บทที่ 199 กายเทพโลกา ถ้ำเอาตัวรอด

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 199 กายเทพโลกา ถ้ำเอาตัวรอด

หลังจากนอนเกลือกกลิ้งกับสิงหงเสวียนอยู่หนึ่งเดือน ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ยอมปล่อยให้อู้เต้าเจี้ยนเข้ามา

เขาไม่ได้สนใจอารมณ์น้อยใจของนาง แต่กลับนำหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา

ภารกิจประจำวันไม่อาจละทิ้งได้

เขาเริ่มตรวจสอบจดหมายด้วยความเคยชิน

มีความรู้สึกราวกับอ่านและเกษียนสั่งการสาส์นที่กราบทูล บางทีจักรพรรดิสวรรค์ที่อยู่บนพระราชวังเทียมเมฆาอาจจะมีความรู้สึกเช่นนี้ เพียงแต่หานเจวี๋ยไม่ต้องจัดการ เพียงแค่ดูเท่านั้น

[โม่ฟู่โฉวสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากฟางเหลียงศิษย์หลานของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

[โจวฝานสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากฟางเหลียงศิษย์หลานของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

[หวงจี๋เฮ่าสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากมู่หรงฉี่ศิษย์หลานของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

[สวินฉางอันศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากราชาปีศาจ ได้รับบาดเจ็บสาหัส โชคดีได้มู่หรงฉี่ศิษย์หลานของท่านช่วยเหลือไว้]

[ซูฉีศิษย์ของท่านแพร่กระจายความโชคร้าย ดวงชะตาของหมู่เกาะเซียนมังกรถดถอย]

[ตี้ไท่ไป๋สหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเทพภูต] x14

[หลงซั่นสหายของท่านได้รับการชี้แนะจากมหาจักรพรรดิ สำเร็จพลังวิเศษขั้นสูงสุด]

……

‘ฟางเหลียงร้ายกาจเพียงนี้เชียว?

คนเดียวก็กล้าท้าประลองกับโม่ฟู่โฉวและโจวฝานเพียงลำพังได้?’

หานเจวี๋ยมองดูจนนิ่งอึ้ง รีบตรวจสอบดูฟางเหลียงทันที

[ฟางเหลียง: ระดับฝ่าด่านเคราะห์ขั้นสอง เนื่องด้วยดวงชะตาฟ้าดินถูกหลอมรวมจนสำเร็จเป็นกายเทพโลกา เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดา…]

‘กายเทพโลกา?

มีของอยู่บ้างนี่’

หานเจวี๋ยยังสังเกตเห็นว่าซูฉีไปถึงหมู่เกาะเซียนมังกรแล้ว

“ศิษย์รักของข้า หวังว่าเจ้าจะทำให้นักพรตเต๋าตันชิงตายไปก่อนที่เขาจะมาหาเรื่องอาจารย์นะ”

หานเจวี๋ยพึมพำกับตัวเอง ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มที่แปลกประหลาด

อู้เต้าเจี้ยนเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ท่านพูดถึงใครอยู่หรือ”

หานเจวี๋ยกล่าว “ไม่มีอะไร”

“นายท่าน ขั้นแรกของมรรคกระบี่เทียมฟ้า ข้าใกล้จะฝึกสำเร็จแล้ว” อู้เต้าเจี้ยนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

หานเจวี๋ยกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ฝึกสำเร็จแล้วค่อยพูด นี่ผ่านมาตั้งกี่ปีแล้ว”

“เจ้าค่ะ”

อู้เต้าเจี้ยนจนใจ ทำได้เพียงฝึกฝนต่อไปเท่านั้น

หานเจวี๋ยดูจดหมายต่อไปโดยไม่ไม่สนใจนางอีก

ความรู้สึกสบายใจราวการเล่นโต้คลื่น มีเพียงเขาเท่านั้นที่เข้าใจ

หลายเดือนต่อมา ภารกิจตอกบัตรทำงานประจำก็สำเร็จ

หานเจวี๋ยใช้ป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์สังเกตสวินฉางอันเป็นอันดับแรก

สำหรับสวินฉางอันนั้น เขายังคงเป็นกังวลอยู่มาก เจ้าหมอนี่มักจะตกอยู่ในเคราะห์รักบ่อยๆ ออกไปนานเพียงนี้ ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง

หากไม่ใช่ว่าพลังวิญญาณบนเขาเพียรบำเพ็ญเซียนไม่จำเป็นต้องใช้สวินฉางอันมาเพิ่มความแข็งแกร่งให้แล้ว หานเจวี๋ยคงจะสะกดเขาไว้บนเขา

ขณะนี้สวินฉางอันกำลังดื่มสุราเมามายอยู่ในโรงเตี๊ยมกลางเมืองแห่งหนึ่ง ปากก็บ่นพึมพำอยู่เพียงชื่อเดียว

เชี่ยนเอ๋อร์

หานเจวี๋ยล่ะยอมใจจริงๆ คำสาปของพุทธาเทพน่ากลัวเพียงนี้เชียวหรือ

คนตายไปแล้วหลายร้อยปี กลับยังลืมไม่ลง

หานเจวี๋ยพลันรู้สึกว่าหากทำให้สวินฉางอันตายไปได้บางทีก็คงจะดี เมื่อกลับชาติมาเกิดอีกครั้ง หานเจวี๋ยจะขังเขาไว้บนเขาทันที ไม่ให้พบเจอกับสตรีผู้ใดอีก

‘ไม่ได้

เช่นนี้ก็ไม่ดี หากเขาถูกใจสตรีบนเขาขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า

เช่นนั้นมันจะกลายเป็นละครน้ำเน่า!’

หานเจวี๋ยคิดอยู่พักหนึ่ง ‘หรือจะไปหาการกลับชาติมาเกิดของเชี่ยนเอ๋อร์?

แต่สวินฉางอันอัปลักษณ์เพียงนั้น ไม่ว่าเชี่ยนเอ๋อร์จะกลับชาติมาเกิดอีกกี่ครั้ง คาดว่านางก็คงไม่อาจชอบเขาได้

เฮ้อ

ช่างเถอะ

รีบคว้าเวลาในการฝึกฝนจะดีกว่า ช่วงชิงเวลาในการบรรลุถึงระดับของพุทธาเทพโดยเร็ว จะได้ช่วยปลดปล่อยสวินฉางอันได้’

หานเจวี๋ยคิดเช่นนี้

แม้มู่หรงฉี่มักจะเมินเฉยต่อสวินฉางอัน แต่ทุกครั้งที่สวินฉางอันมีอันตราย เขามักจะมาถึงก่อนเสมอ

บางครั้ง หานเจวี๋ยก็สงสารมู่หรงฉี่มาก

แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ใครใช้ให้เขาเป็นศิษย์พี่ใหญ่ในบรรดาศิษย์รุ่นที่สามของหานเจวี๋ยเล่า จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดี

กล่าวตามตรง หานเจวี๋ยรู้สึกว่าศิษย์รุ่นสามนั้นแข็งแกร่งกว่าศิษย์รุ่นสองอยู่มาก

ในบรรดาศิษย์รุ่นสอง ก็มีเพียงซูฉีกับถูหลิงเอ๋อร์ที่ทำให้เขารู้สึกวางใจได้ คนที่แข็งแกร่งมากที่สุดคือซูฉี ส่วนสวินฉางอันกับหยางเทียนตงใช้การไม่ได้เลย

และก็สมควรแก่เวลาที่จะคิดชื่อให้กับสำนักนี้แล้ว

สำนักเพียรบำเพ็ญ?

ลัทธิเพียรบำเพ็ญ?

เขาเพียรบำเพ็ญ?

ถ้ำเพียรบำเพ็ญ?

ถ้ำ…ไร้กังวล?

……

กาลเวลาราวกับกระสวย หนึ่งภาพเหตุการณ์หนึ่งทศวรรษ หนึ่งร้อยปีหนึ่งราชวงศ์

ในระหว่างที่หานเจวี๋ยฝึกฝน เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปอีกสามสิบปี

สามสิบปีผ่านไป ตอนนี้หานเจวี๋ยยังไม่ทะลวงถึงระดับเซียนแท้วัฏจักรขั้นสมบูรณ์ แต่ก็นับว่าอยู่ห่างออกไปไม่ไกลแล้ว

หลังจากได้รับกายดาราอนธการมาแล้ว แต่ยังต้องใช้เวลานานถึงเพียงนี้ ดูท่าระดับเซียนแท้คงไม่อาจทะลวงได้ง่ายๆ

ดูของหลงซั่นอีกครั้ง เขายังคงอยู่ที่ระยะกลาง

วันนี้

ฟางเหลียงกลับมาแล้ว

การกลับมาของเขาทำให้ผู้คนใต้ต้นฝูซังทั้งหมดพากันลุกขึ้น เพราะว่าแขนของเขาขาดไปข้างหนึ่ง

“เกิดอะไรขึ้น ใครเป็นคนทำ” ไก่คุกรัตติกาลถามขึ้น

ผมของฟางเหลียงกลายเป็นสีขาวดอกเลาอยู่บ้าง ดูค่อนข้างผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ไม่ใช่เด็กหนุ่มรูปงามในครานั้นอีกต่อไป

ฟางเหลียงกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ข้าตัดมันเอง”

ฉู่ซื่อเหรินและโจวหมิงเยวี่ยเองก็มองไปที่ฟางเหลียง

โดยเฉพาะโจวหมิงเยวี่ยที่รู้สึกสงสัยในตัวฟางเหลียงเป็นอย่างมาก

ขึ้นเขามานานเพียงนี้ มักจะได้ยินคนอื่นพูดถึงฟางเหลียงกับมู่หรงฉี่อยู่บ่อยๆ

กล่าวกันว่าอาจารย์ปู่เอ็นดูพวกเขาที่สุด

“ไม่มีอะไร ข้าจะไปคารวะอาจารย์ปู่ก่อน” ฟางเหลียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

กล่าวจบเขาก็เดินไปทางถ้ำเทวาฟ้าประทาน

หานเจวี๋ยสังเกตเห็นท่าทีที่ไม่ปกติของเขา จึงไล่อู้เต้าเจี้ยนออกไป และอยู่กันสองคนตามลำพังศิษย์และอาจารย์

“อาจารย์ ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านถึงไม่ออกไปทางโลก เหตุใดท่านถึงไม่แต่งงาน”

หานเจวี๋ยถาม “เกิดอะไรขึ้นหรือ”

ก่อนฟางเหลียงจะเริ่มเล่าถึงเรื่องราวที่เขาได้ผ่านมา

ที่แท้ธิดาเทพเผ่าปีศาจที่เขาแต่งงานด้วยก็คือธิดาของจักรพรรดิปีศาจจิ้งจอกดำ ตอนแรกจักรพรรดิปีศาจจิ้งจอกดำให้ความสำคัญกับเขามาก แต่เขาพบว่าจักรพรรดิปีศาจจิ้งจอกดำต้องการรวมเผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจเข้าด้วยกัน ถึงได้ตกลงกับงานแต่งครั้งนี้

ไม่เพียงแค่นั้น ธิดาเทพเผ่าปีศาจก็เริ่มเกลี้ยกล่อมฟางเหลียง เพียงเพราะจักรพรรดิปีศาจจิ้งจอกดำสัญญาว่าวันหน้าจะมอบบัลลังก์ให้กับฟางเหลียง

แต่ไหนเลยฟางเหลียงจะยอมละทิ้งเผ่ามนุษย์ได้

เกิดอุปสรรคอยู่หลายครั้งหลายหน การทะเลาะและความคิดที่ไม่เหมือนกันบั่นทอนความรักลง จนสามีภรรยาต่างเผ่าพันธุ์คู่นี้ถึงคราวแตกหัก

ฟางเหลียงตัดแขนของตนเองเพื่อแสดงถึงการตัดสินใจว่าจะไม่หันหลังกลับไปอีก

ธิดาเทพเผ่าปีศาจเจ็บปวดรวดร้าวเป็นอย่างมาก อุปนิสัยเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เต็มไปด้วยความเกลียดแค้นชิงชังในตัวเขา

หานเจวี๋ยได้ฟังแล้วก็กล่าวปลอบใจ “ไม่เป็นไร ชีวิตคนเราบนโลกไม่อาจขาดอารมณ์เช่นนี้ได้ หลังจากนี้ตั้งใจฝึกฝนก็พอ บนสวรรค์เต็มไปด้วยเทพธิดา ไม่จำเป็นต้องพะวงหานางอยู่ตลอด

จำไว้ให้ดี การบำเพ็ญตบะถึงเป็นสิ่งที่สำคัญสุด”

ฟางเหลียงยิ้มอย่างขมขื่น

หานเจวี๋ยเอ่ย “อยู่ในเขาเพียรบำเพ็ญเซียนเถิด อย่าได้ออกไปอีกเลย”

‘จะได้ไม่ทำให้โลกเมฆาแดงถูกเลื่อนอันดับอีก!’

ฟางเหลียงพยักหน้า กล่าวว่า “อาจารย์ปู่ ดูเหมือนว่าตอนนี้ข้าจะไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว ความรู้สึกนี้ยากจะอธิบายนัก แม้ข้าจะเพิ่งระดับฝ่าด่านเคราะห์ แต่ผู้บำเพ็ญระดับมหายานก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอีกแล้ว น่าแปลกยิ่งนัก”

สำหรับเรื่องของดวงชะตาและพรสวรรค์ของตนเอง เขาเข้าใจมาตลอดว่าเป็นผลมาจากการที่หานเจวี๋ยฝืนลิขิตฟ้าพลิกชะตาให้เขาในปีนั้น เพราะอย่างนั้นทุกครั้งที่ได้ยินคนอื่นชื่นชมเขา เขามักจะคิดถึงหานเจวี๋ยและรู้สึกอบอุ่นในใจ

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่สังหารศัตรูในโลกมนุษย์ที่อยู่เหนือกว่าระดับหนึ่งเท่านั้น ซูฉีอาจารย์ลุงของเจ้าขึ้นสวรรค์ไปแล้ว เป้าหมายของเจ้าควรจะเจริญรอยตามเขา อย่าได้เอาระดับมหายานในโลกมนุษย์มาเป็นบรรทัดฐาน บางทีบนโลกใบนี้เจ้าอาจจะแข็งแกร่งมาก แต่เทียบกับบุตรแห่งสวรรค์บนโลกเบื้องบนแล้ว ไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึง”

พอฟางเหลียงคิดอย่างถี่ถ้วนก็รู้สึกว่ามีเหตุผล

จากนั้นหานเจวี๋ยเริ่มถ่ายทอดพลังวิเศษให้เขา

ถ่ายทอดพลังเทพหมื่นกระบี่ให้ฟางเหลียง รอกระทั่งเขาเข้าใจอย่างสมบูรณ์แล้วค่อยถ่ายทอดไตรวิสุทธิ์กำราบภูมิให้

เป้าหมายของเขาคือให้บรรดาศิษย์และศิษย์หลานแบ่งกันสืบทอดความสามารถต่างๆ ของเขา เช่นนี้แล้วถึงจะแสดงให้เห็นว่าเขานั้นลึกล้ำจนยากจะหยั่งถึง ไม่มีสิ่งใดที่ไม่สามารถทำได้

สามเดือนต่อมา ฟางเหลียงเดินออกจากถ้ำเทวาฟ้าประทาน จิตใจหงอยเหงาเศร้าสร้อยซึมถูกกวาดออกไปจนหมด กลับมาฮึกเหิมและองอาจห้าวหาญอีกครั้ง

“ราชามังกร มาฝึกฝนกันหน่อย?”

ฟางเหลียงกล่าวกับราชามังกรด้วยรอยยิ้ม

ราชามังกรสามหัวแอบคิดในใจว่า ‘เจ้าเด็กนี่คิดจะรังแกข้าหรือ

ไม่ใช่สิ เขาเพิ่งระดับด่านเคราะห์ มีอะไรที่ข้าต้องกลัวด้วยเล่า’

……………………………………….