บทที่ 257 เจ้าคือบ้านของข้า
จี้จือฮวนไม่อยากพาเขาไปด้วย เซียวเย่เจ๋อเพียงแค่ดูสีหน้าของนางก็รู้ว่านางกำลังคิดอะไร จึงกระแอมเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นมา “ข้าเองก็นับว่าเป็นเถ้าแก่ใหญ่ของเจ้า เจ้าทำเช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง”
“…” คำพูดนี้นางไม่สามารถโต้แย้งได้ แม้ว่าตอนนี้นางจะมีเหมืองทองแล้ว แต่ว่าการค้าในที่ต่าง ๆ ก็ยังต้องทำร่วมกับตระกูลเซียวอยู่ จึงไม่อาจจะทิ้งขว้างเซียวเย่เจ๋อได้
“ก็ได้ เจ้าไปเตรียมม้าก่อนเถอะ” ช่วงที่ผ่านมาจ้านอิ่งพาม้าศึกวิ่งไปรอบ ๆ ภูเขา จนทำให้คุ้นเคยกับภูเขานี้ไปแล้ว
ในที่สุดเซียวเย่เจ๋อก็สามารถออกไปข้างนอกได้แล้ว ทั้งยังจะได้กินของอร่อยด้วย เรียกได้ว่ามีความสุขอย่างมาก
และบังเอิญว่าไป๋จิ่นมาหาจี้จือฮวนพอดี ซึ่งเขาต้องการจะมาถามว่าที่นางบอกว่าให้กลับไปไม่ได้อีกนั้นต้องการให้ตายแบบใด เพราะเขาให้ความสำคัญกับเรื่องของการใช้พิษ หากดื่มพิษชามหนึ่งแล้วตายไปเลยมันจะดูน่าเบื่อเกินไป ต้องใช้แบบที่ทรมานจนคนกรีดร้องโวยวายออกมาถึงจะดี
ต้องทำให้ออกฤทธิ์มากมายหลากหลายรูปแบบ จึงจะไม่ทำลายชื่อเสียงของเขา
ขณะที่กำลังคิดในใจว่าจะใช้พิษเช่นไรดีนั้น ก็เห็นเซียวเย่เจ๋อวิ่งหน้าตั้งออกไปอย่างมีความสุขราวกับว่าเก็บทองคำได้อย่างไรอย่างนั้น ผมหางม้าของเขาสะบัดไปมาจนสะท้อนกับแสงตะวันเลยทีเดียว
“เอ๊ะ จะไปไหนกัน?”
แม้ตอนนี้ทั้งสองคนจะคุ้นเคยกันดีแล้ว ทว่ายามเจอหน้ากันก็มักจะโต้เถียงกันราวกับไก่ชนอย่างไรอย่างนั้น
เซียวเย่เจ๋อรู้ว่าตัวเองจะได้ออกไปแล้ว ซึ่งแตกต่างจากไป๋จิ่น ดังนั้นจึงเล่าให้ฟังด้วยความภาคภูมิใจ
คนอย่างไป๋จิ่นสิ่งที่เขาทนไม่ได้มากที่สุดก็คือการแอบกินคนเดียว เดิมเขายังคิดว่าเซียวเย่เจ๋อจะมีคุณธรรมและยอมแบ่งปันให้บ้าง แต่ใครจะคิดว่าวันนี้กลับจะทิ้งเขาแล้วไปสนุกคนเดียวเช่นนี้
“ไม่ได้ ข้าจะไปด้วย”
สุดท้ายขณะที่ทั้งสองคนกำลังวางแผนว่าจะไปที่เค่ออวิ๋นไหลเพื่อไปแอบกินของดี และซื้อของกลับมาอย่างไรบ้างอยู่นั้น เผยยวนก็ช่วยจี้จือฮวนนำเถาอาหารใส่ไว้ในกล่องที่อยู่บนหลังม้าแล้ว
และยังปูหญ้าแห้งจำนวนมาก เพื่อไม่ให้เถาอาหารนั่นล้มลงมาด้วย
“แม่ทัพเผยก็ไปด้วยหรือ?”
“อืม” วัน ๆ อยู่แต่กับคนในหมู่บ้าน เขากับฮวนฮวนไม่มีเวลาได้อยู่กันตามลำพังเลย ครั้งนี้นางจะไปตำบลฉาซู่ ไม่แน่อาจจะเจออันตรายอะไรเข้าก็เป็นได้ เพราะเขายังรู้สึกกลัวว่าจะเป็นเหมือนครั้งก่อนที่ยอดฝีมือของตระกูลหานทำร้ายนาง ดังนั้นหากไม่ตามไปด้วยเขาไม่วางใจจริง ๆ
เผยยวนมองหน้าพวกเซียวเย่เจ๋อ “พวกเจ้าก็จะไปด้วยหรือ?”
สีหน้าไม่พอใจขึ้นมา
เซียวเย่เจ๋อกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะรีบหลบอยู่ด้านหลังไป๋จิ่นทันที “พวกเราคุยกันไว้ตั้งนานแล้วนะขอรับ”
ตัวป่วน
ไปที่ใดก็มีเจ้าอยู่
เผยยวนลอบบ่นอยู่ในใจ จี้จือฮวนก็อ้อมมาพอดี “คนมากันครบแล้ว ออกเดินทางเถอะ”
ทันทีที่สิ้นเสียงเผยยวนก็หมุนตัวกลับมา ก่อนจะยกร่างของนางขึ้นบนหลังม้า จากนั้นเขาก็พลิกตัวตามขึ้นไป จะว่าไปแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาสองคนขี่ม้าด้วยกัน
รอวันหน้าพานางไปขี่ม้าที่ซีเป่ย จะต้องเป็นอีกบรรยากาศหนึ่งที่งดงามอย่างแน่นอน
เซียวเย่เจ๋อมองพวกเขาเล็กน้อย รู้สึกว่าช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันยิ่งนัก ก่อนจะลอบปรายตามองไปทางไป๋จิ่น “พวกเราก็?”
ทว่าไป๋จิ่นกลับส่งเสียงอาเจียนออกมาด้วยความรังเกียจทันที และเอ่ยขึ้น “ฝันไปเถอะ”
คนสี่คนและม้าสามตัว ก็อ้อมภูเขาด้านหลังไป
เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่ทิวทัศน์บนภูเขากลับไม่น่าเบื่อเลย หลังจากเดินทางไปได้สักระยะ ก็พบกับทหารเกราะเหล็กที่ลาดตระเวนอยู่ พวกเขาจึงเอ่ยทักทายพวกเผยยวน เมื่อเห็นพวกเขาสามีภรรยารักใคร่กันดี พวกเขาต่างก็คิดถึงครอบครัวตัวเองขึ้นมา
จี้จือฮวนพิงกับอกที่แข็งแรงของเผยยวน ก่อนที่จู่ ๆ จะถามขึ้น “ครอบครัวพวกทหารอยู่ที่ใดกันหรือ? มีคนคอยดูแลหรือไม่?”
เผยยวนจึงตอบกลับไป “ส่วนใหญ่อยู่ในตำบลเล็ก ๆ ที่ซีเป่ย และทหารหลายคนก็ไม่เหลือใครในครอบครัวแล้ว พวกเราประจำการอยู่ที่ซีเป่ย ที่นั่นมีเมืองตั้งอยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงย้ายครอบครัวมาอยู่ที่นี่ ที่นั่นข้าสามารถตัดสินใจแบ่งที่นาทำกินให้พวกเขาเองได้ แต่ก็ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ไม่ได้ตามมาด้วย และยังอยู่ที่ภูมิลำเนาเดิม”
“เช่นนั้นก็ดี” เพียงแต่หลังจากที่เผยยวนเกิดเรื่อง ครอบครัวของทหารเหล่านั้นจะเป็นเช่นไรบ้าง?
“เจ้าไม่ค่อยพูดเรื่องในค่ายทหารเมื่อก่อนให้ข้าฟังเลย”
“พูดออกไปแล้วข้ากลัวเจ้าจะหัวเราะเยาะเอา เพราะเวลาที่สกปรกที่สุด เราไม่ได้อาบน้ำกันเป็นเดือน ๆ” เผยยวนเอ่ยถึงตรงนี้ก็หน้าแดงขึ้นมา
ซึ่งจี้จือฮวนย่อมทราบดี
“บางครั้งหิมะตก ปากแตก หน้าแห้ง ผิวหนังถลอก มีปีหนึ่งกลับมาเมืองหลวง ทุกคนต่างก็ไปที่ริมแม่น้ำเพื่ออาบน้ำ ทว่ากลับทำให้น้ำสกปรกมากจนปลาตายได้ ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่อยากจะฟัง”
ครั้งนี้เขารอดจากความตายมาได้อย่างหวุดหวิด จึงทำให้ผิวพรรณขาว ๆ กลับคืนมาอีกครั้ง ใบหน้าของเขาได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยยาหลิงเฉวียน ดังนั้นจึงมองไม่ออกว่าเคยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายมาก่อน
“มีอยู่ครั้งหนึ่งพวกเราไล่ตามกองทัพข้าศึกไป จนเข้าไปในภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ ไม่มีอะไรเลยนอกจากพื้นที่ขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา พวกเราไม่ได้ลงมาจากเขาเลยหนึ่งเดือนเต็ม ๆ เวลากระหายน้ำก็ยัดหิมะเข้าปากแล้วเคี้ยวเอา นอนซุ่มอยู่ในหิมะร่างกายแทบจะแข็งเป็นรูปปั้น คนเหล่านั้นเจ้าเล่ห์และจับตัวได้ยาก ตอนกลางคืนจึงได้แต่สาปแช่งไปพลาง มองหาถ้ำสำหรับเอาไว้นอนไปพลาง ก่อนจะเข้านอนพร้อมเสียงกรนและเสียงลม
หนวดเคราก็อย่าหวังว่าจะได้โกน ดูราวกับกลุ่มอันธพาลอย่างไรอย่างนั้น เมื่อกลับมายังตำบลก็หิวอย่างมากจึงตรงไปที่ร้านอาหาร ทว่าสุดท้ายเถ้าแก่ที่นั่นจำข้าไม่ได้ คิดว่าเป็นคนป่าเถื่อนที่ลงมาจากภูเขา”
เผยยวนเอ่ยถึงตรงนี้ก็เกาศีรษะไปด้วยเพราะความขัดเขิน
ในเวลานั้นเหล่าทหารต่างบอกเขาว่า ‘ท่านแม่ทัพ ท่านรีบแต่งงานเถอะขอรับ’
เวลาแขนเสื้อขาดยังต้องให้พวกหลิวเฟิงเป็นคนเย็บ แม้ว่าท่านหญิงซ่างหยางจะไม่ได้รักใคร่เขา แต่เรื่องอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่ที่กิน และการเดินทางเขาก็ไม่เคยขาดตกบกพร่อง และทั้งจวนก็มีเขาเป็นนายเพียงคนเดียว คุณชายที่เติบโตมาบนกองเงินกองทอง ปีแรกในค่ายทหารต่างปวดเอวและปวดหลังทุกคืน ไม่มีส่วนไหนของร่างกายที่ไม่ปวดระบม
แต่หลายปีมานี้ในที่สุดเขาก็ผ่านมาได้ ทั้งยังได้ภรรยาที่ดีเช่นนี้มาด้วย
“ฮวนฮวน รอกลับไปที่ค่ายทหารที่ซีเป่ย ข้าจะพาเจ้าไปเดินดูรอบเมือง จวนของเราใหญ่มาก คนที่นั่นข้ารู้จักทุกคน น้ำแกงเนื้อแกะร้านไหนอร่อยที่สุดข้ารู้หมด”
จี้จือฮวนฟังเขาพูด ในใจก็เกิดความปรารถนาขึ้นเช่นกัน
นางก็อยากไปดูที่ที่เขาใช้ชีวิต เมืองหลวงไม่ใช่ที่ของเขา ซีเป่ยต่างหากที่ใช่
ผืนแผ่นดินนั้นต่างหากที่เขาสละเลือดเนื้อเพื่อแลกมา
“เจ้าอยากไปหรือไม่?”
“แน่นอน”
ข้ารักเจ้า ย่อมต้องรักในอดีตของเจ้า รักอนาคตที่มีเจ้าอยู่ด้วย
สำหรับนางหมู่บ้านตระกูลเฉินเป็นจุดเริ่มต้นที่นางไม่ทันได้ตั้งตัว แต่ว่าสถานที่ที่มีเขาอยู่ด้วย เหมาะที่นางจะลงหลักปักฐาน
เผยยวนได้ยินนางพูดเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าเรื่องที่กังวลใจมาตลอดนั้น ในที่สุดก็มลายหายไปแล้ว
เขาลืมไปได้อย่างไรว่าฮวนฮวนของเขาเป็นคนที่มีความคิดเปิดกว้าง นางไม่เคยกังวลเกี่ยวกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง นางรู้เพียงแค่ว่าจะมีข้าอยู่กับเจ้า
ช่างโชคดีเพียงใดที่เขาได้รับความรักจากคนอย่างนาง
คนเช่นนางจะมีสักกี่คนกัน
แต่ไม่ว่าจะมีสักกี่คน พวกนางก็ไม่ใช่ฮวนฮวนอยู่ดี
เผยยวนรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองลอยสูงขึ้น ก่อนจะค่อย ๆ ตกลงมาหานาง
“ที่จริงข้าเคยไปมาแล้วหลายที่ เจ้าอยากฟังเรื่องของข้าหรือไม่? ที่โลกของพวกเรา มีต้นไม้เขียวชอุ่มสุดลูกหูลูกตา และมีทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาลที่งดงามไม่แพ้กัน”
แน่นอนว่าเผยยวนเต็มใจ เขาโอบเอวของนาง ฟังนางเล่าเรื่องบ้านเกิด
เขาได้รู้มากขึ้นและรู้สึกว่าได้ใกล้ชิดกับสถานที่แห่งนั้นมากขึ้นอีกนิด เขาไม่เคยรู้เลยว่าการรักใครสักคนจะเป็นเรื่องที่อบอุ่นและสบายใจเช่นนี้
เซียวเย่เจ๋อต้องการแอบฟัง แต่กลับถูกไป๋จิ่นดึงหูให้ถอยหลังมาอีกหน่อย ภาพตรงหน้าช่างงดงาม เหตุใดต้องเพิ่มคนงี่เง่าสองคนเข้าไปด้วยเล่า
คนหล่อไม่เห็นด้วย
.
.
.