บทที่ 241 การสังหารหมู่ลับ
บทที่ 241 การสังหารหมู่ลับ

ในที่สุดท่าน….. ก็กลับมาแล้ว

ยามได้ยินคำพูดประหลาดเช่นนั้น ชิงอวี่ก็มองอีกฝ่ายด้วยความสับสนก่อนเอ่ยเสียงเบา “ท่าน….. จำข้าผิดกับคนอื่นงั้นหรือ?”

อีกฝ่ายส่ายหน้าน้อย ๆ “กลิ่นขององค์หญิง….. กี่ปีผ่านไปข้าก็ไม่มีวันลืมแน่”

ว่าแล้วนางก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความคาดหวังขึ้นเรื่อย ๆ “ข้ารู้ว่าอย่างไรองค์หญิงก็ต้องกลับมาแน่ ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ท่านก็ยังเป็นนายท่าน เป็นเจ้าเหนือหัวของที่นี่ ไม่ว่าจะมีใครมาแทนที่ก็ตามที…..”

เสียงนางสั่น ๆ เกือบฟังไม่ได้ยินไปครู่หนึ่ง เงาดำที่หยุดชิงอวี่ไว้เมื่อก่อนหน้ารีบแวบหายไปรับร่างนางไว้ก่อนเอ่ยเสียงเป็นห่วง “หัวหน้านักบวชหญิง ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”

“ข้าไม่เป็นไร” นางโบกมือให้เงาดำจากไปแล้วเอ่ยเสียงเรียบ

ชิงอวี่ชะงักไปยามได้ยิน หัวหน้านักบวชหญิงหรือ?

สตรีที่ทำตัวประหลาด อาศัยอยู่ในตำหนักทรุดโทรมแห่งนี้….. แท้จริงแล้วคือหัวหน้านักบวชหญิงหรือ?

เท่าที่นางรู้ หัวหน้านักบวชหญิงแห่งอารามจันทร์กระจ่าง เป็นตำแหน่งที่สูงมาก ฐานะสูงส่งกว่าศิษย์คนอื่น ๆ ทั้งยังมีอำนาจในมือมากที่สุด เป็นรองจากท่านเจ้าอารามและผู้อาวุโสทั้งหลายเท่านั้น

นางไม่เคยเห็นหัวหน้านักบวชหญิงที่ดูเหี่ยวเฉาแก่ชราเช่นนางมาก่อน หรือนางจะทำความผิดร้ายแรงเลยถูกขับไล่ให้มาอยู่ในสถานที่เช่นนี้กัน?

“องค์หญิง ท่านมากับข้า กลิ่นอายจากเลือดที่หลั่งเมื่อครู่คงทำให้พวกคนจากอารามศักดิ์สิทธิ์รู้ตัวแล้ว จมูกพวกเขาดีราวกับหมาล่าเนื้อ ไม่นานก็คงรุดหน้ามาที่นี่ ท่านเข้าไปหลบด้านในสักครู่เถอะ”

ไม่ต้องรอให้ชิงอวี่เอ่ยปากคลายความสงสัย นางก็หันหลังเดินกลับไปแล้ว ย่างก้าวของนางดูล่องลอยบางเบา ส่วนเงาดำก็ตามหลังนางไปด้วยความเป็นห่วง

ชิงอวี่เห็นดังนั้นจึงรีบเดินตามเข้าไป พริบตาที่ก้าวเข้ามาด้านใน ประตูบานเก่าขนาดใหญ่ก็ส่งเสียงลั่นเอี๊ยดแล้วปิดดังปังทันที ชิงอวี่เลิกคิ้วขึ้น นี่มันจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

ร่างในชุดสีส้ม พร้อมเรือนผมยาวสยายทั่วแผ่นหลังก็ล้มลงกับพื้นทันทีที่เดินเข้ามาด้านใน ราวกับหมดแรงลงดื้อ ๆ

เงาดำรีบพยุงนางไปนั่งเก้าอี้ด้านข้าง ก่อนเอ่ยเสียงทุ้ม “หัวหน้านักบวชหญิง ท่านดื่มเลือดข้าน้อยสักหน่อยเถอะ! หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ร่างท่านคงทนได้อีกไม่นาน วิญญาณก็จะสูญสลายไปกับสายลม! ไม่เช่นนั้นที่ท่านเฝ้ารอมานานหลายปีก็จะไร้ผลนะ!”

ว่าแล้ว เงาดำก็เรียกวิญญาณขึ้นมา เปลี่ยนมันให้เป็นมีด กำลังจะกรีดมันลงที่แขนตน ทว่ากลับขยับไม่ได้ขึ้นมา จากนั้นมีดในมือก็ถูกปัดออกไปพร้อมกับแขนเสื้อของหญิงสาวที่สะบัดหนึ่งครา

“ข้าไม่ต้องให้เจ้ามาตัดสินใจแทน ถึงข้าจะตาย ข้าก็จะไม่มีวันใช้วิธีชั่วช้าเช่นนั้นมาต่อชีวิตแน่ ข้าขอเลือกฝืนทนกับความตายเสียยังดีกว่า!” ลมหายใจนางแผ่วนัก ใบหน้าก็ซีดขาว แต่ถึงจะต้องพูดไปหยุดพักไปก็ตาม น้ำเสียงนางก็ยังมั่นคงมาก

“หัวหน้านักบวชหญิง…..”

“ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าตัดสินใจไปแล้ว” นางเอ่ยขัดเงาดำ “เจ้าออกไปได้”

ถึงชิงอวี่จะหัวทึบนัก แต่นางก็รู้ว่าสตรีผู้นี้ไม่ปกติ นางจึงอดถามขึ้นไม่ได้ “ท่าน….. เป็นวิญญาณหรือ?”

นับตั้งแต่นางปรากฏตัวขึ้น ชิงอวี่ก็รู้สึกว่านางให้บรรยากาศแปลกประหลาดนัก แต่ก็ไม่ได้คิดถึงจุดนี้ กลิ่นอายนางเบาบาง ร่างนางก็เริ่มจางลง ราวกับจะหายไปตอนไหนก็ได้

แต่เมื่อครู่นางยังแตะโดนร่างอีกฝ่ายอยู่เลย แม้จะเย็นไปสักหน่อย แต่ก็ยังเป็นเนื้อหนังจับต้องได้

มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่?

นางได้ยินแล้วก็เงยหน้าขึ้นช้า ๆ ก่อนนัยน์ตาสีดำสนิทจะเหมือนนึกย้อนถึงเรื่องราวในอดีตยามได้มองเด็กสาว

ครู่หนึ่งผ่านไป นางจึงเอ่ยเสียงเบา “ข้าไม่ใช่วิญญาณ….. มันเป็นคำสาป”

“คำสาปหรือ?” ชิงอวี่เบิกตากว้าง “ท่านหมายความว่าอย่างไร?”

นางพลันหัวเราะเสียงเบา จากนั้นยกมือสีจางขึ้นมา สีหน้าไม่รู้ว่ายินดีหรือเศร้าใจ “ใช่แล้ว….. ข้าอยู่ที่นี่มานานหลายร้อยปี ถูกคำสาปบ่อนทำลาย ทนทุกข์ทรมานยิ่งนัก แต่ข้าจะไม่มีวันตาย ต้องอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ ไม่อาจรู้ได้ว่าเมื่อไหร่จะหลุดพ้นจากความทุกข์นี้”

ชิงอวี่นึกบางอย่างขึ้นมาได้ “ฝีมือท่านเจ้าอารามแห่งอารามศักดิ์สิทธิ์หรือ?”

แม้นางจะไม่ได้พูดคุยกับท่านเจ้าอารามมากมายนัก ทว่าชิงอวี่ก็รู้ว่าท่านเจ้าอารามไม่ใช่คนที่สนิทสนมด้วยง่าย ยิ่งข่าวลือทั้งหลายที่กล่าวว่าท่านเจ้าอารามผู้ชั่วร้ายกระทำการชั่วช้าอะไรไว้บ้างนั่นอีก

ชิงอวี่พูดจบ นางก็พลันหัวเราะเสียงเย็นออกมา จากนั้นเอ่ยเสียงเยือกเย็น “ท่านเจ้าอารามหรือ? หึ! นางเป็นเพียงหญิงบ้าจิตใจเหี้ยมโหดที่ฆ่าสังหารทั้งสายเลือด กล้าฉวยโอกาสเอาสิ่งที่ไม่ใช่ของตนมา!”

ชิงอวี่เลิกคิ้วขึ้น น้ำเสียงเช่นนั้น….. ดูท่านางจะรู้เรื่องบางอย่างกระมัง!

“หัวหน้านักบวชหญิง พวกเรามีปัญหาแล้ว ด้านนอกมีคนอยู่เต็มไปหมด” ระหว่างที่คุยกันอยู่ เงาดำที่นางให้ออกไปเมื่อครู่ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง บอกกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน

นางจึงส่งสายตาให้อีกฝ่าย เป็นสายตาที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน จนความลนลานทั้งหลายในใจของเงาดำนั่นหายไปไม่เหลือร่องรอย

“เจ้าไปเจออะไรถึงได้ร้อนรนเช่นนี้?” น้ำเสียงเรียบเรื่อยเอ่ยขึ้น มันไม่มีเสียงต่ำสูงเจืออยู่สักนิด

เงาดำสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนเอ่ยขึ้นช้า ๆ “ขออภัยด้วย หัวหน้านักบวชหญิง แต่มันกะทันหันเกินไป คนที่นำพวกนั้นมา….. คือชางเจี้ยน”

สีหน้าหญิงสาวเริ่มมีเค้าอารมณ์ปรากฏขึ้น รอยยิ้มเย็นชาค่อย ๆ ผลิบานที่มุมปาก “หึ เขายังมีหน้ามาที่นี่อีก”

จากนั้นนางเอ่ยกับเงาดำว่า “พาองค์หญิงไปซ่อนในทางลับก่อน หากไม่ได้รับคำสั่งจากข้าก็ห้ามออกมา”

“หัวหน้านักบวชหญิง! พลังของท่านในตอนนี้ต่อต้านชางเจี้ยนไม่ได้…..” เงาดำพูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกสายตานางที่พลันกลายเป็นสีแดงเลือดกดดันไว้

นางเอ่ยคำหนึ่งออกมาสั้น ๆ “ไป”

เงาดำจึงไม่มากความอีก เพียงแต่ก้มหัวลงตอบรับคำ “ขอรับ”

จากนั้นก็หันมาคำนับให้ชิงอวี่ด้วยความเคารพ “องค์หญิง ตามข้าน้อยมาขอรับ”

พริบตาที่นางก้าวเข้าอุโมงค์ลับ ทั่วทั้งตำหนักก็สั่นสะเทือน ก่อนที่ประตูผุพังจะถูกพลังรุนแรงผลักให้เปิดออกจากด้านนอก

ที่นอกประตูคือร่างสูงของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเป็นพิเศษที่เดินนำมา เขาสวมชุดนักบวชสีน้ำเงินเข้ม ดูสะดุดตาเมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ที่สวมชุดสีขาวและดำ เขากำลังยืนส่งยิ้มบางที่มุมปากมาให้

เทียบกับกลุ่มคนหน้าตาน่ากลัวทั้งหลายที่นอกประตูแล้ว หญิงสาวหน้าตาหมดจดที่อยู่ภายในนั้นดูอ่อนแอบอบบาง ไร้อำนาจเป็นยิ่งนัก

หากแต่หญิงสาวที่ไร้อำนาจกลับไม่พบแววร้อนรนแม้สักนิด สีหน้าเรียบเฉยนั้นไม่เปลี่ยนตั้งแต่ต้นจนจบ ภายใต้ร่างผอมแห้งนั้นราวกับจะมีพลังไร้ขอบเขตซุกซ่อนอยู่ ทำให้ไม่อาจประเมินนางต่ำไปได้

เมื่อชางเจี้ยนเห็นนางก็ชะงักไป ราวกับได้เห็นคนที่ไม่ได้พบมานาน หรือไม่ก็เห็นคนที่ไม่ควรมีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้ว แต่กลับมาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขาได้ ซึ่งทำให้เขาทั้งตกใจและประหลาดใจ

เพราะคนตรงหน้าเป็นคนที่เขาคุ้นเคยด้วยนัก

เมื่อหลายปีก่อน ภายในอารามศักดิ์สิทธิ์ที่เหน็บหนาว นางเป็นเพียงคนเดียวที่ทำให้สถานที่แห่งนี้มีสีสันขึ้นมาบ้าง

เขาค่อย ๆ ขยับริมฝีปากเอ่ยคำอย่างไม่อยากเชื่อ “ชื่อเยว่…..”

เปลือกตาที่หลุบลงต่ำอยู่ตลอดของนางพลันขยับเล็กน้อย ก่อนนางจะเงยหน้าขึ้นมอง นัยน์ตาสีดำลึกล้ำคู่นั้นทำใจเขาสั่นสะท้าน เสียงแหบพร่าเล็กน้อยของนางเอ่ยขึ้น “หัวหน้านักบวชชางเจี้ยน ท่านคงจะสบายสินะ”

ประโยคที่แสนจะธรรมดากลับทำให้ชางเจี้ยนหรี่ตาลง ชั่วครู่หนึ่งถึงจะตอบกลับเบา ๆ “ชื่อเยว่ เจ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่มาโดยตลอด ทำไม….. ถึงได้ดูห่างเหินนัก?”

“ศิษย์พี่?”

นางย้อนคำเขา ก่อนจะหัวเราะออกมา “หัวหน้านักบวชชางเจี้ยนเข้าใจอะไรผิดหรือไม่? ศิษย์พี่ของข้า เขามีนามว่าเหยียนหลิว เป็นคนจิตใจดีที่ชิงชังความชั่วร้ายน่ะหรือ? เขาตายไปอย่างโหดเหี้ยมไร้ปรานีเมื่อครั้งที่เกิดการฆ่าสังหารเมื่อหลายปีก่อนแล้วไม่ใช่หรือไร?”

ชางเจี้ยนปวดใจนัก

เหยียนหลิว…..

เป็นชื่อที่เขาไม่ได้ยินมาหลายปีแล้ว

มันเป็นชื่อไม่คุ้นหู แต่ก็คุ้นหูไปในเวลาเดียวกัน

“ชื่อเยว่…..”

“อย่าเรียกชื่อข้าอีก ท่านไม่มีค่าพอจะเรียกมัน”

เห็นนางเย็นชาเช่นนี้ ชางเจี้ยนก็กำมือแน่นอยู่ภายในแขนเสื้อ เหมือนกำลังต่อสู้กับอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็ถอนหายใจยาวออกมาก่อนจะเอ่ยเสียงเข้มขึ้น “ค้น!”

“พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?” ชื่อเยว่นัยน์ตาทะมึนสีหน้าบิดเบี้ยว “นี่ท่านกลายเป็นขี้ข้าให้คนผู้นั้นหลายปีแล้วยังไม่พอ ต้องมาทำลายความสงบสุขที่เหลืออยู่เสี้ยวสุดท้ายของข้าด้วยงั้นหรือ?”

ชางเจี้ยนหลุบตาลงราวกับไม่อยากเห็นความเกลียดชังและความผิดหวังในดวงตานาง “ชื่อเยว่ เจ้าฉลาดมีไหวพริบมาตั้งแต่ยังเล็กนัก อ่านสถานการณ์และใจคนออกมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เจ้ารู้….. วิธีการจับจุดอ่อนไหวในใจคนเพื่อซุกซ่อนสิ่งที่ไม่อยากให้อีกฝ่ายค้นจนเจอ”

“แต่เจ้าลืมไปแล้วหรือ? ใต้หล้านี้เจ้าเป็นคนที่เข้าใจข้ามากที่สุด ทว่าข้าเอง….. ก็เป็นคนที่รู้จักเจ้าดีที่สุดเช่นกัน”

ชางเจี้ยนเดินตรงเข้าไปหานางทีละก้าว ภายใต้แสงเทียนกะพริบริบหรี่ ร่างสูงนั้นราวกับจะกลืนร่างผอมบางของนางจนหายไปสิ้น

“แต่หลายปีผ่านไป ข้าได้เปลี่ยนไปแล้ว ทว่าเจ้า….. กลับไม่เปลี่ยนไปสักนิด”

ชางเจี้ยนค่อย ๆ เอ่ย ก่อนจะส่งสายตาเย็นชาไปยังจุดจุดหนึ่ง มันคืออุโมงค์ลับที่ชื่อเยว่สั่งให้เงาดำพาชิงอวี่ไปซ่อนตัว

“ชื่อเยว่ ไม่รู้ว่าเจ้าเห็นเหตุการณ์ประหลาดบนฟ้าเมื่อก่อนหน้านี้หรือไม่? ข้ากับเจ้าเป็นนักบวชที่โดดเด่นที่สุด มีเพียงดวงตาของพวกเราที่จะเห็นเหตุการณ์ประหลาดเช่นนั้นได้”

ชางเจี้ยนหัวเราะเบา ๆ แล้วมองใบหน้างดงามของนาง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงบมั่นใจมาตลอดพลันมีความตื่นตระหนกวาดผ่าน

“ลางนั่นเจือด้วยกลิ่นอายของพระเจ้าของพวกเรา ซึ่งหมายความว่าคนที่ฟ้าลิขิตได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว ใช่หรือไม่?” ชางเจี้ยนเดินผ่านใบหน้าซีดขาวตกตะลึงของนางไป ตรงไปยังอุโมงค์ลับที่ซ่อนอยู่ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยม

“ทำไมเจ้าต้องดื้อรั้นจะพยายามทั้งที่ไร้ประโยชน์ด้วย? อารามจันทร์กระจ่างไม่มีวันทนกับคนนอกรีตพวกนั้น สุดท้ายก็จะพบว่ามีแต่ความตายที่รออยู่ไม่อาจหนีพ้น!”

ชางเจี้ยนตะโกนเสียงเย็นจบ ชุดคลุมนักบวชสีน้ำเงินเข้มก็สะบัดพลิ้วเป็นโค้งงดงาม ก่อนที่แขนเสื้อกว้างจะสร้างคลื่นลมรุนแรงพร้อมด้วยพลังน่าผวา ที่ราวกับจะลบล้างสถานที่นี้จนหายไปได้หากถูกซัดออกมา

“ไม่-” ชื่อเยว่เบิกตากว้าง กรีดร้องเสียงหลงออกมา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเศร้าโศกสิ้นหวัง

ไม่นะ…..

องค์หญิงของนาง…..