บทที่ 206 นักบัญชีตัวน้อยต้องลาออก

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 206 นักบัญชีตัวน้อยต้องลาออก

บทที่ 206 นักบัญชีตัวน้อยต้องลาออก

เขารู้ชัดอยู่แล้วว่าการเป็นนักบัญชีมันดีมาก ดั่งที่คนอื่นว่าเลยว่า งานเขามันง่ายกว่างานอื่นมาก และมันก็รุ่งด้วย

งานแบบนี้คนอื่นขอไปก็ขอไปไม่ได้หรอก!

“พี่ใหญ่ พี่ไม่คิดหรือว่านอกจากมหาวิทยาลัยกรรมกรฯ แล้ว พี่ยังสามารถไปเรียนที่มหาวิทยาลัยที่แท้จริงได้แล้วนะ!” ซูเสี่ยวเถียนยั้งถาม

ซูโส่วเวินตกตะลึง มหาวิทยาลัยจริง ๆ เลยงั้นหรือ? ต่างหากมหาวิทยาลัยกรรมกรฯ ไหม?

“มีความแตกต่างซี่!” ดูเหมือนว่าซูเสี่ยวเถียนจะเดาความคิดของซูโส่วเวินได้ “มีหลายคนที่ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยกรรมกรฯ แต่ไม่สามารถเขียนหนังสือได้นะ พวกเขาไม่ได้รู้อะไรเยอะเลยตอนที่ไปเรียนที่นั่น แต่มหาวิทยาลัยที่แท้จริงเนี่ย ถ้าพี่มีผลการเรียนดี ถึงจะไปเรียนที่นั่นได้!”

ในยุคนี้ มหาวิทยาลัยกรรมกร ชาวนาและทหารจะต้องได้รับการแนะนำถึงจะไปเรียนได้ ส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กันเป็นครอบครัว แม้แต่ชื่อยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ และการไปมหาวิทยาลัยก็เป็นการเสียเวลา

ซูโส่วเวินอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของซูเสี่ยวเถียน

เด็กน้อยคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่?

กี่ปีแล้วที่มหาวิทยาลัยไม่รับนักศึกษา?

ตอนนี้ยังคิดเข้ามหาวิทยาลัยอยู่อีก มันจะเป็นไปได้อย่างไร?

เขาอยากไปมหาวิทยาลัยกรรมกรฯ จริง ๆ และตลอดสองปีมานี้ก็ขบคิดเรื่องนี้ ทั้งยังคิดตั้งใจทำงานด้วย หลังจากนั้นก็เข้ามหาวิทยาลัยแห่งนี้

แต่เสี่ยวเถียนบอกว่าช่วงเวลาไม่เหมาะ แล้วเอาแต่ขวางไม่ให้เขาเป็นนักศึกษาในที่แห่งนี้

เขาไม่เข้าใจ เมื่อไรจึงจะเป็นเวลาที่เหมาะสมล่ะ?

แล้วตอนนี้เด็กคนนี้ยังพูดอะไรอย่างการให้ไปมหาวิทยาลัยนั่นอีก…

เดี๋ยวก่อน ๆ ตั้งแต่เมื่อไรที่เสี่ยวเถียนพูดอย่างทำอย่าง

จู่ ๆ ก็บอกให้เขาลาออกจากนักบัญชี เรื่องที่พูดมาจะต้องมีเหตุผลสิ

แต่ไม่รู้ทำไมเธอมักจะรู้ในข่าวคราวที่คนอื่นไม่รู้ หรือครั้งนี้เธอจะรู้อะไรบางอย่างด้วย

“เสี่ยวเถียน? น้องไปได้ยินข่าวอะไรมา?” น้ำเสียงของซูโส่วเวินสั่นเครือเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น

ถูกต้อง ต้องเป็นแบบนี้แน่ เสี่ยวเถียนมีความสามารถมากและต้องเคยได้ยินข่าวอะไรมาแน่ ๆ

ซูเสี่ยวเถียนมองไปรอบ ๆ และหลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ก็ลดเสียงเบาลงมา “เมื่อไม่กี่วันก่อนที่หนูไปอำเภอมา ได้ยินเขาบอกว่า ผู้นำเบื้องบนกำลังเตรียมจัดการประชุมการอภิปราย อาจจะใช้เวลาเป็นเดือนจึงจะอภิปรายเสร็จ”

ในความทรงจำของเธอ การประชุมในครั้งนี้จัดการอภิปรายเกี่ยวกับการรับนักศึกษาเข้ามหาวิทยาลัย แต่เธอไม่รู้เวลาที่แน่นอน แต่เธอเดาว่าน่าจะเป็นช่วงเวลานี้

“จริงหรือ? จากนี้ไปถ้าจะเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่ต้องได้รับการแนะนำแล้วสิ? แต่ใช้การสอบเข้าแทน?”

ซูเสี่ยวเถียนส่ายหัว “ไม่แน่ใจค่ะ อาจจะเป็นแบบนั้น”

ให้ตายเธอก็พูดออกไปไม่ได้

ถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้นจะทำอย่างไร?

“เสี่ยวเถียน ถ้าเป็นเรื่องจริง งั้นพี่จะไปเรียน!” ซูโส่วเวินยอมไม่ได้เช่นกัน

ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ด้วยแรงอิทธิพลของฉือเก๋อ ตู้ถงเหอ และเสิ่นจื่อเจิน ทำให้ช่วงไม่กี่ปีมานี้เด็กหนุ่มมีความฝันที่จะเรียนเข้ามหาวิทยาลัยอีกด้วย

ตอนที่ทั้งสองกลับบ้านมาและตัดสินใจเรื่องนี้ แม้คนที่บ้านจะประหลาดใจ แต่ก็ไม่แปลกไปจากที่คิดไว้นัก

“คุณปู่ คุณย่า พ่อ แม่ มีความคิดยังไงกับความคิดนี้ครับ?” ซูโส่วเวินถามอย่างไม่แน่ใจเพราะกลัวว่าผู้อาวุโสในครอบครัวจะโกรธ

คุณปู่ซูหยิบยาเส้นขึ้นมาสูบ “ไม่มีอะไรหรอก ทำในสิ่งที่หลานต้องการเถอะ!”

ตอนคุณปู่ซูพูด เขามองซูเสี่ยวเถียนเป็นพิเศษ ต้องเป็นความคิดของสาวน้อยคนนี้

แน่ ๆ

ถึงอย่างนั้น ไม่ว่าเด็กคนนี้จะพูดอะไร มันจะต้องเป็นผลดีต่อบ้านเราอย่างแน่นอน

ซูเสี่ยวเถียนแลบลิ้นใส่คุณปู่ซู ท่าทางของเด็กหญิงตัวเล็กน่ารักสุดจะพรรณนาออกมาเป็นคำพูด

“โส่วเวินเอ้ย หลานก็อายุขนาดนี้แล้ว สองวันก่อนก็มีคนมาแนะนำคู่ครองให้หลานรู้จัก ทำไมถึงยังอยากไปเรียนอีก” แต่คุณย่าซูกลับมีความเห็นอื่น

ไม่สำคัญว่าจะเป็นนักบัญชีหรือไม่ ที่สำคัญคือทำไมหลานชายถึงอยากไปเรียน?

ถ้าไปเรียนแล้ว เมื่อไรว่าที่สะใภ้จะมีลูกเล่า เธออยากอุ้มเหลนนะ

“คุณย่าครับ ผมเพิ่งสิบแปดเอง ทำไมพูดเรื่องภรรยาแล้วล่ะ? ผมยังอยากไปเรียนหนังสืออยู่นะ!” ซูโส่วเวินรีบกล่าว

ถ้าจะบอกให้เขามีภรรยาจริง ๆ ชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว

คุณปู่ซูพูดขึ้น “หลานอยากเรียนก็เรียนไปเถอะ บ้านเราไม่ต้องอาศัยเด็กทำงานเก็บแต้มทำงานแล้ว”

ถูกต้อง ครอบครัวเราไม่ได้แนะนำให้โส่วเวินทำงานเก็บแต้มทำงานแล้ว ที่จริงแค่มีคนสามคนไปทำงานอยู่ในเมือง คะแนนทำงานจะไปน้อยกว่าคนในบ้านได้อย่างไร

“เอาเถอะ ไปก็ไป เริ่มเสียใจแล้วสินะที่ไม่ได้ไปเรียนมัธยมปลายเนี่ย” ซูเหล่าต้ายิ้มจริงใจ “ชีวิตนี้ต้องเสียเปรียบเพราะไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่งั้นได้เป็นคนงานเหมือนเหล่าซานแล้ว!”

ตอนแรกก็พูดดิบดีว่าจะเรียนด้วยกัน แต่ไม่ได้สนใจเหมือนเหล่าซานนัก

หวังเซียงฮวาไม่คัดค้านการตัดสินใจของลูกชาย ทั้งยังเห็นอีกว่าพ่อสามีและตัวสามีเองก็เห็นด้วย

เรื่องที่คุณย่าซูอยากจะกอดเหลนก็เรื่องหนึ่ง มันทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วหากหลานชายไม่เห็นด้วย

หญิงชราทำได้เพียงยอมรับอย่างตรงไปตรงมา ช่างเถิด พวกลูกหลานมีแต่วาสนา อยากเรียนก็เรียน!

หลังจากเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง สมาชิกหงซินได้ยินว่าโส่วเวินจะไปเรียนต่อ และจะไม่เป็นนักบัญชีอีกต่อไปแล้ว

พอซูฉางจิ่วทราบข่าวก็ตกใจมาก ก่อนหน้านี้ยังดี ๆ อยู่เลย ทำไมจู่ ๆ ถึงตัดสินใจไม่เป็นนักบัญชีแล้วล่ะ?

แล้วตอนนี้เขาจะไปหานักบัญชีมาได้จากที่ไหนเนี่ย?

“เจ้าหนุ่ม นายลองคิดใหม่อีกครั้งดีไหม?”

“หัวหน้าซู ผมไตร่ตรองมาดีแล้วครับว่าอยากเรียนหนังสือ แต่ถ้าไม่ไปเรียน ย่าจะหาภรรยามาให้ผมแต่ง ทำไมจะใช้เวลาหนึ่งปีไปกับการเรียนมัธยมปลายไม่ได้ล่ะครับ?”

ซูโส่วเวินคิดถึงสิ่งที่ซูเสี่ยวเถียนพูด หากแต่พูดอะไรมากไม่ได้เลยพูดติดตลกแทน

พอซูฉางจิ่วได้ยินก็คิดว่าเด็กคนนี้ไม่ได้มีความซื่อตรงเสียเลย!

แต่คนเรามีความทะเยอทะยาน บีบบังคับก็ไม่ดี สุดท้ายก็ได้แต่เห็นด้วย

แต่ซูโส่วเวินยังถูกขอให้ใช้เวลาหลังเลิกเรียนเพื่อช่วยทำบัญชีก่อน แล้วจะส่งมอบงานให้คนใหม่หากเจอคนที่เหมาะสมแล้ว

“ไอ้หนูเอ้ย ไม่ได้เป็นนักบัญชีแล้วจะไปทำอะไรล่ะ?” มีชายชราอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย

“ใช่แล้ว ๆ หน้าที่นักบัญชีค่อนข้างดีนะ ง่ายกว่างานอื่นด้วย!” แม้แต่ซูซานก็อดไม่ได้ที่จะคัดค้านการตัดสินใจของหลานชาย

แม้ว่าเขาจะอิจฉาที่ครอบครัวของพี่ชายมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ถ้าซูโส่วเวินไม่ใช่นักบัญชีแล้ว เขาก็คงจะเสียหน้าเล็กน้อยในฐานะปู่รองนะ

“หลังจากทำงานบัญชีมาได้สองปี ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ได้มานั้นน้อยเกินไป เลยวางแผนจะกลับไปเรียนหนังสือครับ”

คนในชุมชนเห็นว่าเขาตัดสินใจแล้วจึงไม่พูดอะไรอีก แต่ละคนเริ่มคิดว่าถ้าเขาไม่ได้เป็นนักบัญชีแล้วใครจะได้ตำแหน่งนี้ไปล่ะ?

ยังมีคนใจเด็ดบางคนที่เริ่มให้ลูกชายหรือลูกสาวลองดูว่าจะได้ตำแหน่งนักบัญชีไปหรือไม่

มีเพียงซูซานเท่านั้นที่คิดว่า พี่ใหญ่โง่จริง ๆ ไม่แปลกใจเลยที่ยายเฒ่าที่บ้านเอาแต่พูดว่าคนบ้านนี้มันโง่ พวกเด็ก ๆ เอาแต่เที่ยวเตร่ไปวัน ๆ ไม่ทำอะไร!

ตอนนี้ก็เป็นแบบนั้นอยู่นะ?

กลับไปต้องไปคุยกับพี่แล้ว!

ตอนนี้ซูซานลืมไปเสียสนิทว่า เป็นเรื่องจริงที่หลาน ๆ บ้านซูเอาแต่เที่ยวเล่น ทว่าพวกเขามีชีวิตที่ดีมากนะ!

ซูโส่วเวินที่ลาออกแล้วกำลังกลับบ้านไม่ได้ยินข่าวคราวใด ๆ จากข้างนอกเลย เลยสงสัยว่าซูเสี่ยวเถียนได้ยินผิดหรือเปล่า!

“เสี่ยวเถียน สองปีมานี้โรงเรียนเป็นยังไงใครก็รู้ ถ้าไปเรียนตอนนี้ก็กลัวว่าจะไม่ได้เรียนอะไร สู้ให้พี่เรียนเอาเองที่บ้านดีกว่า” หลังจากที่ซูโส่วเวินไปโรงเรียนในอำเภอ พอกลับถึงบ้านก็ตัดสินใจที่จะไม่ไปโรงเรียน