ตอนที่ 231 นั่นมันพี่เฟิงนี่

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 231 นั่นมันพี่เฟิงนี่

อากาศร้อนขนาดนี้ถ้าทำเกี๊ยวหรือพวกเมนูกับข้าว กว่าจะถึงกลางคืนอาจจะเน่าเสียได้ง่าย

หลินม่ายเลยทำเค้กก้อนใหญ่และข้าวโพดต้มสองสามฝักไปแทน

โจวฉายอวิ๋นตกใจที่ได้เห็นการใช้กระทะเหล็กทำเค้กเป็นครั้งแรก

หลี่หมิงเฉิงเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “ม่ายจื่อ ตั้งแต่เธอตกลงคบกับอาจารย์ฟางก็ดูหน้าชื่นตาบานขึ้นมาเชียวนะ”

หลินม่ายตอบเขาด้วยรอยยิ้ม “นั่นสินะ”

หลี่หมิงเฉิงมองดูหลินม่ายยอมรับอย่างไม่มีความเขินอายก็รู้สึกว่าเธอดูเป็นสาวคลั่งรักขึ้นมามาก ราวกลับได้กลับไปเป็นเด็กสาวแรกแย้มอีกครั้ง

โต้วโต้วเห็นว่าแม่กำลังเตรียมขนมมื้อดึกก็สนใจเช่นกันแต่ไม่กล้าขอออกมาตรง ๆ

หลินม่ายยกเค้กก้อนใหญ่นั้นมาผ่าครึ่งแล้วแบ่งให้ลูกสาวอย่างรู้ใจ

เด็กน้อยรับเค้กนั้นมาแล้วแบ่งปันให้เพื่อน ๆ ด้วย

หลังจากที่คุณหมอฟางกินมื้อกลางวันเรียบร้อย ชายหนุ่มก็แวะไปเอนหลังที่ห้องพักครู่หนึ่งเพื่อเอาแรงนิดหน่อย แล้วเตรียมออกไปทำงานต่อในตอนบ่าย

ทันทีที่ชายหนุ่มเปิดประตูออกมาก็พบว่าหลินม่ายยืนอยู่ด้านหน้า กำลังจะยกมือขึ้นมาเคาะประตูห้องพอดี

เขาเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “ทำไมมาถึงที่นี่ได้เนี่ย?”

หลินม่ายจ้องเขม็งมาที่เขา “ทำไมล่ะ ไม่อยากให้มาเหรอคะ หรือว่าซ่อนสาวสวยเอาไว้หรือเปล่า ถึงไม่อยากให้ฉันมา”

ว่าแล้วเธอก็ยื่นหน้าเข้าไปสำรวจในห้องนั้นอย่างจริงจัง

ฟางจั๋วหรานไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีกับท่าทางแบบนั้นของแฟนสาว เขารีบเปิดประตูออกกว้าง “เข้ามาลองหาดูเร็วว่ามีผู้หญิงซ่อนอยู่ไหม อย่าว่าแต่ผู้หญิงที่ไหนเลย ถึงจะเป็นยุงตัวเมียมาตอมผมก็จะตบให้ตาย เพราะไม่อยากให้คุณเข้าใจผิด”

หลินม่ายชี้ไปที่เขาแล้วเอ่ยหยอกเย้า “คุณนี่มันใจร้ายจริง ๆ แม่ยุงแค่หลงรักคุณ มาขอตอมนิดเดียวก็ไปฆ่ามันซะงั้น”

คุณหมอยิ้มขำ ยกมือหนาขึ้นมาลูบศีรษะแฟนสาวตัวดี “เอาล่ะ…หยุดเล่นก่อนนะ ผมต้องไปทำงานต่อ”

“งั้นฉันเอาของกินวางไว้ตรงนี้นะ เดี๋ยวกลับแล้วค่ะ” หลินม่ายวางข้าวโพดและเค้กที่บรรจุใส่กล่องมาให้เขาที่โต๊ะ ส่งยิ้มให้คุณหมอหนึ่งทีก่อนจากไป

ชายหนุ่มมองตามแผ่นหลังของเธอสลับกับอาหารที่อีกฝ่ายตั้งใจเตรียมมาให้ด้วยสายตาทอแววอ่อนโยน

พอกลับมาถึงร้าน หลินม่ายก็รีบกินอาหารมื้อเย็น และบอกให้หลี่หมิงเฉิงไปขนเสื้อผ้า 300 ตัวจากบ้านตรงข้ามมาใส่รถสามล้อ เพื่อที่เธอจะได้เอาไปตั้งแผงขายที่ถนนเจียงฮั่นทันทีที่กินเสร็จ

หลี่หมิงเฉิงหยิบกุญแจที่หลินม่ายให้ไว้แล้วตรงไปที่บ้านฝั่งตรงข้าม ไม่นานนักเขาก็กลับมาบอกเธอว่า “เสื้อผ้าสำหรับหน้าร้อนใกล้จะหมดแล้ว เหลือแค่โหลเดียวเอง ให้ทำยังไงดี”

“แต่ก็ยังมีพวกชุดกันลมกันหนาวสำหรับฤดูอื่น ๆ อยู่ที่เหลือพอจะเอาไปขายนี่ เอาพวกนั้นไปด้วยแล้วกัน”

หลินม่ายก็ส่ายหน้าไปมา เขายังเป็นคนซื่อเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ไม่ยืดหยุ่นเอาซะเลย

หลี่หมิงเฉิงมีท่าทางเป็นกังวล “เอาเสื้อผ้าหนา ๆ แบบนี้ขายในหน้าร้อน จะมีคนซื้อหรือเปล่า”

หญิงสาวเริ่มขี้เกียจจะอธิบายอะไรให้มากความ “ทำตามที่ฉันบอกเถอะน่า ไม่ต้องกังวลหรอก”

หลังจากกินข้าวเย็นเรียบร้อย หลินม่ายก็พาหลี่หมิงเฉิงไปที่ตลาดกลางคืนของถนนเจียงฮั่น

เพราะหลินม่ายมาขายของที่นี่ ทำให้เฉินเฟิงมักจะตามมาที่ถนนเจียงฮั่นอยู่บ่อย ๆ ถ้าพอจะมีเวลา เขามักจะมาดูลาดเลาอยู่ไม่ไกลจากแผงของเธอก่อนค่อยไปที่อื่น

แต่ในคืนนี้เขายังไม่เห็นแม้แต่ปลายผมของเธอทั้งที่เป็นเวลาประจำที่แม่ค้าสาวน่าจะมาตั้งร้านได้แล้ว

เฉินเฟิงรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขากลัวว่าเธอจะเจออุบัติเหตุอะไรหรือไม่ เลยส่งลูกน้องสองคนให้ออกไปดูที่ถนนรอบ ๆ

ชายหนุ่มนั่งกระสับกระส่ายอยู่ที่หน้าแผงขายของกินเล่น ดื่มกุ้ยฮวาหูรอให้หลินม่ายมาถึง

เหลียนเฉียวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ทนไม่ไหวจึงเริ่มถามขึ้น “เจ้านาย คุณเป็นห่วงหลินม่ายเหรอคะ”

เฉินเฟิงเงยหน้าขึ้นมาตอบเธอด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ใช่เรื่องที่เธอควรถามฉันเหรอ?”

เหลียนเฉียวเงียบไป ก้มหน้าก้มตาดื่มกุ้ยฮวาหูของตัวเองแทน

ผ่านไปซักพัก อยู่ ๆ เฉินเฟิงก็รีบผุดลุกขึ้นแล้วก้าวเท้าตรงไปที่บริเวณที่หลินม่ายมักจะมาตั้งแผง

เหลียนเฉียวคิดว่าหลินม่ายคงมาถึงแล้วเลยหันมองตามไปทางนั้น

แต่กลับเป็นพ่อค้าคนอื่นที่กำลังจะมาตั้งแผงตรงที่ประจำของหลินม่าย

เหลียนเฉียวจึงรีบวางชามแล้วตามเจ้านายของเธอไป

เจ้าของร้านที่กำลังจะตั้งแผงพอเห็นเฉินเฟิงก็โค้งให้ด้วยความเกรงใจ

เฉินเฟิงพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ห้ามตั้งแผงตรงนี้”

พ่อค้าคนนั้นไม่กล้าแม้แต่จะถามเหตุผลอะไร รีบเก็บของย้ายที่ไปทันที

สีหน้าของเฉินเฟิงอ่อนลงเมื่อเห็นแบบนั้น จากนั้นก็เดินกลับไปที่ร้านของกินเล่นที่เดิมเพื่อดื่มกุ้ยฮวาหูแสนหอมหวานของตัวเองต่อ

ชายหนุ่มจัดการกุ้ยฮวาหูหมดไปเจ็ดหรือแปดถ้วยติดต่อกันไปแบบแทบไม่รู้ตัว จนต้องไปเข้าห้องน้ำอยู่หลายรอบ และในที่สุดหลินม่ายก็มาถึง

รอยยิ้มที่มุมปากถูกจุดขึ้นบนใบหน้าแสนเย็นชาของเขาอย่างง่ายดาย ร่างสูงลุกขึ้นยืนแล้วตรงไปที่หญิงสาว

คู่สามีภรรยาที่ขายกุ้ยฮวาหูถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เห็นว่าเขาจากไปเสียที

ถ้าลูกพี่เฉินยังอยู่ตรงนี้มีหวังได้ล้มละลายกันพอดี

หลินม่ายและหลี่หมิงเฉิงตั้งแผงขายเสื้อผ้าอย่างเรียบร้อยไม่นานนัก เสี่ยวม่านก็ขี่จักรยานเข้ามาทักทายทั้งคู่ด้วยรอยยิ้ม

หลินม่ายรู้สึกประหลาดใจที่เจอหล่อน “คิดว่าจะไม่มาแล้ว เห็นเมื่อวานเธอไม่ได้มาก็คิดว่าจะเลิกมาขายซะอีก”

เสี่ยวม่านลงจากจักรยานแล้วเริ่มตั้งแผงของตัวเอง “จะให้เลิกได้ไง ถึงครอบครัวจะไม่อยากให้ฉันทำ แต่อยู่เฉย ๆ มันน่าเบื่อจะตายไป”

เมื่อเห็นว่าเฉินเฟิงกำลังเดินเข้ามา หลี่หมิงเฉิงก็รีบทักทายอย่างรวดเร็วด้วยท่าทางนอบน้อม

เฉินเฟิงพยักหน้าตอบอย่างไว้ตัว แล้วเริ่มมาสนใจหลินม่ายแทน “ทำไมวันนี้มาช้าจัง”

หลินม่ายคิดจะขอความช่วยเหลือจากเขาเลยรีบบอกไปว่า “พอดีที่ร้านมีเรื่องนิดหน่อยเลยมาสาย”

เฉินเฟิงได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมา “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ให้ฉันช่วยไหม”

หลินม่ายก็รีบเล่าเรื่องทั้งหมดอย่างละเอียด

ใบหน้าของเฉินเฟิงมืดครึ้มขึ้นทันทีที่ฟังจบ “ใครมันกล้าเข้าไปสร้างปัญหาให้เธอถึงในร้านแบบนั้น?”

ไม่ใช่ว่าในตอนนั้นหลินม่ายไม่คิดจะอ้างชื่อของเฉินเฟิง แต่เพราะเธอไม่รู้ว่าพวกมันเป็นใคร กลัวว่าการบอกชื่อเฉินเฟิงไปจะยิ่งทำให้พวกมันโกรธและกลายเป็นเรื่องยุ่งกว่าเดิม

เธอพูดด้วยท่าทางกังวลใจ “ฉันไม่กล้าพูดถึงคุณ เพราะรู้สึกว่าไอ้พวกนั้นไม่ใช่พวกที่จะต่อกรด้วยง่าย ๆ “

ลูกพี่ใหญ่ฟังอยู่ก็สูดหายใจเข้าออกอย่างเย็นชา “ฉันจะไปจัดการมันเอง อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันจะแน่ซักแค่ไหนเชียว”

เขาสั่งให้ลูกน้องสองคนดูความเรียบร้อยอยู่ที่ถนนเจียงฮั่นแล้วพาเหลียนเฉียวกับกลุ่มลูกน้องหลายคนไปที่ร้านอาหารของหลินม่าย

หลินม่ายรีบฝากให้หลี่หมิงเฉิงดูร้านต่อ บอกให้เขาขายเสื้อผ้าของฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม่ร่วงตัวละ 25 หยวน ส่วนเสื้อผ้าฤดูร้อนให้ขาย 15 หยวน แบบไม่ให้ต่อราคา

ก่อนที่จะรีบตามเฉินเฟิงกลับไปที่ร้าน

ไม่มีใครที่เธอจะพึ่งพาได้นอกจากจะให้เขาช่วยออกหน้าให้

อันธพาลกลุ่มนั้นยังคงอยู่ที่ร้าน พวกนั้นยึดที่นั่งเอาไว้ทั้งหมด พากันกินอาหารและพูดคุยกันเสียงดัง

“บัดซบ! นี่พวกเอ็งมาก่อเรื่องไม่พอยังจะกล้ามากินของในร้านสบายใจเฉิบอีกเหรอวะ” เฉินเฟิงตรงเข้าไปเตะเก้าอี้ที่อันธพาลพวกนั้นนั่งอยู่

เจ้านั่นล้มลงทันที พอลุกขึ้นได้ก็ตรงเข้ามาจะตอบโต้เฉินเฟิง “กล้ามากนะที่มาเตะเก้าอี้ของข้า”

แต่ยังไม่ทันที่เจ้าพวกนั้นจะเข้าถึงตัวก็กลับถูกเฉินเฟิงเตะจนกระเด็นไปไกล “พวกเอ็งต่างหากที่กล้ามาก มาก่อเรื่องในถิ่นฉัน เตะแค่นี้ยังถือว่าเบา ๆ ทำกร่างมากจะเอาให้ตาย”

อันธพาลคนนั้นรีบลุกขึ้นอีกครั้ง กำลังจะตรงเข้ามาเอาคืนเฉินเฟิงอีก แต่พรรคพวกของมันหลายคนเริ่มจำได้ว่าเฉินเฟิงคือใครก็เริ่มหน้าซีดเป็นไก่ต้ม

ทั้งหมดรีบพากันหันไปห้ามเพื่อนของตัวเองไว้ “อยากตายหรือไงวะ นั่นมันพี่เฟิง”

พอคนก่อเรื่องได้ยินแบบนั้นก็ตกใจจนหน้าซีด เอ่ยละล่ำละลักอย่างหวาดกลัว “เฟิง…พี่เฟิง…ผม…ไม่รู้ว่าร้านเล็ก ๆ นี่ก็อยู่ในความดูแลของพี่ พี่เฟิง…อย่าโกรธพวกผมเลยนะ” จบคำพูดก็พากันรีบถอย เตรียมจะหนีไปจากร้าน

แต่กลับถูกเฉินเฟิงลากคอกลับมาก่อน “ใครบอกให้เอ็งไป?”

คนที่ถูกลากคอกลับมาเงยหน้ามองเฉินเฟิงด้วยความหวาดกลัว

“บอกมา! ใครใช้ให้เอ็งมาที่นี่”

เพราะความกลัวทำให้อันธพาลนั่นรีบบอกในทันที “เฮ่อเชิ่งสั่งมาครับ”

 เฉินเฟิงปล่อยมือจากเจ้ากระจอกนั่น

เหล่าอันธพาลรวมตัวกันอยู่มุมหนึ่งและเอ่ยถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ว่า “พี่..พี่เฟิงครับ พวกเรา…ไปได้หรือยังครับ”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

พี่เฟิงมาดพระรองสุด รู้ว่าเขาไม่มีใจให้ก็ยังปกป้องเขาอย่างถึงที่สุด

เฮ่อเชิ่งแกเสร็จแน่

ไหหม่า(海馬)