บทที่ 242 เห็นผีหรือ?
บทที่ 242 เห็นผีหรือ?
หากแต่สิ่งที่ทุกคนคิดว่าจะได้เห็นกลับไม่ปรากฏ
หลังจากลมห่าใหญ่ผ่านพ้นไป ที่เหลืออยู่คือกำแพงผุพันเท่านั้น มันพังเสียจนไม่เหลือโครงเดิม ไม่ต้องพูดถึงคน กระทั่งอุโมงค์ลับที่ซ่อนอยู่ยังไม่ปรากฏให้เห็น
ชางเจี้ยนเบิกตามองอย่างไม่อยากเชื่อ เป็นไปได้อย่างไรกัน?
ไม่มีอะไรหรือ?
เขาจับสัมผัสกลิ่นอายไม่คุ้นเคยได้จากตรงนั้นแท้ ๆ! แล้วจู่ ๆ มันจะหายไปได้อย่างไร!?
ที่ตกใจไม่แพ้กันคือชื่อเยว่
นอกจากนัยน์ตาที่หดตัวลงแล้ว นางก็ไม่เผยอารมณ์ใดอีก เล็บที่จิกเข้าเนื้อค่อย ๆ คลายออกเล็กน้อย ก่อนนางจะพบว่านางกำมือแน่นหลั่งเหงื่อเย็นด้วยความหวาดกลัว
ไม่เป็นไรแล้วใช่หรือไม่?
องค์หญิงไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว หมายความว่านางปลอดภัยแล้วใช่หรือไม่?
เมื่อชางเจี้ยนหันมอง บนหน้าชื่อเยว่ก็ไม่หลงเหลืออารมณ์ใดอีก กลายเป็นสีหน้าเย็นชาราวกับไม่รู้เรื่องอะไร ก่อนหน้านี้นางดูตกใจลนลานแท้ ๆ ทั้งยังเจือแววหวาดกลัวอีกด้วย
ดังนั้นชางเจี้ยนจึงไม่ปล่อยให้นางหลอกโดยง่าย มุมปากเขาคลี่ยิ้มมองแทบไม่เห็น “ชื่อเยว่ เจ้าทำอะไรหรือไม่? สัมผัสข้าไม่เคยผิด ข้าสัมผัสได้ว่ามีกลิ่นอายวิญญาณมากกว่าหนึ่งในนี้ คน….. ที่ถือครองสายเลือดพระเจ้าอยู่ที่ไหน?”
“ท่านพูดอะไรของท่าน?” ชื่อเยว่หัวเราะเหยียดเสียงเย็น “สตรีชั่วร้ายนั่นสาปข้า พลังบำเพ็ญถูกทำลายสิ้น กลายเป็นไม่ใช่ผีไม่ใช่คน ไม่อาจทำอะไรได้ รอเพียงวันตายไปช้า ๆ เท่านั้น ท่านคิดหรือว่าข้าสภาพนี้จะทำอะไรได้?”
เป็นไปดังคาด พริบตาที่นางเอ่ยชื่อสตรีนั่นขึ้นมา สีหน้าชางเจี้ยนก็เปลี่ยนไปทันที ใบหน้าหล่อเหลาพลันมีแววไม่พอใจ “ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าต้องทำให้ชื่อท่านเจ้าอารามต้องแปดเปื้อนหรอกนะ!”
“หึ! ท่านเจ้าอาราม?” ชื่อเยว่หัวเราะลั่น “สัตว์ร้ายที่ไร้ความเป็นมนุษย์นั่นน่ะหรือจะเหมาะกับการเป็นเจ้าอาราม?! นอกจากหน้าตางดงามที่ใช้วิชาชั่วร้ายคงไว้แล้ว นางยังมีอะไรที่คู่ควรให้ท่านไปรับใช้นางบ้าง กระทั่งยอมตระบัดสัตย์สัญญาที่เคยสาบานเอาไว้เมื่อครั้งรับตำแหน่งนักบวช!”
“ข้าบอกว่าอย่ากล่าวหาท่านเจ้าอารามอย่างไรเล่า!” ชางเจี้ยนพลันทะมึน พริบตาเดียวก็เคลื่อนร่างมาตรงหน้าชื่อเยว่ ก่อนจะคว้าคอนางไว้อย่างดุร้าย
ชื่อเยว่ยกยิ้มเหยียด แม้จะหายใจไม่ออกแทบขาดใจแล้วก็ตาม แต่ใบหน้านางก็ไร้ความกลัว “ฆ่าข้าเลยสิ”
ชางเจี้ยนตอบเสียงเหี้ยม “คิดว่าข้าไม่กล้าหรือ?”
แต่พริบตาที่ในใจเกิดแรงสังหาร แรงกดดันหนึ่งพลันพุ่งเข้าใส่เขา ทำให้ได้แต่ปล่อยมือจากลำคอนางแล้วถอยออกมาหลายก้าว
สีหน้าเขาตกตะลึง ก่อนจะตะโกนลั่น “ใครกันที่ซ่อนตัวแล้วใช่เล่ห์กลเช่นนี้? เผยตัวออกมา!”
เขากล่าวจบ พลังประหลาดนั่นก็พลันยกร่างเขาลอยขึ้น ก่อนจะโยนเขาออกจากตำหนักไปอย่างแรง จากนั้นประตูใหญ่ก็ปิดดังปัง พวกเขาได้แต่ยืนงง ไม่ว่าจะซัดพลังหรือทำอย่างไรก็เข้ามาด้านในไม่ได้อีก น่าประหลาดนัก
“มัน….. เกิดอะไรขึ้นกัน?”
ชางเจี้ยนได้ลูกน้องพยุงลุกขึ้น ใบหน้าขาวซีด พลันกระอักเลือดออกมา
“หัวหน้านักบวช ประตูเปิดไม่ออกขอรับ!” คนชุดคลุมดำพบว่าซัดพลังใส่ประตูไปก็ไร้ผล ดังนั้นจึงวิ่งมารายงานทันที
ชางเจี้ยนปาดเลือดมุมปากออกก่อนจะจ้องบานประตูที่ปิดแน่นิ่ง ในดวงตาเริ่มก่อเกิดความสงสัย
ใครกันที่สามารถทำเช่นนี้ได้ ทั้งยังทำให้เขาบาดเจ็บได้กัน?
แม้พลังบำเพ็ญของเขาจำเป็นพลังของนักบวช แต่ก็กล้าแกร่งพอจะยืนบนแดนเมฆาสวรรค์ได้ ทั้งยังได้ตำแหน่งสูงส่งในอารามศักดิ์สิทธิ์ แม้จะไม่อาจพูดได้ว่าแกร่งหาใครเทียมได้ แต่ก็ไม่นับว่าต่ำต้อย
แต่หากเป็นคนที่ถูกลิขิตมา คนที่สืบทอดสายเลือดพระเจ้า……
ชางเจี้ยนหรี่ตาลง ช่างเถอะ เขาต้องสืบความให้กระจ่างก่อนนำเรื่องไปรายงานท่านเจ้าอาราม!
“พวกเราถอยก่อน”
ภายในตำหนัก หลังจากชางเจี้ยนถูกโยนออกไปแล้ว กำแพงผุพังก็พังทลายลงมาทันที ก่อนหน้ายังไม่ทันเห็นอะไร แต่พริบตาต่อมาอุโมงค์ลับก็เผยกายขึ้นต่อหน้า ชิงอวี่และเงาดำค่อย ๆ เดินออกมาจากด้านใน
ชื่อเยว่ชะงักไปเล็กน้อย “องค์หญิง เมื่อครู่…..”
เกิดอะไรขึ้นกัน? อุโมงค์ลับหายไปได้อย่างไร? เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
เห็นนัยน์ตาเบิกกว้างนั่นระบายด้วยความตกใจ ชิงอวี่จึงอธิบายโดยสงบ “นั่นไม่มีอะไรหรอก อุโมงค์ลับก็ไม่ได้ใหญ่โตนัก ข้าจึงเก็บมันไปได้โดยเร็ว ชายเมื่อครู่คงไม่ทันสังเกตอะไร”
คำเหล่านั้นเอ่ยออกมาตามจริง หากแต่กลับทำให้ชื่อเยว่ยิ่งชะงักค้างไปนาน
“เก็บ….. เก็บมันไป??”
นางฟังผิดไปหรือ?
ท่านเก็บของอย่าวอุโมงค์ลับไปได้อย่างไรกัน??!
อีกทั้งอุโมงค์ลับก็กว้างหลายร้อยตารางเมตร คนสิบคนเดินเรียงหน้ากระดานกันได้ แล้วนางบอกว่ามัน….. ก็ไม่ได้ใหญ่โตนัก?
ชิงอวี่เลิกคิ้วมองใบหน้าตกตะลึงของหญิงสาวที่ราวกับเห็นผี แม้นางจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็ยังเปิดปากถามขึ้น “คนบนแดนเมฆาสวรรค์คงไม่คิดว่าวิชาธรรมดาเช่นนี้มันน่าประหลาดกระมัง? มันเรียกว่าวิชาเคลื่อนย้ายพื้นที่ ข้าเพียงแต่ย้ายมันไปสถานที่อื่น สร้างภาพลวงตาไว้แทนที่มันเท่านั้น ไม่ว่าจะมีพลังบำเพ็ญสูงส่งเพียงไหน อย่างไรก็มองไม่ออก”
ภายในระยะเวลาสั้น ๆ นางสามารถย้ายอุโมงค์ลับเข้าไปในมิติส่วนตัวของนางได้ แต่นั่นเป็นความลับ นางยังไม่พร้อมเปิดเผยมันตอนนี้
ชื่อเยว่ได้ยินนางอธิบายก็เข้าใจ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเคารพบูชา “องค์หญิงแข็งแกร่งขึ้นมากจริง ๆ ข้าคิดแล้วว่าท่านต้องออกมาได้อย่างปลอดภัย”
“ท่านคงจำข้าผิดกระมัง ข้าไม่ใช่องค์หญิงอะไรหรอก” ชิงอวี่ยกมือกุมหน้าผากว่าเสียงจนใจ
นางไม่คิดจะสวมรอยผู้อื่นหรอกนะ
ชื่อเยว่ได้ยินแล้วก็ถอนหายใจเบา ๆ “ข้าไม่รู้ว่าทำไมองค์หญิงถึงไม่ยอมรับว่าเรารู้จักกัน แต่ข้าไม่มีวันลืมองค์หญิงแน่ เมื่อก่อน ท่ามกลางเหล่าองค์หญิงทั้งหลาย มีเพียงท่านที่เหมือนกับพระเจ้ามากที่สุด อีกทั้งยังมีคุณสมบัติจะได้รับสืบทอดอารามศักดิ์สิทธิ์มากที่สุด น่าเสียดายนัก…..”
เดี๋ยวก่อน
ชิงอวี่กะพริบตาราวกับนึกเรื่องบางอย่างได้ สตรีผู้นี้จำนางสลับกับท่านแม่นี่เอง!
อีกฝ่ายเรียกนางว่าองค์หญิง ทั้งยังพูดถึงพระเจ้าที่เคยเป็นเจ้าอารามศักดิ์สิทธิ์ หากนางยังไม่รู้ก็คงโง่แล้ว
เช่นนั้นสตรีผู้นี้ก็เป็นคนรู้จักเก่าของท่านแม่ อีกทั้งยังซื่อสัตย์ต่อท่านแม่มาก ช่างเป็นการพบเจอที่มีประโยชน์อะไรเช่นนี้ ดูแล้ว สตรีผู้นี้คงจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในอารามศักดิ์สิทธิ์เมื่อในอดีตอยู่บ้างเป็นแน่
และอาจเพราะนางรู้มากไปจนกลายเป็นภัย สตรีผู้นั้นจึงร่ายคำสาปใส่นางและขังเอาไว้ในตำหนักแห่งนี้
เช่นนั้นแล้ว หากบอกเรื่องความสัมพันธ์ไปก็คงไม่อันตรายอะไร
ตัดสินใจแล้ว ชิงอวี่จึงคลี่ยิ้มกล่าว “ในสายตาท่าน ข้าดูเหมือนองค์หญิงที่ท่านพูดถึงมากเลยหรือ?”
ชื่อเยว่ชะงักไป นางหมายความว่าอย่างไรกัน?
นางจึงเดินเข้าไปดูทั้งหน้าตาและท่าทางของเด็กสาวอย่างละเอียด
เหมือนจะมี….. บางอย่างแปลก ๆ
สตรีตรงหน้านางดู….. จะเด็กกว่าเล็กน้อย
แม้องค์หญิงจะมีอายุหลายร้อยปีแล้วจะยังมีหน้าตาเหมือนสาวแรกรุ่นอยู่ แต่เทียบกับเด็กสาวตรงหน้า องค์หญิงยังดูเป็นสาวมากกว่านางอยู่เล็กน้อย และนั่นเป็นความเปลี่ยนแปลงที่จะต้องอยู่ดูโลกมาสักระยะจึงจะสามารถมีได้
หรือก็คือ เด็กสาวผู้นี้ดูแตกต่างออกไปอยู่บ้าง
หรือนางจะ….. มองพลาดไปจริง ๆ?
คิดได้ดังนั้น ชื่อเยว่ก็หน้าบึ้ง “ท่าน…..”
“ท่านอย่าเพิ่งรีบร้อน ข้ายังพูดไม่จบ” ชิงอวี่เอ่ยขัด สายตาส่งรอยยิ้ม “ท่านไม่สงสัยหรือว่าทำไมข้าเหมือนองค์หญิงที่ท่านรู้จักนัก? ก็เพราะว่านางเป็นท่านแม่ของข้าอย่างไรเล่า!”
ใบหน้าบึ้งตึงของชื่อเยว่พลันเปลี่ยนเป็นความตกใจทันที
“ว่า….. ว่าอย่างไรนะ?” นางยังไม่อยากเชื่อ
แม้ตอนนั้นจะลือกันว่าองค์หญิงอยู่กับบุรุษผู้หนึ่ง ทั้งข่าวลือยังแพร่ไปไกล แต่นางก็ไม่เชื่อมันสักนิด แต่เด็กสาวที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายกับองค์หญิงผู้นี้กลับบอกนางว่าตนเองเป็นลูกสาวขององค์หญิง
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะตกใจมาก ชิงอวี่จึงถอนหายใจออกมา ก่อนนิ้วเรียวจะดีดเสียงดังเป๊าะ ลูกไฟสีแดงเหลือบทองปรากฏขึ้นที่ปลายนิ้ว ส่องสว่างท่ามกลางรอบด้านที่มืดสลัว
“เท่านี้ท่านก็น่าจะเชื่อได้แล้วกระมัง!?” ชิงอวี่เอ่ยถาม
“เป็นเพลิงหงส์ไฟ!” ชื่อเยว่ร้องเสียงหลงออกมา นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นสีแดง
นี่เป็นไฟศักดิ์สิทธิ์ขององค์หญิง! มีหรือที่นางจะจำไม่ได้?
เด็กสาวคนนี้เป็นสายเลือกขององค์หญิงจริง ๆ!
ส่วนที่ชิงอวี่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไรนั้น ต้องยกความดีความชอบให้โหลวจวินเหยา
เมื่อครั้งนางยังอยู่แดนมุกหยก เขาสอนวิธีการเพิ่มพลังบำเพ็ญหลากหลายอย่างให้นาง ตอนพบกันคราแรก เขาก็สนใจในไฟโลหิตที่ประหลาดไม่เหมือนใครของนางอยู่เป็นทุนเดิมแล้ว
นางจึงลองเสาะหาข้อมูลเพิ่มเติม และพบว่าไฟโลหิตนั้นมีชื่อว่าเพลิงหงส์ไฟ ไม่ใช่ว่าบำเพ็ญแล้วจะมีได้ แต่เป็นไฟที่มาตั้งแต่กำเนิด เป็นพลังที่สืบทอดกันผ่านสายเลือด นั่นหมายความว่าไม่ท่านแม่ก็ท่านพ่อจะต้องมีเพลิงหงส์ไฟด้วยเช่นกัน
และยามได้เห็นหงส์เพลิงทองคำในถ้ำที่สถานที่ต้องห้าม โหลวจวินเหยาบอกว่ามันเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์คู่สัญญาของท่านแม่ ดังนั้นคงที่มีเพลิงหงส์ไฟจะต้องเป็นท่านแม่ของนางแน่
กล่าวได้เลยว่าครานี้นางเดาได้ถูกจุดตรงประเด็นจริง ๆ
“ชื่อเยว่ทำความเคารพองค์หญิงน้อย” หลังพบตัวตนนางแล้ว ชื่อเยว่คุกเข่าลงกับพื้นทันที ก่อนจะทำความเคารพในแบบฉบับที่ข้ารับใช้ทำความเคารพนายหญิงตนอย่างสูงสุด
ชิงอวี่รีบพยุงนางลุกขึ้น “ท่านละทิ้งพิธีการพวกนั้นไปแล้วเรียกข้าว่าชิงอวี่เถอะ ท่านแม่ของข้าไม่ใช่องค์หญิงอีกต่อไป ท่านไม่ควรเรียกข้าเช่นนั้น”
ชื่อเยว่ได้ยินแล้วพลันขมวดคิ้ว “อย่างนั้นจะไม่เหมาะสม…..”
“ไม่มีเรื่องใดไม่เหมาะสม ทำตามข้าบอกเถอะ” ชิงอวี่กล่าว
“ได้เลย”
“ท่านวางใจ ข้าไม่ปล่อยให้ท่านตายเช่นนี้แน่ ข้าจะหาทางถอนคำสาปให้” ชิงอวี่เอ่ยเสียงเครียดพลางกุมมือนางไว้
ชื่อเยว่หรี่ตาลงก่อนส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่ได้ผลหรอก ข้าเป็นหัวหน้านักบวชหญิง แต่กลับไม่รู้วิธีทำลายคำสาปนี้เลย”
“ท่านเชื่อใจข้า ข้าทำได้แน่ ท่านไม่อยากเห็นท่านแม่อีกครั้ง จะปล่อยให้ตนตายไปพร้อมกับความเสียใจเช่นนี้หรือ?” เด็กสาวเอ่ยเสียงอ่อนโยน ทั้งยังเจือไปด้วยความน่าเชื่อถือน่าทำตามประหลาด
ใจของชื่อเยว่เหมือนถูกบิดจนเจ็บ ในที่สุดนางก็เงยหน้าขึ้น เอ่ยออกมาช้า ๆ น้ำเสียงหยุดชะงักทุกถ้อยคำ “ข้าอยาก….. มีชีวิตอยู่ต่อ”