ราตรีสวัสดิ์ เซอร์อาเรส! บทที่ 26

เจย์และโรสได้แต่จ้องมองไปที่ “เจนสัน” อย่างตกใจ

คำพูดเหล่านั้นที่หนูน้อย “เจนสัน” เอ่ยออกมาเปรียบเสมือนเสียงระเบิดเวลาสำหรับชายหนุ่มและหญิงสาว

โรสจ้องมองชายหนุ่มด้วยความวิตกกังวล พลางกลัวว่าร่างสูงนั้นจะจับพิรุธของเธอได้

ชายหนุ่มมองหญิงสาวอย่างคุมเชิง ก่อนที่ริมฝีปางบางสวยจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันพร้อมเอ่ยถาม “โรส เธอว่า เป็นอย่างเจนสันพูดหรือเปล่า?”

โรสบอกได้อย่างแน่ชัดว่าตอนนี้เธอกำลังเห็นเปลวไฟคลุกกรุ่นภายในดวงตาของร่างสูง และนั้นทำให้เธอรู้สึกว่าเรื่องต่าง ๆ เริ่มจะไม่ง่ายแล้วสิ

ถ้าให้เลือกระหว่างการที่ปล่อยให้ร่างสูงได้เค้นความจริงจากเธอ เธอเลือกที่จะบอกความจริงเพียงครึ่งเดียวให้เจย์ได้รู้จะดีต่อตัวเธอกว่า “ฉันมีลูกสาวอยู่หนึ่งคน” เธอบอกอย่างช้า ๆ “อายุน้อยกว่าเจนสันหนึ่งปี… สองสามวันมานี้เธอป่วยเป็นไข้หวัด ที่ฉันมาทำงานสายก็เพราะว่าฉันต้องดูแลเธอ”

เจย์เริ่มขมวดคิ้ว

เขากำลังโดนไล่ต้อนจากความคิดที่ว่า ร่างบางตรงหน้าไปมีลูกกับชายอื่นหลังจากที่ทิ้งเขาไป

เจย์ขัดเธอขึ้นมาด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง “ฉันไม่สนเรื่องครอบครัวของเธอ แต่ถ้าเธอไม่มีเวลาดูแลเจนสันอย่างจริงจัง เธอก็ไม่ควรรับงานนี้ตั้งแต่แรก เก็บของ ๆ เธอแล้วออกไปจากที่นี่ซะ!”

โรสยังคงยืนอยู่ที่เดิม เธอมองไปที่ “เจนสัน” อย่างความลำบากใจ

หยดน้ำตามากมายพรั่งพรูออกมาจากนัยน์ตาคู่สวย

ร็อบบี้น้อยรู้สึกแย่ที่ครั้งที่เห็นแม่ของเขาร้องไห้

‘คุณแม่เป็นแม่ที่ดีที่สุดในโลก แม่ทำงานหนักทุกวัน ในทุกวันคุณแม่จะตื่นเช้าและกลับดึกก็เพื่อพวกเรา แต่คุณพ่อนั้นแทบไม่รู้อะไรเลย ท่านรู้แต่การดุด่าคุณแม่ ฉันจะทำอย่างไรดีนะ?’

ทันใดนั้น เด็กน้อยก็ได้ความคิดใหม่ขึ้นมา ร็อบบี้พุ่งเข้าหาร่างของคนเป็นแม่ พลางตวัดเกี่ยวแข้งขาไปรอบ ๆ ตัวหญิงสาวแน่นราวกับหนวดของหมึกในทะเล

ไร้ซึ่งความเขินอาย เด็กน้อยเอ่ย “ผมไม่ให้คุณโรสไป คุณพ่อครับ ผมขอร้อง ถึงแม้ว่าเธอจะมาสาย แต่เธอดูแลผมดีมาก ๆ เลยนะครับ เธอรู้เรื่องต่าง ๆ เยอะมาก เธอสอนผมร้องเพลง เล่นเปียโน สอนผมอ่านกลอน แล้วยังสอนผมวาดภาพด้วย…”

เมื่อเห็นว่าลูกน้อยกล่าวเช่นนั้น ความเจ็บปวดที่แผ่ออกมาจากน้ำเสียงและคำพูดของลูกชาย

หรือเขาจะหลอนไปเอง?

‘เป็นไปได้ยังไงที่เด็กเฉยชานิ่งขรึมไม่เคยเข้าใกล้ใครอย่างเจนสันถึงแสดงออกแบบนั้นกับโรส ทั้งยังพูดออกมายาวเสียอีก!’

นั่นมันเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก ๆ สำหรับเจย์

“เจนสัน ถอยออกมาจากเธอเดี๋ยวนี้” เจย์กวักมือเรียกเด็กน้อยร็อบบี้

“ไม่ จนกว่าพ่อจะสัญญากับผม” ร็อบบี้น้อยพูดพลางกระพริบตาออดอ้อนแกมขอร้องไปยังร่างสูง

คนเป็นพ่อถึงกับขบขันไปกับท่าทางน่ารัก ๆ นั่น ก่อนจะยิ้มบาง ๆ

“ทำได้ดีหนิ พ่อจะให้เธออยู่ ถ้าลูกทำให้พ่อเห็นได้ว่าลูกพัฒนาขึ้นมากน้อยแค่ไหนในช่วงสองสามวันมานี้”

ร็อบบี้น้อยคือเด็กที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง เขาคือเด็กที่เติบโตอย่างสมบูรณ์แบบไม่ว่าจะทางด้านจิตใจ หรือร่างกาย เขาจึงไม่อายที่จะแสดงให้ผู้เป็นพ่อได้เห็น

เด็กน้อยขยับตัวออกห่างจากแม่ และไม่ทันสังเกตเห็นความสงสัยส่งผ่านออกมาจากดวงตาของโรส

ก่อนที่เธอจะเบยสายตาขึ้นไปมองที่ชั้นสองของคฤหาสน์…

เธอรู้สึกว่า เธอมั่นใจว่าเจ้าเด็กที่น่ารักพูดเยอะตรงหน้าคือร็อบบี้น้อยของเธอเป็นแน่

เด็กน้อยหยุดยืนตรงหน้าของร่างสูงก่อนจะมองตรงไปยังพ่อของเขา พร้อมเอ่ยอย่างมั่นใจ “พ่อจะทดสอบผมยังไงก่อนดี?”

เจย์นึกถึงกลอนไพรเราะที่ลูกชายบอกว่าหญิงสาวเป็นคนสอน ถึงอย่างนั้น เมื่อเขาบอกให้เจนสันอ่านให้ฟัง ลูกชายมักจะลนลานและอ่านตะกุกตะกักเสมอ

“ท่องกลอนให้พ่อฟังหน่อย” เจย์บอกเสียงเรียบ

‘ฉันสงสัยจริง ๆ ว่าการอาการแบบนี้ของลูกชายจะหายไปหรือยังเหมือนเดิม?’

เป็นดังคาด ร็อบบี้น้อยเริ่มท่องกลอนที่มีชื่อว่า ภาพของดอกไม้จีนสีส้ม มันคือกลอนที่เกี่ยวกับความรักของแม่ “โอ้ เจ้าดอกไม้จีนแสนสวยสว่าง ออกรากกิ่งกางใต้บูรพาทิศ”

ร่างสูงขมวดคิ้วพลางมองไปที่หญิงสาวอย่างไม่พอใจ

‘เธอทอดทิ้งลูกของตัวเองไปตั้งห้าปี แล้วตอนนี้เธออยากจะขอโอกาสกลับมาเลี้ยงดูงั้นเหรอ?’

“เปลี่ยนเป็นบทอื่นแทน” เจย์ว่าขัด

ร็อบบี้น้อยเริ่มท่องกลอนบทใหม่ที่มีชื่อว่า ท่วงทำนองของคนจร ทันทีโดยไม่ได้คิดสงสัยแต่อย่างใด

“เหล่าร่องรอยบนมือมารดา อีกทั้งเสื้อผ้านานาของคนจร”

และเป็นอีกครั้งที่หนูน้อยท่องกลอนเกี่ยวกับความรักของแม่ออกมา