บทที่ 197 กายดาราอนธการ พิภพเซียนสั่นสะเทือน

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 197 กายดาราอนธการ พิภพเซียนสั่นสะเทือน

โชคร้ายสู่แดนเซียน?

แผนการลับวังสวรรค์?

หานเจวี๋ยมองจนตกตะลึง

แผนการลับวังสวรรค์นี้หมายถึงการวางแผนของเขา หรือเดิมทีการลงมายังโลกมนุษย์ของซูฉีก็เป็นแผนการลับอย่างหนึ่งแล้ว?

หานเจวี๋ยเลือกตัวเลือกที่สองอย่างเงียบๆ

เขาจะไปยับยั้งซูฉีได้อย่างไร

ใครจะกล้ายุแหย่ซูฉีกัน

นั่นเป็นการหาเรื่องใส่ตัวชัดๆ!

[ท่านเลือกฝึกฝนต่อไป ไม่ก้าวก่ายแผนการลับวังสวรรค์ ได้รับสายเลือดแข็งแกร่งแบบสุ่ม]

[ยินดีด้วย ท่านได้รับกายดาราอนธการ]

[กายดาราอนธการ: ถือกำเนิดจากสายเลือดแข็งแกร่งในตอนบุกเบิกฟ้าดินครั้งแรก เลือดลมแข็งแกร่ง สามารถดูดซับแก่นพลังของสุริยันจันทราได้ ในขณะต่อสู้สามารถอาศัยพลังของดวงดาวได้]

‘หืม?

สายเลือดนี้ดูแล้วเยี่ยมไปเลยนี่!’

หานเจวี๋ยรีบรับสายเลือดนี้ทันที

ชั่วพริบตานั้น ภายในร่างของเขามีพลังแปลกประหลาดบางอย่างปะทุออกมา ความรู้สึกทุกข์ทรมานที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้สัมผัสทำให้ใบหน้าเขาบิดเบี้ยว

“เจ้าออกไปก่อน!”

หานเจวี๋ยรีบกล่าวออกมาทันที อู้เต้าเจี้ยนตกใจตื่น แม้จะงุนงงแต่ก็เดินออกไปจากถ้ำเทวาแต่โดยดี

ไม่นานเท่าไรนัก เขาเพียรบำเพ็ญเซียนทั้งลูกก็เริ่มสั่นไหว และค่อยๆ กระเทือนไปถึงสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์

ศิษย์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวยังคงคิดว่าเกิดแผ่นดินไหวขึ้นแล้ว

ราชามังกรสามหัวกล่าวทอดถอนขึ้นว่า “นายท่านจะทะลวงอีกแล้วหรือ”

‘เกินไปแล้ว!

ไม่ใช่ว่าระดับยิ่งสูงก็ยิ่งทะลวงยากหรอกหรืออย่างไร’

เหตุใดถึงรู้สึกว่าสำหรับหานเจวี๋ยแล้ว การทะลวงนั้นง่ายดายราวกับดื่มน้ำ

โจวหมิงเยวี่ยเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ “ตอนนี้อาจารย์ปู่อยู่ระดับใดหรือ”

ฉู่ซื่อเหรินส่ายหน้า เขาเองก็ไม่แน่ใจนัก

“อย่าถามเลย เจ้าคิดไม่ถึงหรอก” ไก่คุกรัตติกาลพูดจาโอ้อวด

โจวหมิงเยวี่ยขมวดคิ้วกล่าวว่า “เจ้าจะกระหยิ่มยิ้มย่องไปไย ใช่ว่าเจ้าจะทะลวงสักหน่อย”

“นายท่านของข้าทะลวง ก็เท่ากับท่านไก่อย่างข้าทะลวงด้วย!”

“พูดเรื่อยเปื่อย เจ้าอ่อนแอเกินไป อีกไม่นานข้าก็สามารถโจมตีเจ้าให้พ่ายแพ้ได้”

“เด็กเอ๋ย เจ้าลำพองตัวเกินไปแล้ว”

ไก่คุกรัตติกาลหรี่ตาลงกล่าว แต่ในใจกลับรู้สึกถึงอันตรายเป็นอย่างมาก

โจวหมิงเยวี่ยไม่ได้คุยโวแต่อย่างใด พรสวรรค์ของเจ้าเด็กนี่ช่างไร้เหตุผลจริงๆ มีมาดของมู่หรงฉี่คนที่สอง

ไก่คุกรัตติกาลพลันรู้สึกสงสัยชีวิตของคนเราอยู่บ้าง

มันก็เป็นหงส์กลับชาติมาเกิดจริงๆ หรือ

……

ภายในถ้ำเทวามืดสลัวแห่งหนึ่ง ผู้อาวุโสผมยาวกระเซิงผู้หนึ่งกำลังนั่งเข้าฌานฝึกฝน

เขาพลันลืมตาโพล่ง ภายในดวงตาเปล่งแสงแวววาว กะพริบระยิบระยับภายในถ้ำเทวา

“กลิ่นอายพลังนี้…มีคนหยั่งรู้คุณสมบัติกายอนธการ!”

ผู้อาวุโสกล่าวพึมพำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

พอนับนิ้วคำนวณดู สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“วังสวรรค์!”

“วังสวรรค์ตัวดี เฮ่าเทียน ดูท่าเจ้าจะซ่อนได้ลึกล้ำมากสินะ”

ผู้อาวุโสพึมพำกับตัวเอง เขารีบลุกขึ้นเดินออกจากถ้ำเทวาทันที

ไม่ใช่เพียงเขาเท่านั้น

กลุ่มอิทธิพลใหญ่ฝ่ายต่างๆ ในแดนเซียนต่างคำนวณถึงเรื่องนี้

ภายในหอแห่งหนึ่งที่อยู่บนวังสวรรค์

จักรพรรดิสวรรค์กำลังนั่งขัดสมาธิฝึกฝนอยู่บนเบาะกลม รอบกายมีควันฟุ้งตลบอบอวล จู่ๆ เขาก็พลันสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างจึงลืมตาขึ้นในทันที

เขาขมวดคิ้วและนับนิ้วคำนวณ

“เอ๊ะ? เหตุใดจู่ๆ ดวงชะตาของวังสวรรค์ถึงพุ่งทะยานขึ้นเล่า”

จักรพรรดิสวรรค์ไม่อาจคำนวณได้ว่าเป็นเพราะหานเจวี๋ยสืบทอดกายดาราอนธการ

ดวงชะตาของวังสวรรค์ที่จู่ๆ ก็พุ่งทะยานขึ้น ทำให้เขารู้สึกระแวดระวังเป็นอย่างมาก ด้วยกลัวว่าจะมีคนทำเรื่องไม่ดี

ไม่นานจักรพรรดิสวรรค์ก็คำนวณได้ว่าสาเหตุที่ดวงชะตาเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันนั้นมาจากโลกเมฆาแดง

หากจะพูดให้ถูกต้องก็คือมาจากหานเจวี๋ย เพียงแต่เขาคำนวณไม่ได้ว่าเหตุใดหานเจวี๋ยถึงทำให้ดวงชะตาของวังสวรรค์เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน

“เจ้าเด็กนี่…”

จักรพรรดิสวรรค์ตื่นตระหนกอยู่บ้าง ในปีนั้นยอดแม่ทัพเทพยังไม่ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวเช่นนี้เลย

เขาไม่ได้เดินทางไปโลกเมฆาแดงทันที แต่กลับนำพลังจิตปกคลุมวังสวรรค์ไว้เพื่อป้องกันคนลงไปยังโลกมนุษย์

ในวังสวรรค์มีผู้ทรงพลังซ่อนเร้นอยู่ไม่น้อย มีแม้กระทั่งผู้ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าจักรพรรดิสวรรค์เลย จักรพรรดิสวรรค์กลัวว่าจะมีคนคำนวณพบเข้าแล้วพุ่งเป้าไปยังหานเจวี๋ย

การเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันของดวงชะตาวังสวรรค์มีเพียงผู้ทรงพลังจำนวนน้อยเท่านั้นที่สามารถรับรู้ได้ เทพเซียนส่วนมากไม่รับรู้ถึงความผิดปกติ ยังคงปฏิบัติตามภารกิจของตนเอง

……

หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนเต็ม

ในที่สุดหานเจวี๋ยสำเร็จกายดาราอนธการ เขารู้สึกว่าโลกทั้งใบต่างเปลี่ยนไปทั้งหมด

เขารับรู้ได้ถึงพลังแห่งดวงดารา และความมีชีวิตชีวาของทุกสรรพสิ่ง

ความรู้สึกเช่นนี้…

“เบิกบานยิ่งนัก!”

หานเจวี๋ยกล่าวเชยชม พลังเวทหกวิถีของเขาเพิ่มขึ้นหลายเท่า วิญญาณ และพลังจิตทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว

ใช้คำว่าเกิดใหม่มาอธิบาย ก็ไม่ใช่คำพูดที่เกินจริงเกินไปนัก!

แต่ก่อนพรสวรรค์ของเขาก็แข็งแกร่งมากแล้ว ทั้งยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้อีก เขารู้สึกรอคอยความเร็วในการฝึกฝนของตนเองในภายหน้าแล้ว

หลังจากสายเลือดเกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งร่างของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อจนต้องแสดงวิชาเพื่อล้างตัว

หลังจากล้างตัวสะอาด เขาก็เริ่มดูดซับปราณฝึกฝน

ไม่นาน เขาค้นพบว่าความเร็วในการฝึกฝนเพิ่มทวีไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่า

ความร้ายกาจสุดของกายดาราอนธการก็คือสามารถอาศัยพลังแห่งดาราได้ หากต่อสู้ท่ามกลางทะเลดาราไร้ขอบเขต คล้ายกับว่าเขาจะไร้คู่ต่อสู้ นอกเสียจากระดับของฝ่ายตรงข้ามจะเหนือกว่าเขามาก

หลังจากนี้หานเจวี๋ยสามารถใช้มรรคกระบี่เทียมฟ้าขั้นที่สี่ กระบี่เบิกบุพกาล เบิกดวงดาราบุพกาลก่อน แล้วค่อยรวบรวมพลังแห่งดารามาต่อสู้ เช่นนี้แล้วแม้แต่เขาเองก็ไม่อาจจินตนาการถึงพลังในการต่อสู้ของตนเองได้

‘ข้าช่างมีพรสวรรค์เสียจริง’

หานเจวี๋ยลอบคิดอย่างภาคภูมิใจ

ม่านราตรีคล้อยลง บนท้องนภาเต็มไปด้วยดวงดารา หานเจวี๋ยพบว่าความเร็วในการฝึกฝนของตนเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม

สิ่งนี้ทำให้เขาเกิดอารมณ์ฮึกเหิมอยากไปฝึกฝนท่ามกลางทะเลดาราจักรวาลขึ้นมา

แต่พอครุ่นคิดดูอีกที หากไปทะเลดาราจักรวาล ก็จะไม่มีไอเซียนของเขาเพียรบำเพ็ญเซียนคอยค้ำจุน ความเร็วในการฝึกฝนก็จะลดลงด้วย

หานเจวี๋ยเรียกอู้เต้าเจี้ยนเข้ามา จากนั้นเขาก็เริ่มจำลองการทดสอบ

สู้กับหลงซั่น สังหารภายในเสี้ยววินาที

สู้กับตี้ไท่ไป๋ ไม่อาจสังหารได้ภายในเสี้ยววินาที

คู่ต่อสู้ในแบบจำลองการทดสอบล้วนไม่มีความคิดและอารมณ์ความรู้สึก ล้วนอาศัยการต่อสู้เฉพาะตัวทั้งหมด หานเจวี๋ยยังไม่ทันเบิกบุพกาลก็ถูกสังหารภายในเสี้ยววินาทีแล้ว

ตี้ไท่ไป๋ยังคงแข็งแกร่งมาก ระดับเซียนทองไท่อี่ขั้นสมบูรณ์ ขาดเพียงก้าวเดียวก็สำเร็จจักรพรรดิเซียนแล้ว

อู้เต้าเจี้ยนนั่งอยู่บนเบาะของตนเอง และสังเกตดูหานเจวี๋ย

ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด นางรู้สึกราวกับหานเจวี๋ยเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

ส่วนที่ว่าเปลี่ยนไปตรงไหนนั้น นางก็บอกไม่ถูก

……

สามปีต่อมา

น้ำเสียงหนึ่งถ่ายทอดเข้าสู่โสตประสาทของหานเจวี๋ย

“ออกมาคุยกันหน่อย”

‘จักรพรรดิสวรรค์!’

หานเจวี๋ยนิ่งอึ้งไปทันที จักรพรรดิสวรรค์มาหาเขาด้วยเหตุใดกัน

เขารีบไปในทันที และมาถึงป่าที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้

จักรพรรดิสวรรค์หันมามองหานเจวี๋ยและขมวดคิ้วแน่น

หานเจวี๋ยพลันใจเต้นขึ้นมา

‘นี่เกิดอะไรขึ้นกัน

หรือเรื่องที่เขาส่งซูฉีไปแดนเซียนจะล่วงเกินจักรพรรดิสวรรค์เข้า’

ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังเป็นกังวลใจอยู่นั้น จักรพรรดิสวรรค์ก็กล่าวด้วยแววพระเนตรที่เป็นประกาย “เจ้าคือสายเลือดอันใด เหตุใดสายเลือดถึงแข็งแกร่งขึ้นมากเพียงนี้”

หานเจวี๋ยตอบ “ข้าเองก็ไม่ทราบ ช่วงนี้รู้สึกว่าสายเลือดแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อยจริงๆ”

เรื่องกายดาราอนธการไม่อาจพูดได้

ยากที่จะอธิบาย!

จักรพรรดิสวรรค์สังเกตดูหานเจวี๋ย หลังจากดูอยู่พักหนึ่งก็กล่าวขึ้นว่า “งานชุมนุมใหญ่ท้อเซียน เจ้าอยากไปหรือไม่”

หานเจวี๋ยลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า “ที่จริงข้าไม่อยากไป กลัวความยุ่งยาก แต่หากฝ่าบาทประสงค์ให้ข้าไป แน่นอนว่าข้าย่อมไม่อาจปฏิเสธ”

[ความประทับใจที่จักรพรรดิสวรรค์มีต่อท่านเพิ่มขึ้น ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 4 ดาว]

อักขระแจ้งเตือนแถวหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าหานเจวี๋ย เขาลอบถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ จักรพรรดิสวรรค์เองก็ชอบให้ประจบประแจงเช่นกัน

จักรพรรดิสวรรค์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเจ้าไม่อยากไป เช่นนั้นก็ไม่ต้องไป เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะให้ตี้ไท่ไป๋มามอบท้อเซียนให้กับเจ้าด้วยตนเอง”

หานเจวี๋ยรีบคารวะขอบคุณด้วยความดีใจ

จากนั้นจักรพรรดิสวรรค์เริ่มพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับหานเจวี๋ย พูดถึงเรื่องราวบางอย่างที่น่าสนใจของวังสวรรค์

ส่วนมากหานเจวี๋ยจะฟังอยู่ตลอด และเอ่ยสำทับบ้างเป็นครั้งคราว

จักรพรรดิสวรรค์พลันทอดถอนใจ “หากยอดแม่ทัพเทพรู้จักตอบแทนบุญคุณเช่นเจ้าก็คงจะดี”

หานเจวี๋ยถามด้วยความสงสัย “ยอดแม่ทัพเทพไม่ใช่แม่ทัพสวรรค์ที่มีคุณูปการต่อวังสวรรค์มากสุดหรือ”

‘จักรพรรดิสวรรค์หมายความว่าอย่างไร

มีความขัดแย้งกับยอดแม่ทัพเทพหรือ?

หรือเจตนาที่จะโจมตีเขา?’

……………………………………….