บทที่ 198 ระดับเซียนแท้วัฏจักรระยะปลาย บุตรแห่งสวรรค์ต่อสู้กันยุ่งเหยิง

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 198 ระดับเซียนแท้วัฏจักรระยะปลาย บุตรแห่งสวรรค์ต่อสู้กันยุ่งเหยิง

“คุณูปการของเขาก็ยิ่งใหญ่จริงๆ แต่ก็เพราะว่าคุณูปการของเขายิ่งใหญ่เกินไปถึงได้ลำพองตน ก่อนหน้านี้เราให้เขาไปสังหารมหาจักรพรรดิอมตะ แต่ว่าสิ้นเปลืองกำลังไปเป็นอย่างมาก”

จักรพรรดิสวรรค์ส่ายพระพักตร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม สีหน้าดูขมขื่นอยู่บ้าง

หานเจวี๋ยเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อดีหรือไม่

ยอดแม่ทัพเทพก็ประทับในตัวเขาเหมือนกันนี่!

อีกทั้งยังเป็นความประทับใจระดับสามดาว ซึ่งเป็นความประทับใจระดับเดียวกับจักรพรรดิสวรรค์ก่อนหน้านี้

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “อย่างน้อยเขาก็เป็นคนที่ฝ่าบาทบ่มเพาะ ฝ่าบาทสบายพระทัยได้ หากวันหน้าข้าเติบโตขึ้น จะไม่ลืมพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท”

จักรพรรดิสวรรค์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เราเชื่อเจ้า เจ้าตั้งใจฝึกฝนเถิด มีเราอยู่จะไม่มีผู้ใดรบกวนการฝึกฝนของเจ้าแน่”

กล่าวจบจักรพรรดิสวรรค์ก็หายลับไปจากที่เดิม

หานเจวี๋ยกลับถึงถ้ำเทวาฟ้าประทานด้วยความรวดเร็ว

เขาเริ่มพินิจพิเคราะห์ถึงเจตนาของจักรพรรดิสวรรค์ หรือว่าจักรพรรดิสวรรค์ต้องการแตกหักกับยอดแม่ทัพเทพ

ก่อนหน้านั้นเขายังคิดว่ายอดแม่ทัพเทพคือคนสนิทของจักรพรรดิสวรรค์ ยามนี้ดูเหมือนมันจะไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว

ตอนนี้คนสนิทของจักรพรรดิสวรรค์มีเพียงตี้ไท่ไป๋เท่านั้น ยามนี้หานเจวี๋ยยังไม่รู้จักคนอื่นๆ

‘หากมีคนทรยศจริง ข้าเองก็สามารถตรวจสอบจากระบบได้’

หานเจวี๋ยลอบคิดอย่างเงียบๆ พลันไม่คิดอะไรให้มากอีก ก่อนจะเริ่มตั้งใจฝึกฝน

รอกระทั่งเขาแข็งแกร่งขึ้นมา ไม่ว่าภายในวังสวรรค์จะวุ่นวายเพียงใดเขาก็ไม่กลัว

แต่ไหนแต่ไรหานเจวี๋ยเองก็ไม่เคยคิดจะถวายชีวิตให้วังสวรรค์อยู่แล้ว

เขาสามารถตอบแทนบุญคุณได้ แต่ไม่จำเป็นต้องทำอย่างสุดชีวิต

การมีชีวิตอยู่ถึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

……

ห้าปีต่อมา

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น เขาหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาสาปแช่ง

นี่คือกฎเกณฑ์ที่เขาตั้งขึ้นมา ทุกๆ สิบปีจะต้องสาปแช่งศัตรูหนึ่งหน เพื่อหลีกเลี่ยงคนหัวร้อนมาคิดบัญชีกับเขา

ขณะที่เขาสาปแช่งอยู่นั้นก็ตรวจสอบจดหมายไปด้วย

[มู่หรงฉี่ศิษย์หลานของท่านเผชิญกับการโจมตีจากหวงจี๋เฮ่าสหายของท่าน พ่ายแพ้และบาดเจ็บสาหัสทั้งสองฝ่าย]

[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านเผชิญกับการโจมตีจากโม่ฟู่โฉวและโจวฝานสหายของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส ในช่วงเวลาวิกฤติหยั่งรู้พลังวิเศษ หนีรอดไปได้]

[จี้เซียนเสินสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากปีศาจ] x160105

[เซวียนซือซือสหายของท่านสำเร็จมรรคผลขึ้นสู่สวรรค์]

[จอมพลเสินเผิงสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเทพเซียนวังสวรรค์]

[ฉู่ซื่อเหรินศิษย์หลานของท่านซาบซึ้งสัจธรรมฟ้าดิน พลังมรรคเพิ่มพูน]

[สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นสัตว์เลี้ยงเทพของท่านเผชิญกับการโจมตีจากสัตว์ปีศาจ] x310229

[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านหยั่งรู้คุณสมบัติเทพโลกา กลายเป็นเซียนในทันที]

……

หานเจวี๋ยมองดูแล้วก็อดทอดถอนใจไม่ได้ ‘ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง’

ผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิดก็เริ่มทำศึกใหญ่

พวกเขาต่างบีบกันและกันให้แข็งแกร่ง หรือนี่จะเป็นเหตุผลที่ดวงชะตาของโลกเมฆาแดงเพิ่มมากขึ้น

สำหรับการสู้รบพัลวันของโม่ฟู่โฉว โจวฝาน มู่หรงฉี่และฟางเหลียงนั้น หานเจวี๋ยไม่อยากยื่นมือเข้าไปยุ่ง ต่อให้มีคนตาย แต่ด้วยดวงชะตาของพวกเขา การกลับชาติมาเกิดอีกครั้งอาจจะทำให้แข็งแกร่งมากกว่าเดิม

หลายเดือนผ่านไป

หานเจวี๋ยวางหนังสือแห่งความโชคร้ายลง และนำป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ออกมาตรวจสอบดูอันดับบนป้ายศิลามรรคาสวรรค์

เมื่อมองดูก็พบว่าอันดับของโลกเมฆาแดงก็พุ่งทะยานขึ้นอีกครั้งแล้ว!

เลื่อนขึ้นมาอันดับที่ 3,012 แล้ว!

ไร้เหตุผลสิ้นดี!

หานเจวี๋ยรีบสังเกตดูโลกเมฆาแดงทันที

หากไม่ดูก็ไม่รู้ แต่พอดูก็ต้องตกใจเป็นอย่างมาก

ใต้หล้านี้กลับมีผู้แข็งแกร่งปรากฏขึ้นจำนวนมาก แม้มู่หรงฉี่ ฟางเหลียง โม่ฟู่โฉว โจวฝานและหวงจี๋เฮ่าจะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังห่างจากอันดับหนึ่งในใต้หล้าอยู่มาก ทั้งห้าคนนี้มีเพียงมู่หรงฉี่ โม่ฟู่โฉวและหวงจี๋เฮ่าที่เข้าอยู่ในร้อยอันดับยอดผู้บำเพ็ญในใต้หล้า และอันดับของแต่ละคนล้วนอยู่ที่เก้าสิบกว่าๆ

ผู้บำเพ็ญที่อยู่อันดับสูงๆ ล้วนมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ จวนเซียนสวรรค์ก็มีคนอยู่ในอันดับเกือบยี่สิบคน

หลังจากจี้เซียนเสินไปแล้ว จวนเซียนสวรรค์กลับไม่ได้เสื่อมถอย แต่กลับเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น

หานเจวี๋ยสังเกตดูอยู่หลายวัน หลังจากมั่นใจว่าไม่ได้มีเผ่ามารและเผ่าปีศาจคอยทำการอะไรอยู่ เขาถึงวางใจลง

“ช่างเถอะ”

หานเจวี๋ยแอบทอดถอนใจ เขาไม่อาจไปขัดขวางการบำเพ็ญของบุตรแห่งสวรรค์เหล่านั้น หากทำเช่นนั้นมันเป็นการบกพร่องต่อหน้าที่เกินไป

เขาทำได้เพียงอธิษฐานให้ดวงชะตาของโลกเมฆาแดงเพิ่มขึ้นช้าลงอีกหน่อย

……

ยี่สิบปีต่อมา

หานเจวี๋ยทะลวงถึงระดับเซียนแท้วัฏจักรระยะปลายในที่สุด

ใกล้ระดับเซียนลึกล้ำเข้ามาแล้ว!

หานเจวี๋ยตรวจดูหลงซั่นอยู่ครู่หนึ่ง เพิ่งระดับเซียนแท้ไท่อี่ระยะกลางเท่านั้น ‘กาก!

คิดจะเข้าสู่ระดับเซียนทองก่อนข้า เจ้ากล้าคิดได้อย่างไรกัน’

หานเจวี๋ยค่อนแคะในใจ และเริ่มทำตบะให้มั่นคงต่อไป

สองเดือนต่อมา เขาเดินออกจากถ้ำเทวา เรียกผู้คนมาชุมนุมกันใต้ต้นฝูซัง ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ เซียนซีเสวียน และสิงหงเสวียนก็ถูกเรียกมาด้วย

เขาเตรียมจะแสดงโอวาทให้กับผู้คน เพื่อยกระดับพลังมรรคของพวกเขา

สำหรับมนุษย์ธรรมดาแล้ว การที่มนุษย์เซียนแสดงโอวาทนั้นถือเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก

หานเจวี๋ยใช้เสียงธรรมของตัวเองทำให้ทุกคนเข้าสู่สภาวะมีสติในบัดดล ในระหว่างช่วงเวลานี้ ปัญหาการบำเพ็ญที่ยากจะเข้าใจของกลุ่มคนก่อนหน้าก็ถูกคลี่คลายอย่างน่าประหลาดใจ

ผ่านไปหนึ่งปีเต็มๆ หานเจวี๋ยสิ้นสุดการแสดงโอวาท เริ่มให้พวกเขาถามข้อสงสัยทีละคน

ช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่หนึ่งปี ตบะของคนทั้งหลายก็ถูกยกระดับขึ้น

แม้แต่อีกาทองสองตัวก็เข้าสู่ระดับเซียนอิสระแล้ว

ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือโจวหมิงเยวี่ย จุดสำคัญคือขอบเขตพลังของเขาต่ำ ทว่าหลังจากหานเจวี๋ยแสดงโอวาทแล้ว พรสวรรค์ของเขาก็ถูกเปิดออกอย่างสมบูรณ์

ผ่านไปอีกครึ่งปี หานเจวี๋ยถึงหยัดกายลุกขึ้น

“ท่านพี่ ข้าอยากพูดคุยกับท่านสักหน่อย พวกเราเข้าไปข้างในกันเถิด” สิงหงเสวียนพลันเดินตามมา กล่าวด้วยรอยยิ้ม

ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ขมวดคิ้วมุ่น

ส่วนเซียนซีเสวียนเดินจากไป

อู้เต้าเจี้ยนนั้นออกจะไม่ชอบใจอยู่บ้าง แต่ไม่กล้าพูดอะไรออกมา

ถูหลิงเอ๋อร์มองสิงหงเสวียนด้วยความอิจฉา คนอื่นๆ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ต่างคนต่างแยกย้ายฝึกฝน

หานเจวี๋ยขัดสิงหงเสวียนไม่ได้เลยพานางเข้าไปในถ้ำเทวา และให้อู้เต้าเจี้ยนรออยู่ด้านนอก

‘ข้าควรจะรุกให้มากกว่านี้หรือไม่’

ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ลอบคิดอย่างเงียบๆ

สายตาของนางแน่วแน่ ตัดสินใจว่ารอให้ผ่านไปสักชั่วระยะเวลาหนึ่งจะไปหาหานเจวี๋ยและใช้เรี่ยวแรงทำอะไรบางอย่างกับเขา

เพิ่งเข้าไปในถ้ำเทวา สิงหงเสวียนก็มาแนบชิดหานเจวี๋ยราวกับอสรพิษ

“ท่านพี่ เหตุใดช่วงนี้ท่านถึงรูปงามขึ้นอีกแล้ว ข้าล่ะชอบท่านจริงๆ!”

สิงหงเสวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานเป็นพิเศษ หานเจวี๋ยที่ได้ฟังก็พลันขนลุกขึ้นมา

‘แม่นางนี่ยั่วยวนขึ้นทุกวัน!’

หานเจวี๋ยกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ แต่ก็ยอมถอดเสื้อแต่โดยดี

ได้ปลดปล่อยเป็นครั้งคราวก็ดีเหมือนกัน

จะได้หลีกเลี่ยงปัญหาทางอารมณ์

……

ประตูสวรรค์อุดรของวังสวรรค์

จี้เซียนเสินที่สวมชุดเกราะเงินของแม่ทัพสวรรค์กำลังยืนตระหง่าน มีทหารสวรรค์สิบกว่านายอยู่รอบๆ

ในฐานะแม่ทัพสวรรค์ชั้นผู้น้อย จี้เซียนเสินจึงถูกจัดให้ไปเฝ้าประตูสวรรค์ใหญ่ทั้งสี่ทิศเป็นระยะๆ

จี้เซียนเสินใบหน้าไร้ความรู้สึก จิตใจโบยบินออกไปนอกวังสวรรค์เสียนานแล้ว

‘การสู้รบในครั้งก่อนทำให้ข้าซาบซึ้งยิ่งนัก เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ ยังคงต้องสู้รบ ไม่อาจปิดด่านฝึกฝนตลอดไปได้’

จี้เซียนเสินลอบคิดอย่างเงียบๆ เขาตัดสินใจแล้วว่าครั้งหน้าจะไปหาแม่ทัพสวรรค์สองสามท่านแล้วค่อยไปกวาดล้างแดนปีศาจ

ขณะนั้นเอง เทพเซียนสองสามท่านเหาะมาด้านหน้า จี้เซียนเสินและทหารสวรรค์พากันโค้งคารวะ

“ได้ยินหรือไม่ งานชุมนุมใหญ่ท้อเซียนในครั้งนี้ฝ่าบาทเชิญวังเทพแล้ว”

“สำนักพุทธร่วมมือกับวังปีศาจ แน่นอนว่าวังสวรรค์ย่อมต้องดึงวังเทพมาเป็นพวก”

“ว่ากันว่าบุตรแห่งสวรรค์ของวังเทพท่านนั้นจะมาด้วย”

“ท่านใดกัน จักรพรรดิเซียนกลับชาติมาเกิดผู้นั้นหรือ”

“จะเป็นไปได้อย่างไร! เป็นบุตรแห่งสวรรค์อีกท่าน จักรพรรดิเทพกระบี่”

“ดูท่างานชุมนุมใหญ่ท้อเซียนจะไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้นแล้ว”

ขณะที่ฟังบรรดาเทพเซียนวิพากษ์วิจารณ์กัน จี้เซียนเสินก็หรี่ตาลง

มาถึงวังสวรรค์ระยะหนึ่งแล้ว สำหรับวังเทพเขาก็รู้จักมาก่อน

ผู้บำเพ็ญในวังเทพไม่ได้มีมากกว่าวังสวรรค์ แต่บุตรแห่งสวรรค์ จักรพรรดิเซียนและมหาจักรพรรดิของวังเทพกลับมีมากสุด

“สองกลุ่มอิทธิพลใหญ่มารวมตัวกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะแค่พูดคุย จะต้องมีการแลกมือศึกษา ต่อสู้กันทั้งในที่เปิดเผยและที่ลับ หากข้าสามารถโจมตีจักรพรรดิเทพกระบี่ให้พ่ายแพ้ได้ ไม่เท่ากับว่าได้กางปีกโผบินสู่ท้องนภาหรอกหรือ”

จี้เซียนเสินคิดอย่างเงียบๆ ดวงตาเป็นประกายมากกว่าเดิม

เขาเป็นเพียงแม่ทัพสวรรค์ชั้นผู้น้อย ไม่ค่อยเข้าใจระดับการบำเพ็ญของแดนเซียน ยังไม่รู้ว่าจักรพรรดิเทพกระบี่นั้นแข็งแกร่งเพียงใด

แต่ในเมื่อเป็นบุตรแห่งสวรรค์ เช่นนั้นก็แสดงว่ายังไม่โต!

……………………………………….