บทที่ 205 เรียนต่อ

บทที่ 205 เรียนต่อ

ดูเหมือนชั่วพริบตาเดียว เทศกาลเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างก็มาถึง

เป็นเวลาสามปีแล้วที่ซูเสี่ยวเถียนฝึกเป็นนักบัญชี

ครั้นเดินผ่านแม่น้ำสายเล็กที่เธอเคยตกลงไปในปีนั้น ใบหน้าของซูเสี่ยวเถียนกลับประดับไปด้วยรอยยิ้ม

เพราะการตกน้ำไปในคราวนั้น ทุกสิ่งอย่างจึงแตกต่างไปจากเดิม

ช่วงเวลานี้ในชาติที่แล้ว ชีวิตของครอบครัวเธอเป็นอย่างไรนะ?

น่าจะเป็นครอบคัวที่ยากจนที่สุดใช่ไหม? อดอยากมาก!

แต่ตอนนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว

ถึงจะไม่ได้กินข้าวขาวกับแป้งสาลีทุกมื้อ แต่รับประกันได้ว่าต้องมีหนึ่งมื้อในทุก ๆ วัน

ไม่ต้องเศร้าโศกอีกว่ากินมื้อนี้แล้ว มื้อต่อไปจะทำอย่างไร!

ปีที่แล้ว ครอบครัวของเธอซื้อของมามากมาย จักรยานสองคัน วิทยุหนึ่งเครื่อง จักรเย็บผ้าหนึ่งคัน…

นับว่าเป็นครอบครัวร่ำรวยที่มีชื่อเสียงขจรขจาย

ซูเสี่ยวเถียนที่แสนมั่งคั่งไม่คิดเลยว่าจะทำความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้ แค่คิดว่าบ้านเราจะปลอดภัยและมีความสุขก็เท่านั้น!

มันไม่ง่ายเลยที่จะใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยอาหารและเสื้อผ้าในสถานการณ์ที่พิเศษเช่นนี้

อันที่จริงไม่ใช่แค่ตระกูลหลักซูเท่านั้น

แต่ชีวิตของคนในหงซินก็ดีขึ้นเช่นกัน

มีฟาร์มไก่และฟาร์มหมูเป็นรากฐาน พวกสมาชิกไม่ใช่แค่ได้รับเงินแบ่งเล็กน้อยในช่วงสิ้นปี แต่ผู้คนยังมีวิสัยทัศน์และความสัมพันธ์ที่แตกต่างไปจากเดิมด้วย

พวกเขารู้ว่าถ้าจ่ายให้มากก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก แต่หลัก ๆ คือต้องให้ได้ตามเป้าหมาย

ไข่และเนื้อหมูเป็นสินค้าขายดี และเป็นที่ต้องการของหลายหน่วยงาน

ถึงของส่วนใหญ่ที่ผลิตจะต้องส่งมอบให้ แต่ก็ยังมีเหลืออยู่บ้าง

แค่นี้ก็พอให้หลายหน่วยงานแห่กันเข้ามาหาแล้ว

สองปีที่ผ่านมานั้น ไม่ใช่ว่าไม่มีชุมชนอื่นอยากเลียนแบบชุมชนหงซิน แต่ว่าพวกเขาทำไม่สำเร็จ

ทั้งผู้นำของชุมชนใหญ่ รวมถึงผู้นำของอำเภอยังคงให้การสนับสนุนพวกเขาเป็นอย่างมาก แต่ไม่รู้ทำไมพอให้เงินไปก็มีแค่หงซินที่ยืนหยัดได้อยู่

การพัฒนาที่เจริญรุ่งเรืองของโรงงานขนมไข่เป็นที่รู้กัน มันจึงทำให้ผู้คนส่วนมากเชื่อว่าการพัฒนาระยะยาวนี้ต้องพึ่งพาหงซินเท่านั้นจึงจะทำได้

ในทุ่งนาอันห่างไกล มีคนจำนวนมากกำลังก้มลงขุมทุ่ง และซูโส่วเวินก็อยู่ที่นั่นด้วย

“พี่ใหญ่ ๆ!” ซูเสี่ยวเถียนวิ่งไปในทุ่งและส่งเสียงตะโกนเรียกเสียงดังลั่น

สมาชิกโดยรอบเห็นแล้วกล่าวทักทายเธอ

เด็กคนนี้โตมาหน้าตาสละสลวย พูดจาน่าฟังและน่ารักไม่มีใครไม่ชอบหรอก

“อาเจ็ด อาแปด ย่าเก้า…” เสี่ยวเถียนยิ้มจนตาโค้งขึ้นเป็นพระจันทร์เสี้ยว

“เสี่ยวเถียน มาหาพี่ใหญ่เหรอ? เขาโตขนาดนี้แล้วนา กลัวเขาหายหรือยังไงกัน?”

“คิดแบบนี้ได้ไงเนี่ย? นักบัญชีน้อยของเราไม่หายหรอก… แต่จะถูกคนฉกไปต่างหาก!”

มีคนหนึ่งพูดแซวขึ้นมาเลยทำให้คนอื่นหัวเราะ

“อย่าว่างั้นงี้เลย ภายในสิบลี้แปดหมู่บ้านหมายตานักบัญชีตัวน้อยของเราอยู่นะ บ้านอื่นมีลูกสาวงาม แต่ของเรามีนักบัญชีหล่อ!”

ซูโส่วเวินชินชากับคำหยอกล้อของคนเหล่านี้แล้ว หากแต่ใบหน้าของเขาก็ยังขึ้นสีแดง ก่อนจะรีบรุดขึ้นหน้าไปหาน้องสาว

“น้องเล็กมาทำอะไรที่นี่? อากาศวันนี้ร้อนมาก น้องไม่ร้อนหรือ หื้อ?”

“ไม่ค่ะ ยังดีอยู่ พี่ใหญ่ ปู่ให้หนูมาตาม บอกว่าวันนี้ที่บ้านมีงานฉลองให้พี่กลับไปกินข้าวไวหน่อย!”

พอได้ยินเขาก็พยักหน้า “เข้าใจแล้ว งั้นเดี๋ยวให้น้องแปดน้องเก้ามาทำแทนแล้วกัน!”

ซูเสี่ยวเถียนส่ายหัว

“ไม่ได้ค่ะ พี่แปดพี่เก้ามัวแต่ยุ่งกับการอ่านหนังสืออยู่ ไม่มีเวลาหรอก!”

ช่วงสามปีมานี้ ภายใต้แรงกระตุ้นของเสี่ยวเถียนทำให้หลาน ๆ บ้านซูตั้งใจเรียนอย่างหนัก แม้แต่คนทั้งสองที่อายุน้อยสุดก็ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม

“อ่านหนังสือใช้เวลาไม่น้อยนะ เธอรีบกลับไปเถอะ เดี๋ยวอีกครู่ฉันก็กลับแล้ว”

“นักบัญชีตัวน้อย เธอรีบกลับไปเถอะ พอเธอกลับไปพวกเราจะได้ทำงานกันอืดอาดหน่อย!” ใครบางคนเอ่ยติดตลก

ซูโส่วเวินตอบรับด้วยรอยยิ้มละมุน

ก่อนหัวหน้าซูจะเดินเข้ามา “รีบกลับไปเถอะ พ่อแม่ของเธอแล้วก็พ่อรองต้องไปทำงานที่ฟาร์มต่อ ทุกคนจะได้พร้อมหน้ากันกินข้าวในช่วงเวลาเฉลิมฉลองไง!”

ซูโส่วเวินมองคนที่พลุกพล่านในทุ่ง ก่อนจะพยักหน้าในที่สุด จากนั้นจับมือน้องเล็กเดินกลับบ้าน

“บ้านหลักตระกูลซูเป็นบ้านที่มีควันเขียวผุดจากหลุมฝังศพบรรพบุรุษ*[1] นะ สองปีมานี้ชีวิตพวกเขารุ่งเรืองขึ้นไม่น้อย ดีขึ้นปีแล้วปีเล่า” หัวหน้าซูกล่าวด้วยความซาบซึ้ง

ซูซานที่อยู่ข้าง ๆ เฝ้ามองด้วยความอิจฉาริษยา

ชีวิตของครอบครัวพี่ชายเคยไม่ดีมาก่อน แต่ในช่วงสองปีที่ผ่านมามันพุ่งทะยานสูงขึ้น และดีกว่าครอบครัวของเขามาก

ไม่ใช่ชีวิตดีกว่าเท่านั้น แต่พอมองไปรอบ ๆ แล้วต้องบอกว่าในหงซินนั้น ไม่มีบ้านไหนที่สมาชิกในบ้านได้เป็นคนงานถึงสามคนในปีเดียว

นอกจากจะเป็นคนงานทั้งสามคนแล้ว ยังมีลูกชายอีกสองคนได้ทำงานในฟาร์มหมู สะใภ้คนหนึ่งทำงานฟาร์มไก่ นอกจากคนงานสามคนแล้ว ครอบครัวนี้ยังมีลูกชายสองคนที่ทำงานในฟาร์มหมูของกองพล และลูกสะใภ้ที่ทำงานในฟาร์มไก่ และเกี่ยวพันกับชุมชนใหญ่ด้วย

ช่างเป็นครอบครัวที่น่ายกย่องเสียนี่กระไร

ทำไมเขาถึงฟังคำพูดของภรรยาโง่เง่า แล้วความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวพี่ชายถึงกลายมาเป็นแบบนี้ด้วย

หากความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองยังดีอยู่ เขาจะไม่ได้รับประโยชน์ไปด้วยหรือ?

ซูโส่วเวินและซูเสี่ยวเถียนเดินกลับภายใต้แสงแดดสาดส่อง

น้องเล็กกระโดดโลดเต้นไปมา แต่หลีกเลี่ยงต้นไม้ใบหญ้าข้างทาง

ซูโส่วเวินมองน้องเล็กเถียนที่กำลังมีความสุข แววตาของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“พี่ใหญ่ ลาออกจากนักบัญชีแล้วไปเรียนต่อกัน!”

จู่ ๆ ซูเสี่ยวเถียนก็พูดประโยคดังกล่าวขึ้นมา ทำให้ซูโส่วเวินตกใจมากจนเกือบล้ม

“เสี่ยวเถียน น้องพูดอะไรน่ะ?”

เขาเป็นนักบัญชีก็ดีแล้ว ทำไมต้องลาออกด้วยล่ะ? เสี่ยวเถียนคนนี้ชอบคิดอะไรก็พูดออกมา!

“พี่ใหญ่ พี่ชอบเป็นนักบัญชีไหม?” เสี่ยวเถียนถามอย่างจริงจัง

ถึงงานนี้จะไม่ได้แย่ แต่อีกสองปีถัดไป จะมีนโยบายเหมารวมสมบัติภายในครัวเรือน*[2] ขึ้นมา ซึ่งหน้าที่นักบัญชีจะไม่มีความหมาย

แต่ถ้าพี่ใหญ่ชอบ ก็ใช่ว่าจะทำต่อไม่ได้

ซูโส่วเวินส่ายหัว “ไม่นับว่าชอบหรอก แต่เป็นนักบัญชีแล้วดีมากเลยนะ มีแต่คนเคารพ!”

ซูเสี่ยวเถียนยิ้ม “พี่ใหญ่ เขาไม่ได้เคารพพี่ เขาเคารพตำแหน่งของพี่ต่างหาก!”

ซูโส่วเวินคลี่ยิ้มกว้าง “พี่จะไม่รู้ได้ไงล่ะ? แต่พี่เป็นนักบัญชีนะ ไม่ว่าจะเคารพพี่หรือเคารพตำแหน่งจะไปเหมือนกันได้ยังไง?”

“พี่ใหญ่ มันไม่เหมือนกันอยู่แล้วค่ะ” ซูเสี่ยวเถียนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ถ้าพี่มีความสามารถในการจัดการด้วยตัวเอง จากนี้ไปจะมีคนเคารพในตัวพี่อย่างแท้จริง ยิ่งกว่านั้นคือไม่ได้เคารพแต่ตำแหน่งของพี่ด้วย”

สิ้นประโยคของน้องสาว โส่วเวินก็นิ่งงันไป จะมีวันนั้นไหม?

อาจจะ?

เสี่ยวเถียนบอกเสมอว่าความรู้เปลี่ยนโชคชะตา!

และที่เสี่ยวเถียนหมายถึงคือ อยากให้เขากลับไปเรียนต่อหรือ?

“เธออยากให้พี่ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยกรรมกร ฯ หรือ?” ซูโส่วเวินถามอย่างไม่มั่นใจ

นอกจากนี้ เขาคิดไม่ออกด้วยว่ามีเหตุผลอะไรที่ให้เขาลาออกจากการเป็นนักบัญชี

*[1] หมายถึง ผู้มีความดีความชอบหรือเป็นขุนนางใหญ่ แต่ก็เป็นเรื่องให้ถูกว่าร้ายถากถาง (มีข้อครหาไม่น่าเชื่อถือ)

*[2] เป็นนโยบายทางการเกษตรที่ประกาศใช้ในปี ค.ศ. 1981 เป็นก้าวสำคัญหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน