เขารู้สึกถึงอันตราย

ถูหลิงเอ๋อร์ปรายสายตามองเขาคราหนึ่ง จากนั้นก็ฝึกฝนต่อไปโดยไม่ได้สนใจแต่อย่างใด

ไก่คุกรัตติกาลกลับมองเขาด้วยความสงสัย

ราวกับว่าเคยรู้จักกันมาก่อน

ฉู่ซื่อเหรินยังคงฝึกฝนอยู่

โจวหมิงเยวี่ยกลับลืมตามองประเมินหวงจี๋เฮ่า

“เข้ามาเถิด”

เสียงของหานเจวี๋ยลอยออกมาจากถ้ำเทวา ประตูใหญ่ของถ้ำเปิดออก อู้เต้าเจี้ยนเบ้ปากเดินออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ

หวงจี๋เฮ่ามองดูนางด้วยความตกใจ

ตบะของแม่นางผู้นี้ก็สูงยิ่งนัก แม้จะเทียบไม่ได้กับเขา แต่ต้องเป็นผู้บำเพ็ญที่ทรงพลังในแดนบำเพ็ญพรตอย่างแน่นอน

ผ่านไปหลายร้อยปี เหตุใดหานเจวี๋ยถึงมีผู้แข็งแกร่งที่อยู่ใต้อาณัติมากมายเช่นนี้

หวงจี๋เฮ่านึกเสียใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

เขาปรับอารมณ์ให้สงบ เดินเข้าไปในถ้ำเทวาฟ้าประทาน

โจวหมิงเยวี่ยเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “คนผู้นี้คือใครกัน รู้สึกว่าแข็งแกร่งสู้พวกเจ้าไม่ได้ แต่เหตุใดถึงได้เข้าไปในถ้ำของอาจารย์ปู่”

ฉู่ซื่อเหรินกล่าวโดยไม่ลืมตาว่า “ตั้งใจฝึกฝนเถอะ แม้แต่คุณสมบัติที่อาจารย์ปู่จะเรียกพบ เจ้ายังไม่มีเลย”

ได้ยินเช่นนี้ โจวหมิงเยวี่ยก็รู้สึกกระอักกระอ่วน

ความเร็วในการฝึกฝนของเขาก็เร็วมากแล้ว เพียงแต่ดูไม่โดดเด่นภายใต้ต้นฝูซังเท่านั้น

เขามักคิดอยู่เสมอว่า คนเหล่านี้เป็นตัวประหลาดอะไรกัน!

ในโลกภายนอก ระดับปราณก่อกำเนิดก็นับได้ว่าเป็นผู้ทรงพลังแล้ว ทว่าที่นี่…

บนต้นไม้มีพระอาทิตย์นอนพังพาบอยู่สองดวง พูดไปใครจะเชื่อ?

โจวหมิงเยวี่ยถอนหายใจแล้วฝึกฝนต่อ

ภายในถ้ำเทวาฟ้าประทาน

เมื่อได้พบกับหานเจวี๋ยอีกครั้ง หวงจี๋เฮ่าใจลอยไปครู่หนึ่ง

เขายังคงรูปงามเช่นนั้น ทำให้ผู้คนตกตะลึง

แม้แต่สตรีก็ยังไม่มีผู้ใดที่ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงในความงามได้

หานเจวี๋ยทนต่อสายตาของเขาไม่ไหว จึงเอ่ยถามขึ้นว่า “มาหาข้าด้วยเรื่องอันใดหรือ”

หวงจี๋เฮ่าได้สติกลับมา กล่าวว่า “มู่หรงฉี่เป็นศิษย์หลานของท่านหรือ”

“ใช่ เหตุใดเล่า”

“เจ้านี่อาจหาญเกินไป เขาเรียกตนเองว่าอันดับหนึ่งในใต้หล้า”

“พอได้กระมัง”

“หากเขาคืออันดับหนึ่งในใต้หล้า แล้วท่านเล่า เขาไม่ได้เห็นอาจารย์ปู่อย่างท่านอยู่ในสายตาเลย”

“ข้าไม่จัดอยู่ในใต้หล้า ข้าจัดอยู่พิภพบน”

“…”

หวงจี๋เฮ่าถูกตอกกลับจนสะอึก

หานเจวี๋ยขมวดคิ้วกล่าว “ที่เจ้ามาหาข้าก็เพื่อพูดเรื่องนี้หรือ”

‘ว่างจนปวดไข่?’

หวงจี๋เฮ่ากล่าว “มู่หรงฉี่ยั่วยุคนของข้า ข้าไม่อาจที่จะไม่ออกหน้า ข้าต้องการสู้กับเขา แต่เขาเป็นศิษย์หลานของท่าน ข้าสามารถไม่ฆ่าเขาได้”

“ไม่มีปัญหา”

หานเจวี๋ยตอบรับ บนใบหน้าเผยรอยยิ้มแปลกๆ ออกมา

หวงจี๋เฮ่าลังเล ถามขึ้นว่า “ยามนี้ท่านแข็งแกร่งเพียงใด”

คำว่า ‘ท่าน’ นี้ดูออกมาจากใจมาก

หานเจวี๋ยกล่าว “พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ หรือเจ้าคิดจะแลกมือกับข้า”

หวงจี๋เฮ่าส่ายหน้าทันที

‘ล้อเล่นน่า’

หานเจวี๋ยเคยต้านทานเทพเซียนมานานแล้ว เขาไหนเลยจะกล้าสู้ด้วย

ปีนั้นซั่งกวนฉิวเจี้ยนที่เป็นอาจารย์ของเขาเคยมาท้าประลองกับหานเจวี๋ย จนถึงกับต้องกักตน กระทั่งตอนนี้ระดับการฝึกฝนก็ยังไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก

“ท่านจะขึ้นสวรรค์เมื่อใด” หวงจี๋เฮ่าถามอย่างระมัดระวัง

หานเจวี๋ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขึ้นสวรรค์หรือ ไม่มีทางแน่ ข้าจะอยู่บนโลกมนุษย์ตลอดไป”

สีหน้าของหวงจี๋เฮ่าแปรเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิง

……

ชั่วเวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป หวงจี๋เฮ่าเดินออกมาจากถ้ำเทวาฟ้าประทาน

เขาดูใจลอยราวกับไร้ซึ่งวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น

ไก่คุกรัตติกาลกล่าวหยอกล้อว่า “ข้านึกออกแล้ว ดูเหมือนแต่ก่อนเขาเคยมาท้าประลองกับนายท่าน อีกทั้งยังพาอาจารย์ของเขามาด้วย”

โจวหมิงเยวี่ยเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ “ผลลัพธ์เล่า”

“ผลลัพธ์หรือ แน่นอนย่อมต้องพ่ายแพ้ภายในเสี้ยววินาที อาจารย์ของเขาเกือบตกใจตายแน่ะ”

“อาจารย์ปู่ช่างร้ายกาจจริงๆ”

หนึ่งมนุษย์หนึ่งไก่ราวกับนักแสดงตัวประกอบที่ใช้คำพูดมาประสานกับการแสดงของตัวเอกเพื่อยั่วผู้ชมให้หัวเราะ หวงจี๋เฮ่าฟังจนต้องขมวดคิ้ว

แม้หวงจี๋เฮ่าจะไม่สบายใจ แต่ก็ไม่ได้ระเบิดอารมณ์ออกมา รีบจากไปอย่างรวดเร็ว

หานเจวี๋ยหยิบป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ออกมา เริ่มต้นสังเกตดูมู่หรงฉี่

หลายปีที่ผ่านมา มู่หรงฉี่กำลังทำอะไรอยู่

มู่หรงฉี่กำลังนั่งฝึกฝนอยู่บนยอดเขาอันอ้างว้าง นั่งเข้าฌานต้านลม เสื้อผ้าโบกสะบัด ดูมีท่วงทีของยอดฝีมือจากนอกโลกเป็นอย่างมาก

หานเจวี๋ยเห็นว่าเขากำลังฝึกฝน จึงหมดความสนใจ

จำต้องกล่าวว่าตบะของมู่หรงฉี่เพิ่มขึ้นเร็วมากจริงๆ เมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งทะลวงถึงระดับฝ่าด่านเคราะห์

หานเจวี๋ยอดนึกถึงจักรพรรดิเซียนกลับชาติมาเกิดแห่งวังเทพผู้นั้นไม่ได้

หรือว่าหลังจากที่ผู้ทรงพลังกลับชาติมาเกิดแล้ว ความเร็วของการบำเพ็ญจะสามารถล้ำหน้ากว่าชาติก่อนได้?

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกหลายร้อยปีให้หลัง มู่หรงฉี่ก็สามารถบรรลุถึงจุดสูงสุดบนโลกมนุษย์แล้ว

แม้กระทั่งอาจจะเร็วกว่านั้น!

ฟางเหลียงเองก็ไม่ช้า มีตบะถึงระดับรวมกายาขั้นแปดแล้ว

ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น อักขระสามแถวก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเขา

[ซูฉีศิษย์หลานของท่านสำเร็จมรรคผลขึ้นสู่สวรรค์ ได้แพร่กระจายความโชคร้ายสู่แดนเซียน ทำให้ดวงชะตาพิภพเซียนเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]

[หนึ่ง รีบขึ้นสู่สวรรค์ ยับยั้งซูฉี จะได้รับยอดสมบัติหนึ่งชิ้น]

[สอง ฝึกฝนต่อไป ไม่ก้าวก่ายแผนการลับวังสวรรค์ จะได้รับสายเลือดแข็งแกร่งแบบสุ่ม]

……………………………………….