บทที่ 243 จ… โจร… โจรปล้น?
บทที่ 243 จ… โจร… โจรปล้น?

— แดนธาราขาว —

หลังจากคนจากสมาพันธ์กำจัดสิ่งชั่วร้ายที่นำโดย ชิงเยี่ยหลีจัดการกับตระกูลเฟิ่งแล้ว พวกเขาก็จากไป

ส่วนชิงเทียนหลินที่ต้องกดข่มความโกรธอละความโหดเหี้ยมทั้งหลายเอาไว้ทุกขณะ สุดท้ายก็รู้ว่าตนลืมเรื่องสำคัญหลังจากถูกความวุ่นวายทำหัวหมุน

เขาสะบัดแขนคราหนึ่ง ควันเป็นก้อนกลมก็ปรากฏขึ้น เผยเงาร่างชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่ภายใน คือซีจ้านเฉินที่กำลังคุกเข่าลงกับพื้นแล้วเอ่ยเสียงเคารพนบน้อมขึ้น “ข้าติดต่อท่านไม่ได้เลยช่วงนี้ จึงไม่อาจรายงานได้ว่าข้าไม่อาจจับกลิ่นอายชิงอวี่ได้ นางหายไปไม่เหลือร่องรอยไประยะหนึ่งแล้ว”

“เจ้าว่าอะไรนะ?” ความโกรธเกือบจะพรั่งพรูออกมาจากดวงตาชิงเทียนหลินได้ “หมายความว่าอย่างไรที่หายไปไม่เหลือร่องรอย!?”

“นางอาจจะถูกคนบนแดนสูงพาตัวไป น้องชายนางก็ไม่ได้อยู่ในสำนักละอองหมอกเช่นกัน ข้าส่งคนไปลองถามคนที่สนิทสนมกับชิงอวี่อยู่บ้าง ตามที่ได้ข่าวมา ชิงอวี่ไม่ได้ก้าวเท้าออกนอกสำนักละอองหมอกเลย หายตัวไปได้สิบวันแล้ว ข้าเดาว่าคนจะมีคนมีวิชาสูงส่งพาตัวนางออกไปโดยที่ไม่มีใครรู้” ซีจ้านเฉินอธิบาย

ได้ยินแล้วชิงเทียนหลินก็หัวเราะเสียงเย็น “น่าขันนัก! แม้พลังบำเพ็ญของชิงชิงหลังเกิดใหม่ครานี้จะด้อยกว่าเดิมนัก แต่ก็คงไม่ง่ายที่จะถูกคนนำตัวไปโดยไม่มีใครรู้สักคนได้”

อีกทั้งในร่างนางยังมีสมบัติลับสองชิ้นอยู่ แค่จิตวิญญาณอาวุธจั้งไหมนั่นก็เป็นอาวุธที่หาใครเทียมแทบไม่ได้แล้ว

ชิงเทียนหลินคิดได้ดังนั้นจึงเอ่ยเสียงต่ำ “ขึ้นไปบนแดนธาราขาวเดี๋ยวนี้ ข้าจะสั่งให้คนค้นหาในแดนนี้เอง และหากพวกเขาไม่พบคน…..”

เขาหยุดไปเล็กน้อย นัยน์ตาเรียวทอดสายตาไปไกล “เช่นนั้นข้าจะขึ้นไปหาบนแดนเมฆาสวรรค์”

ทั้งชาติก่อนและชาตินี้ สิ่งที่เขาไม่เคยได้มาครองมีเพียงชิงชิงเท่านั้น

ชาติก่อนเขาอาจใช้วิธีการผิดไปจึงทำให้ชิงชิงมีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนั้น ชาตินี้เขาย่อมไม่มีทางให้นางจากเขาไปได้ง่าย ๆ

เมื่อไหร่ที่ได้นางมา เมื่อนั้นทุกอย่างก็จะเรียบร้อย

———————————————–

ชนเผ่าหมานเป็นชนเผ่ารักสันโดษ ทั้งสถานที่ตั้งเผ่ายังไม่มีใครรู้จักพบเห็น รู้เพียงแต่ว่ามันตั้งอยู่ใจกลางทะเลทรายกว้างใหญ่ไพศาลเท่านั้น

นอกจากพายุทรายขนาดใหญ่ที่เห็นได้บ่อยครั้ง ที่นี่ก็ไม่มีอะไรพิเศษอีก แต่เมื่อราตรีมาถึง มันจะเป็นเวลาที่ทะเลทรายอันตรายที่สุด ภายใต้แสงจันทร์ส่องครึ้ม พายุทรายนั้นจะกลายเป็นหัวอสูรขนาดใหญ่ กลืนกินผู้บุกรุกที่หมายจะเข้ามาด้วยจิตใจชั่วร้ายไปสิ้น

กระทั่งยามสว่างยังมีคนไม่มากที่คิดเดินทางมา เว้นเสียแต่จะเป็นนักปรุงยาที่เดินทางมาตามหาสมุนไพร ดังนั้นที่นี่จึงไม่ค่อยพบเห็นผู้ใดเดินทางผ่าน

พระอาทิตย์ลอยต่ำอยู่ทางเส้นขอบฟ้าทิศตะวันตก รถม้าคันหนึ่งพลันโผล่ขึ้นมา ค่อย ๆ ขยับเคลื่อนไปตามผืนทรายช้า ๆ

สายลมแผ่วเบาพัดผ่านผ้าม่านรถม้าให้เปิดขึ้น ร่างในชุดแดงและดำภายในกำลังอิงแอบกัน ท่าทางใกล้ชิดสนิทสนม ทั้งสองคือชิงหลานเฟยกับม่อจิ่งอวี้ที่เพิ่งออกจากชนเผ่าหมานมานั่นเอง

เมื่อผ่านผืนทรายกว้างใหญ่แห่งนี้ ชิงหลานเฟยอดยกยิ้มขึ้นไม่ได้ ดูเหมือนจะสะเทือนอารมณ์อยู่ไม่น้อย “หลายเดือนก่อน ข้ายังเป็นเพียงเศษวิญญาณ ที่นี่คือที่ที่ข้าได้พบอาเยว่ จากนั้นนางก็พาข้ากลับไปยังชนเผ่าหมาน”

ม่อจิ่งอวี้ถอนหายใจแล้วโอบกอดนางแน่น “ข้าทำให้เจ้าต้องลำบากแล้ว เป็นความผิดข้าเอง”

ชิงหลานเฟยส่ายหน้า ใช้ดวงตากลมโตจ้องตรงไปที่เขา “ที่ท่านฟื้นกลับมาได้ เท่านั้นก็นับเป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว”

ม่อจิ่งอวี้ชะงักไป ไม่รู้ว่าจู่ ๆ คิดอะไรถึงได้หัวเราะออกมาเสียงเบา

“ท่านหัวเราะอะไร?” ชิงหลานเฟยเลิกคิ้วถาม รู้สึกสงสัยอยู่บ้าง

“ข้านึกถึงเจ้าที่ไร้หัวใจเมื่อก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ ตอนนั้นอย่างไรเจ้าก็ไม่เคยพูดคำอ่อนโยนเช่นนี้กับข้าเลย” ม่อจิ่งอวี้จำเรื่องนั้นขึ้นมาได้ ในใจก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา

ได้ยินแล้วชิงหลานเฟยก็มองเขาด้วยสายตาเจือแววโกรธ “นั่นก็เพราะท่านชอบทำตัวทะลึ่งทะเล้น ชอบเจ้าชู้ไปทั่ว….. ว๊าย~”

กำลังพูดอยู่ รถม้าก็พลันหยุดชะงักโดยแรงแล้วเซถลาไปด้านหน้า ชิงหลานเฟยไม่ทันระวังจะกระเด็นตกรถม้า ม่อจิ่งอวี้นัยน์ตาเฉียบคม รีบโอบนางเข้าอ้อมแขนอย่างปกป้อง เรียกพลังวิญญาณออกมาคุมรถม้าให้ทรงตัวได้ทันที

“เฮ้ย เจ้านี่ยอดไปเลยนะนี่!”

“ไม่รู้ว่าในรถม้าจะมีของมีค่าบ้างหรือไม่”

“เฮ้อ….. ข้ารออยู่ในผืนทรายว่างเปล่าแห่งนี้มานาน กลับพบแต่ทรายเต็มปาก แทบไม่เห็นคนสักคนผ่านมา วันนี้พวกเจ้าคงจะโชคร้ายนักเชียว”

ม่อจิ่งอวี้ไม่สนใจเสียงจากภายนอก แต่กลับก้มหน้าลงถามคนในอ้อมแขนเสียงเป็นกังวล “เฟยเอ๋อร์ เมื่อครู่กระแทกตรงไหนหรือไม่?”

แม้เขาจะตอบสนองไวรับนางไว้ได้ทัน แต่พลังบำเพ็ญของเฟยเอ๋อร์นั้นไม่กล้าแกร่งเช่นแต่ก่อน นางเสียเศษวิญญาณไปย่อมทำให้นางอ่อนแอลงมาก

ชิงหลานเฟยส่ายหน้า “ข้าไม่เป็นไร ท่านดึงข้าไว้ได้ทัน แล้วข้าจะบาดเจ็บที่ตรงไหนได้อีก?”

ม่อจิ่งอวี้ยังห่วงอยู่บ้าง ตรวจดูนางด้วยตนเอง เมื่อเห็นว่านางไม่เป็นอะไรจริง ๆ จึงวางใจ ทำให้ชิงหลานเฟยไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาจะเป็นห่วงนางมากเกินไปแล้ว

“หา? ตายอยู่ในนั้นไปแล้วหรือ? เจ้าไม่คิดจะรีบออกมางั้นหรือ!?”

เมื่อเห็นภายในรถม้าไร้ความเคลื่อนไหวอยู่นาน ชายมีหนวดที่ดูมีอายุราวสามสิบก็เบิกตาจ้องด้วยความโกรธ ก่อนจะคำรามเสียงเหี้ยมออกมา

น้ำเสียงหยาบโลนนั่นทำให้ชิงหลานเฟยเผลอขมวดคิ้ว เหลือบมองผ่านช่องผ้าม่าน ก่อนจะเอ่ยเสียงประหลาดใจขึ้น “หรือเรา….. จะถูกโจรปล้นเข้าแล้ว?”

พวกนางไม่ได้ออกมาโลกภายนอกกว่าร้อยปี แดนเมฆาสวรรค์เสื่อมโทรมถึงเพียงนี้เลยหรือ ถึงกับมีพวกชั้นต่ำเช่นโจรมาวิ่งพล่านเช่นนี้ได้?

“หึ รนหาที่ตายนัก” ม่อจิ่งอวี้เอ่ยเสียงเหยียด นิ้วเรียวแหวกม่านรถม้าออกไป ก่อนที่นัยน์ตาหงส์สะท้านวิญญาณจะกวาดมองพวกโจรที่ยืนเรียงขวางทางอยู่อย่างไม่แยแส

พวกโจรอาจไม่เคยเห็นใบหน้างดงามเช่นนี้มาก่อน เมื่อม่านแยกออก คนทั้งหมดรวมถึงชายมีหนวดที่ก่อนหน้าตะโกนเสียงโกรธต่างก็ยืนตะลึงไป ไม่อาจดึงสติกลับมาได้อยู่พักใหญ่

พวกเขาทำหน้าตาตื่นตะลึงหลงใหลราวกับเหล่าสาวน้อยที่เห็นชายงามแล้วตกตะลึง

ชิงหลานเฟยที่ถูกเขาเอาตัวบังไว้ย่อมทันเห็นภาพน่าขันนั่นพอดี นานเม้มปากแน่น แต่อาจเพราะมันน่าตลกเกินไปจนนางทนไม่ไหว หลุดหัวเราะเสียงดังออกมา “พรืด”

ร่างบางจังขยับออกมาให้คนเห็นเช่นกัน

นางถูกยกย่องว่าเป็นโฉมงามที่สุดแห่งแดนเมฆาสวรรค์เมื่อครั้งอดีต ดังนั้นหน้าตานางจึงโดดเด่นไม่น้อย เมื่อเคียงข้างกับม่อจิ่งอวี้ ชายที่มีหน้าตาหล่อเหลาสมบูรณ์แบบเช่นนี้ ในใจคนก็มีคำโผล่ขึ้นทันใด ‘คู่สวรรค์สรรสร้าง’

ไม่รู้ว่าใครกลืนน้ำลายเสียงดัง จากนั้นเอ่ยขึ้นไม่ทันรู้ตน “งามนัก งามเกินคนจริง ๆ ข้าไม่เคยเห็นใครงามอย่างไม่น่าเชื่อสายตาเช่นนี้มาก่อนเลย…..”

เมื่อความตื่นตะลึงจางหาย คนทั้งหลายก็พลันได้สติ หนึ่งในนั้นตบท้ายทอยอีกคนที่ยังยืนน้ำลายยืดดูเซ่อ ๆ อยู่แล้วกัดฟันเอ่ยเสียงโกรธขึ้น “หน้าตาดีแล้วอย่างไร? หน้าตาดีแล้วทำให้ท้องเจ้าอิ่มหรือไม่!? อย่าลืมสิว่าเรามาเพื่อปล้น!”

พูดจบ ในมือก็พลันปรากฏกระบี่เล่มใหญ่ส่องประกายขึ้นมา ที่ด้ามจับมีโซ่หนาพันรอบ พันยาวไปถึงแขนของเขา รอบกายแผ่กลิ่นอายบ้าคลั่ง มีแต่คนที่เคยมีประสบการณ์สังหารคนมาแล้วเท่านั้นจึงจะแผ่กลิ่นอายเช่นนี้ได้ เห็นได้ชัดว่าคงก่อบาปทำชั่วมาแล้วไม่ใช่น้อย

“หากรู้ชั่วดีก็ทิ้งรถม้าไว้ แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า”

ม่อจิ่งอวี้คิดว่าตนคงหูฝาด

ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่เขาถูกปล้นเช่นนี้ แล้วน้ำเสียงที่ทำทีเป็นแสดงความเมตตานั่นมันอะไรกัน? นี่เขาต้องเข้าไปคุกเข่าคำนับด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจด้วยหรือไม่??

เขามีตัวตนเช่นนี้ มีหรือจะทนเรื่องเช่นนั้นได้? ทว่าทันใดนั้นกลับมีความอบอุ่นอ่อนโยนรั้งร่างเขาไว้เบา ๆ

ม่อจิ่งอวี้หันไปจ้องนางหน้าฉงน แต่เห็นชิงหลานเฟยส่งยิ้มอ่อนโยนให้ “ออกมาร่อนเร่ข้างนอกเช่นนี้ไม่เคยง่าย ในเมื่อพวกเขาอยากได้รถม้าก็ให้เขาไปเถอะ อย่างไรข้าก็คิดจะออกมาเดินอยู่แล้ว จะได้เห็นทิวทัศน์ตลอดทาง”

เกิดอะไรขึ้นกัน?

เฟยเอ๋อร์กลายเป็นคน….. ใจดียอมฝืนทนเช่นนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่??

ไม่ใช่สิ นางไม่เพียงไม่ใช่คนใจดี แต่ภาพจำของเฟยเอ๋อร์ในสายตาเขาคือคนที่ไม่เกรงกลัวเรื่องอย่างนี้ ไม่มีทางปล่อยให้ตนเองถูกรังแกเช่นนี้ได้ ทว่าวันนี้…..

ในตอนที่ม่อจิ่งอวี้กำลังสับสนมึนงงอยู่นั่นเอง เขาก็เห็นนางค่อย ๆ ปีนลงจากรถม้า ก่อนนางจะยืดแขนมาตรงหน้าเขาแล้วเลิกคิ้วถาม “ท่านไม่ลงมาหรือ?”

แม้จะไม่เข้าใจนัก แต่ด้วยความที่เชื่อใจนาง ม่อจิ่งอวี้จึงจับมือนางไว้แล้วปีนลงจากรถม้าเช่นกัน

“ฮ่า! อย่างน้อยก็ยังรู้ชั่วดี” ชายที่ถือกระบี่เล่มใหญ่เอ่ยเสียงหยัน ราวกับชังนักที่ทั้งสองมีท่าทีหวาดกลัวรักชีวิตตน

ม่อจิ่งอวี้หยุดฝีเท้าไปครู่หนึ่ง เกือบจะรั้งตนเองไว้ไม่ไหว แต่สุดท้ายเมื่อเห็นชิงหลานเฟยห้ามเขาไว้จึงล้มเลิกความคิดนั้น

พวกโจรทั้งหลายสงสัยนักว่าในรถม้ามีอะไรอยู่บ้าง ดังนั้นจึงเข้าไปเลิกม่านขึ้นดูก่อน เพิ่งจะตะเกียกตะกายเข้าไปกันได้ ก็พลันได้ยินเสียงร้องโหยหวนน่าผวาดังขึ้น

ม่อจิ่งอวี้ถูกลากออกมาได้ไกลแล้ว เมื่อได้ยินเสียงเอะอะเขาก็อดหันไปส่งสายตาสงสัยกับหญิงสาวข้างกายไม่ได้

เกิดอะไรขึ้น?

ยามชายร่างใหญ่ที่ถือกระบี่เห็นดังนั้น เขาก็รีบรุดไปทางรถม้าแล้วตะโกนเรียกคนด้านในเสียงดัง “พวกเจ้าจะร้องเสียงดังอะไรนักหนา?”

จนเมื่อเดินเข้าไปใกล้จึงเห็นว่าใบหน้าอีกฝ่ายเต็มไปด้วยแมลงไม่ทราบชนิดไต่อยู่ทั่ว วิ่งไปทั่วทุกทิศทาง

และเมื่อเขาก้าวเท้าเดินเข้ามาใกล้ พวกมันก็พากันบินหายไป แต่คนที่ถูกแมลงไต่หน้าทั่วนั่นมีตุ่มบวมแดงอยู่เต็มหน้าไปหมด อาจเพราะมันคันนัก หนึ่งในนั้นจึงยกมือขึ้นเกาใบหน้า สุดท้ายก็เกาเอาสิ่งที่คล้ายกับตัวอ่อนแมลงออกมาจากตุ่มบวมแดงนั่นได้ ซึ่งเป็นภาพไม่น่ามองนัก

“พวกเจ้าสองคนทำอะไร?”

คนทั้งสองเดินจากไปได้ยังไม่ไกลมากยามที่ถูกเรียงไว้

ชิงหลานเฟยตอบกลับหน้าซื่อ “อะไรหรือ?”

“ยังจะแสร้งทำไม่รู้เรื่องอีกหรือ? ไม่เห็นหรือว่าหน้าเจ้าพวกนี้กลายเป็นอะไรไปแล้ว!? หรือเจ้าจะวางพิษอะไรไว้ในรถม้าเพื่อล่อพวกแมลงพิษให้มาโจมตีงั้นหรือ!?” ชายมีหนวดคนก่อนถามขึ้นด้วยใบหน้าเหี้ยม นัยน์ตาเบิกกว้าง ทำหน้าราวกับจะจับคนทั้งสองกิน

“หากข้าวางยาพิษไว้จริง ข้าทำให้ตายไปเลยไม่ดีกว่าหรือไร? ทำไมต้องทำแค่ให้เสียโฉมด้วย? หรือท่านคิดว่าข้าอิจฉาหน้าตาอันหล่อเหลาของพวกท่านงั้นหรือ?” ชิงหลานเฟยค่อย ๆ เอ่ยเสียงเรียบเรื่อย ก่อนจะพ่นลมหายใจเหยียดออกมา ใบหน้าไม่พอใจนัก

ม่อจิ่งอวี้กลั้นหัวเราะ เขาไม่ได้เห็นหน้าตาชั่วร้ายน่ารักของนางมานานนัก! ยามนางกลั่นแกล้งคนนั้นนางจะร้ายนัก คำที่นางกล่าวกับพวกโจรอาจทำให้พวกเขาโกรธตายได้เลยกระมัง!