บทที่ 256 ต้องรอจังหวะและโอกาส

“มีเรื่องอะไรกัน?” จี้จือฮวนที่ลงมาจากเนินเขา เห็นคนสองคนนอนกระตุกอยู่บนพื้นจึงเอ่ยถามขึ้นมา

อาชิงรีบลุกขึ้นยืน “ท่านแม่ มีคนชั่วขอรับ!”

พวกเด็ก ๆ เมื่อเห็นจี้จือฮวนต่างก็ดีใจกันอย่างมาก ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น พลางยืดอกเล็ก ๆ ขึ้นมา “พวกเราเก่งมากเลยนะขอรับ! สามารถจัดการคนชั่วได้ด้วย ต่อไปก็สามารถไปฆ่าคนชั่วในสนามรบได้แล้ว”

องค์ชายสิบกลอกตามองบน ปากก็พ่นเสียงหัวเราะออกมา “อย่างพวกเจ้าน่ะหรือ อย่าขี้โม้นักเลย”

หลังจากพูดจบก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อย เหตุใดถึงลืมเรื่องต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีไปได้

อาอินตบท้ายทอยของเขาไปหนึ่งที “เชลยอย่างเจ้าเหตุใดถึงพูดมากเพียงนี้ เป็นเด็กรับใช้เจ้ามีสิทธิ์พูดด้วยอย่างนั้นหรือ?”

องค์ชายสิบไม่กล้ามีเรื่องกับอาอิน สู้ก็สู้ไม่ได้

แต่คำว่าเชลยน่าเกลียดเกินไปแล้ว หรือว่าต่อไปเขาจะต้องชื่อว่าเซี่ยเชลยอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นจะไม่ถูกคนหัวเราะเยาะเอาหรืออย่างไร จะไปสู่ขอชายาได้อย่างไรกัน?

องค์ชายสิบเดินไปที่มุมมุมหนึ่งอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะดึงอาฝูมาและพูดเสียงเบา “พวกเจ้าอย่าเรียกข้าว่าเชลยได้หรือไม่?”

อาฝูดึงแขนเสื้อของตัวเองกลับมา “ตอนนี้เจ้ายังไม่ได้ชื่อว่าเป็นเชลยด้วยซ้ำ เจ้าดูโน่นสิ”

เขาชี้นิ้วไปทางคนที่กำลังทำงานอยู่ นอกจากไม่กี่คนที่หมดอาลัยตายอยากแล้ว คนที่เหลือต่างก็ทำงานกันอย่างมีความสุข พร้อมกับถือปลาเค็มอยู่ในมือและอวดกันว่าปลาเค็มของใครหอมกว่ากัน

“คนที่ทำงานได้อย่างพวกนั้นต่างหากถึงจะเรียกว่าเชลย พวกเขายังมีข้าวกินด้วยนะ อย่างเจ้าหรือ? เกรงว่าคงจะหิวตายก่อนเป็นแน่ และแม่เจ้าก็คงไม่เอาเจ้าแล้วกระมัง”

คราวนี้องค์ชายสิบตกใจเป็นอย่างมาก เพื่อไท่ซ่างหวงแล้วแม่ของเขาสามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้จริง ๆ

หลังจากจี้จือฮวนรู้ต้นสายปลายเหตุก็พยักหน้ารับรู้ แล้วเอ่ยขึ้นมา “ส่งคนไปให้ไป๋จิ่นเก็บเอาไว้เป็นพยาน ห่อยานั่นก็อย่าทิ้ง”

“ขอรับ”

“ฝากคำพูดไปบอกไป๋จิ่นด้วย ข้าต้องการให้คนที่วางยากลับไปไม่ได้อีก ไม่อย่างนั้นต่อไปอาหารจะถูกลดลงครึ่งหนึ่ง ข้าไม่เลี้ยงคนไร้ประโยชน์ และไม่สนใจว่าอีกฝ่ายมีฐานะอะไร”

ทหารเกราะเหล็กรู้รูปแบบการทำงานของฮูหยินดี ต่อให้จะต้องทำลายฟ้าทำลายดินก็ไม่ยอมให้ตัวเองเสียเปรียบ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม

“ฮูหยินวางใจ พวกข้ารับทราบแล้วขอรับ”

จี้จือฮวนพยักหน้าให้ วันนี้นางยังมีเรื่องอื่นที่ต้องจัดการอีก กลับไปจัดการเสร็จแล้วนางต้องไปที่ตำบลฉาซู่สักหน่อย แม้ว่าตอนนี้นางจะไม่ขาดแคลนเงิน แต่ก็ยังต้องการจะทำอะไรกับหน่วยงานต่าง ๆ ของราชสำนักอยู่ จะขาดคนและเส้นสายไม่ได้ หากนางต้องการควบคุมให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จก็ต้องสร้างอำนาจของตัวเอง

สรุปก็คือนางอยากสร้างราชสำนักเล็ก ๆ ในตำบลฉาซู่ ดังนั้นเรื่องแรกที่ต้องทำก็คือกดดันเรื่องการค้าขาย นอกจากนั้นยังต้องค่อย ๆ คิดอีกที

เรื่องนี้ไม่สามารถเร่งรีบได้

นอกจากนี้ฮ่องเต้เซี่ยเจินเองก็ได้รู้ทุกสิ่งที่เขาควรจะรู้ที่นี่แล้ว การที่ไท่ซ่างหวงจะยืนกรานไม่ยอมให้เขากลับไปก็คงเป็นไปไม่ได้

คาดว่าการแสดงบทบาทลูกกตัญญูอ้อนวอนพ่อคงจะยุติในวันสองวันนี้ และเตรียมกลับราชสำนักแล้ว ถึงตอนนั้นเรื่องฐานะของอาฉือและเส้นทางของเผยยวน คงต้องพูดคุยกับไท่ซ่างหวงอย่างจริง ๆ จัง ๆ เสียที

วันนี้คนที่เข้ามาในหมู่บ้านล้วนเป็นขุนนางในราชสำนัก เพื่อขอเข้าเฝ้าไท่ซ่างหวง เป็นสัญญาณว่าต้องการเจรจากันด้วยเหตุด้วยผลก่อน หากล้มเหลวถึงจะใช้กำลัง

อย่างไรเสียท่านป้าก็ยังมีชีวิตอยู่ หานเหล่ยอย่างมากก็คงถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกลงโทษนิด ๆ หน่อย ๆ ถึงเวลาเขาก็จะแสร้งบอกว่าถูกคนอื่นใส่ร้าย และค่อยคืนตำแหน่งให้จะมีอะไรแปลกกัน ขอเพียงฮ่องเต้เซี่ยเจินยังต้องการเขาอยู่ หานเหล่ยก็ไม่มีทางล้มลงได้ง่าย ๆ

จี้จือฮวนเห็นว่ามีทหารเกราะเหล็กคนหนึ่งกำลังจ้องมองนางด้วยท่าทางอึกอัก จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มขึ้นมา “มีอะไรก็พูดมา”

“ฮูหยิน ท่านรู้สึกหนักใจอยู่ใช่หรือไม่ขอรับ”

จี้จือฮวนเอ่ยด้วยใบหน้าไร้เดียงสา “ข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ เอาอย่างนี้ เจ้าไปเรียกไป๋จิ่นมา…”

ทหารเกราะเหล็กจึงเข้าใจได้ในทันที “เข้าใจแล้วขอรับ”

นั่นอย่างไรเล่า นิสัยอย่างฮูหยินจะปล่อยเชลยกลับไปโดยไม่ทำอะไรเลยจะเป็นไปได้อย่างไรกัน!

หลังจากจี้จือฮวนกระซิบกระซาบกับทหารเกราะเหล็กเสร็จ จึงนึกถึงพวกเจ้าตัวเล็กด้านหลังขึ้นมา “ไปเล่นกันเถอะ ไม่ตั้งใจเรียนต่อไปจะเป็นทหารเกราะเหล็กได้อย่างไร”

“วันนี้นับว่าพวกเราสร้างผลงานหรือยังขอรับ?”

จี้จือฮวนหัวเราะอย่างสดใสออกมา “แน่นอน ถือเป็นผลงานแรก!”

“เย้~~~~ เชลยอ้วนรีบไปสิ!”

“เช่นนั้นวันนี้ข้าจะกินน่องไก่ชิ้นโต ๆ”

“เจ้ายังจะกินอีกหรือ เจ้าอยากอ้วนเหมือนเจ้าเชลยนั่นอย่างนั้นหรือ?”

องค์ชายสิบเดินตามหลังพวกเขาด้วยความโมโห เนื้อที่แก้มกระตุกน้อย ๆ มันจะมากเกินไปแล้ว!

จี้จือฮวนรู้สึกว่าเจ้าอ้วนผู้นี้น่าสนใจไม่น้อย น่าเสียดายที่นิสัยไม่เหมือนไท่ซ่างหวง เหมือนฮ่องเต้เซี่ยเจินกับซูเฟยมากกว่า

ไท่ซ่างหวงสนทนากับเหล่าขุนนางในศาลบรรพชน ทางด้านนอกจึงฟังไม่ได้ยิน บางครั้งก็มีเสียงเกลี้ยกล่อมและอ้อนวอนดังขึ้น สุดท้ายเมื่อเปิดประตูออกมา ไท่ซ่างหวงก็พบกับเซี่ยวั่งซู ดวงตาจึงฉายแววรู้สึกผิดออกมา

ทว่าองค์หญิงใหญ่กลับมีใบหน้าเรียบเฉย รับการคุกเข่าคำนับจากขุนนางเหล่านั้นอย่างสงบ

นางเองก็รู้ผลลัพธ์ดี ฮ่องเต้เซี่ยเจินใช้ข้ออ้างเรื่องที่ตัวเองป่วย ไม่มีคนดูแลกิจการของบ้านเมือง นางเองก็ยังมีชีวิตอยู่ อัครมหาเสนาบดีหานย่อมต้องถูกเขาพาตัวกลับไปด้วย นี่เป็นสิ่งที่นางคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว

หากเขาปล่อยให้คนอยู่ต่อ ภายหน้าผู้ใดจะกล้าจงรักภักดีต่อเขาอีก สรุปก็คือบนโลกนี้นอกจากสีดำและสีขาวแล้ว สีเทากลับเป็นสีที่มีมากที่สุด

เมื่อเห็นคนเหล่านั้นหามหานเหล่ยไป ไท่ซ่างหวงก็ถอนหายใจออกมา เซี่ยวั่งซูขมวดคิ้ว “พอได้แล้ว ท่านกลัดกลุ้มไปทำไมกัน ข้าไม่ได้เก็บมาคิดมากเสียหน่อย เดิมแค่อยากจะจับเขาทรมานสักสองสามวันก็เท่านั้น”

หากสังหารหานเหล่ยเสีย ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนในราชสำนักอาจจะยุ่งเหยิงมากกว่านี้ก็เป็นได้ บัณฑิตยากจนผู้นี้ปักหลักหยั่งรากลึกมาตั้งแต่ตอนที่พวกเขาไม่ทันรู้ตัว ตอนนี้เขาได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้ ทั้งยังอาจจะได้รับโทษแค่เล็กน้อย คิดว่าอีกไม่นานเขาจะต้องตอบโต้กลับเป็นแน่

ไท่ซ่างหวงเสียดายเหมืองทองและเหมืองเหล็กที่นี่ หากสามารถเอาไปด้วยได้ก็คงดี

แต่ต้องรอจังหวะและโอกาสก่อน

หานเหล่ยกลับมาได้ย่อมต้องไปคารวะฮ่องเต้เซี่ยเจิน หลังจากพูดคุยกันสักพักจึงได้กลับมายังที่พัก คนสนิทของเขาก็ได้เข้ามาพบกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า และสุดท้ายหานเหล่ยจึงได้พบกับหานฉี

เรื่องที่ลูกสาวของเขาถูกคนใส่ร้ายจนตาย หานเหล่ยกลับไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ แม้แต่น้อย เขาถามเพียงเรื่องเดียว “ก่อนหน้านี้ข้าให้เจ้าติดต่อปรมาจารย์พิษของสำนักพิษ เหตุใดยังมาไม่ถึงเมืองหลวงอีก?”

บอกตามตรงว่าหานฉีเองก็ไม่รู้เช่นกัน สำนักพิษบอกว่าเขาออกเดินทางมาตั้งนานแล้ว ไม่น่าจะหลงทางได้

“แม้ว่าสำนักพิษจะยังมาไม่ถึง แต่สำนักกู่ใกล้จะถึงแล้ว ท่านอัครมหาเสนาบดีวางใจได้ขอรับ”

“ต้องรีบจัดการ เก็บพวกเผยยวนเอาไว้ไม่ได้เด็ดขาด”

ไม่ใช่แค่เผยยวน ยังมีจี้จือฮวนผู้นั้นอีก แค่สตรีอัปลักษณ์อันดับหนึ่งของเมืองหลวง เหตุใดพอออกจากจวนจี้กั๋วกงแล้วถึงมีความสามารถมากเช่นนี้ ดวงตาคู่นั้นก็ลุ่มลึกจนยากจะคาดเดา

นางไม่ใช่คนธรรมดา

จี้จือฮวนที่ไม่ใช่คนธรรมดาเวลานี้ทำขนมเสร็จแล้ว ตั้งใจว่าจะเอาไปให้ฮวาเซียงเซียง ช่วงนี้ได้ยินว่ามีคนจากเมืองหลวงไม่น้อยที่ต้องการมากินข้าวที่เค่ออวิ๋นไหล

นี่ถือเป็นโอกาสดี นางไม่อยากพลาด

แต่เนื่องจากด้านนอกถูกพวกฮ่องเต้เซี่ยเจินยึดครองเอาไว้ ดังนั้นนางจึงต้องเปลี่ยนไปใช้ทางพื้นที่ราบระหว่างภูเขา ซึ่งต้องใช้เวลามากกว่าปกติสองเท่า

และยังต้องไปสำนักศึกษาชิงอวิ๋นเพื่อขอโทษอาจารย์ใหญ่หลินเพราะพวกฮ่องเต้เซี่ยเจินขวางทางอยู่ อาฉือจึงไม่สามารถไปเรียนที่สำนักศึกษาได้ เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย

ขณะที่กำลังจัดการห่อของอยู่นั้น ก็มีมือยื่นออกมาจากด้านข้าง จี้จือฮวนจึงหยิบส้อมไม้ไผ่ขึ้นมาตีทันที เซียวเย่เจ๋อจึงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

“จะแอบกินอะไรอีก!”

เซียวเย่เจ๋อเอ่ยด้วยความน้อยใจ “ขนมนี้ของเจ้าข้าไม่เคยเห็นมาก่อน กินตอนร้อน ๆ สักสองคำก็ไม่ได้หรือ?”

“ไม่ได้ ต้องเอาส่งไปที่เค่ออวิ๋นไหล” ของตัวอย่างที่จี้จือฮวนทำเดิมก็มีอยู่ไม่มาก หากถูกเจ้าคนตะกละนี่กินเข้าไป เช่นนั้นยังจะมีอะไรเหลืออีกอย่างนั้นหรือ?

ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเด็กนี่เดิมก็ชอบของหวานอยู่แล้ว

เซียวเย่เจ๋อดวงตาเป็นประกาย “เช่นนั้นข้าเอาไปส่งกับเจ้าด้วยดีกว่า”

.

.

.