บทที่ 207 เสี่ยวเหมยอยากเรียนต่อ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 207 เสี่ยวเหมยอยากเรียนต่อ

บทที่ 207 เสี่ยวเหมยอยากเรียนต่อ

หัวใจของซูเสี่ยวเถียนรู้เรื่องนี้อย่างชัดเจน

เหล่าพี่ชายของเธอเป็นคนที่มีระเบียบวินัยในตนเองมาก สองปีที่ผ่านมาพวกเขาอ่านหนังสือเยอะมากเวลาอยู่บ้าน

อาจกล่าวได้ว่าความรู้ความชำนาญของพวกเขาสูงกว่าคนอื่นในวัยเดียวกันมาก

แต่การเรียนที่บ้าน แม้ความรู้จะกว้างขวาง แต่ขาดการเรียนอย่างเป็นระบบ

บางเนื้อหาต้องไปโรงเรียนเพื่อไปรับการเรียนแบบระบบการสอน!

“พี่ใหญ่ พาพี่รองกับพี่สามไปเรียนด้วยที่บ้านก่อน เดี๋ยวผ่านไปสักระยะหลังจากที่ข่าวแพร่ออกไป โรงเรียนน่าจะดีขึ้นเยอะแล้ว”

เป็นเวลาหลายปีที่หลายคนใฝ่ฝันอยากจะกลับไปเรียนหนังสือ

หลังจากได้รับโอกาสมา เธอเชื่อว่าไม่มีใครยอมทิ้งอนาคตที่ได้มาไว้ในมือแล้วสร้างปัญหาต่อไปหรอก

รู้เลยว่าหลังจากที่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยเริ่มขึ้นใหม่ จะมียุวชนจำนวนมากยอมทิ้งลูกทิ้งภรรยาเพื่อโอกาสที่ตนจะได้กลับเมือง!

ไม่ใช่ว่าได้สำเร็จการเป็นนักศึกษาก่อนแล้วค่อยกลับหรือ?

พอถึงเวลานั้นบรรยากาศการเรียนภายในโรงเรียนจะดีขึ้น

ซูเสี่ยวเถียนเตรียมการสำหรับเรื่องนี้มาตั้งแต่วันส่งท้ายปีเก่า

จากความทรงจำในชีวิตที่แล้ว ทำให้เธอเริ่มเตรียมตัวมาตั้งแต่เนิ่น ๆ

ช่วงนี้เข้าไปในอำเภออยู่บ่อยครั้ง แล้วทุกครั้งที่กลับมายังหิ้วหนังสือกลับมาด้วย

เธอวานอาเขยจื่ออันให้ช่วยเป็นพิเศษด้วยการซื้อหนังสือเรียนจากร้านหนังสือซินหวามาสามชุด

ทั้งยังซื้อพวกสื่อทบทวนและกระดาษข้อสอบมาจากสถานีรีไซเคิลด้วย ซึ่งแบบฝึกหัดพร้อมคำตอบพวกนี้เป็นสิ่งที่เธอเลือกมาด้วยตัวเองอย่างดี ทั้งยังตรงตามเป้าหมายมาก

แล้วทำไมซูเสี่ยวเถียนถึงรู้น่ะหรือ?

แน่นอนว่าระบบบอกเธอไง

เธอเคยคิดว่าหนังสือที่หาได้ในระบบนั้นเป็นแบบสุ่ม แต่มารู้ในภายหลังว่าไม่ใช่

หนังสือที่เธอหยิบออกมาจากห้องสมุดระบบจะพร้อมให้ใช้งานในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน

อย่างเช่น ตอนที่เธอวางแผนจะทำฟาร์มไก่ เธอก็หาหนังสือเกี่ยวกับการเลี้ยงไก่มาหลายเล่ม

ต่อมาพอเธอพัฒนาฟาร์มหมู เธอก็อ่านหนังสือเกี่ยวกับการเลี้ยงหมูอย่างจริงจังอยู่หลายวัน

ในช่วงหลัง ๆ มานี้ เธอพบว่าตัวเองหาหนังสือที่เกี่ยวกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีนี้เยอะมาก

สิ่งที่ทำให้เธอเสียใจที่สุดคือ เธอไม่สามารถเอาหนังสือพวกนั้นออกจากระบบห้องสมุดได้ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ต้องเปลืองแรงไปตามหาหรอก

เป็นไปอย่างที่คิดไว้ ซูเสี่ยวเถียนคัดเลือกหนังสือตามที่เห็น และเธอมีเหตุผลที่จะเชื่อว่าเนื้อหาเหล่านั้นเป็นความรู้ที่สามารถใช้ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ในอีกไม่กี่เดือน

ครั้งนี้คนที่ต้องเข้าสอบอย่างไม่เต็มใจคือ พี่ใหญ่ พี่รอง และพี่สาม รวมเป็นสามคน และเสี่ยวเถียนก็เตรียมพร้อมให้พอกับพวกเขา

เธอจำได้การสอบในครั้งนี้เป็นช่วงปลายปี น่าจะช่วงฤดูหนาว เพราะตอนนี้ก็เดือนหกแล้ว

เธอวางแผนวางที่จะรอให้ถึงช่วงสอบปลายภาคเดือนหก จะให้พี่ชายที่เหลือเข้าร่วมการสอบเข้ามัธยมศึกษาตอนปลายปีที่หนึ่ง

ด้วยวิธีนี้ รอกระทั่งเดือนเก้า พวกพี่ ๆ ก็จะสามารถเรียนต่อมัธยมศึกษาตอนปลายปีที่สองได้เลย

ข้อเสนอของซูเสี่ยวเถียนได้รับการยอมรับอย่างเป็นเอกฉันท์จากคนอื่น ๆ ในครอบครัวแล้ว

คุณปู่ซูนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในลานบ้าน ก่อนจะเคาะกล่องยาสูบ “ถ้าลูกหลานบ้านเราอยากเรียนก็ให้เรียนเถอะ ฉันได้ยินคนเขาพูดกันว่าครูในอำเภอสอนดีมากเลยนะ!”

ซูเหล่าต้าไม่เห็นด้วย เขาส่ายหน้า “ตอนที่ผมไปอำเภอ ได้ยินคนพูดว่าเด็กในเมืองนั้นรังแกครูกันอย่างรุนแรง บางคนโดนบังคับให้ล้างห้องน้ำด้วย บางคนก็โดนทรมาน แล้วก็มีบางคนที่ทนโดนรังแกไม่ไหว และไม่ไปโรงเรียนอีกแล้ว!”

ซูเสี่ยวเถียนกล่าว “พ่อใหญ่ เรื่องที่พ่อว่ามันก็มี แต่ตอนนี้บรรยากาศมันไม่เหมือนเดิมแล้ว ไม่แน่ว่าอีกสองเดือนอาจจะดีขึ้นก็ได้นะ!”

พอถึงเดือนแปดเดือนเก้า จะมีพวกรอบรู้น่าจะได้ยินข่าวคราวบ้าง พอถึงตอนนั้นคงเลี่ยงให้ไม่มีชั้นเรียนไม่ได้หรอก

และครูในช่วงเวลานั้นก็ต้องมีการเรียนการสอนเป็นการตอบแทน

“มันก็มีเหตุผลอยู่ แต่ให้เด็ก ๆ ไปที่ไกลแบบนั้นมันไม่สบายใจน่ะสิ!” คุณย่าซูพูดอย่างเป็นห่วง

เธอไม่ได้สนใจหรอกว่าจะเรียนดีหรือเปล่า แต่กังวลว่าเด็ก ๆ ที่ไปอยู่ในเมืองจะกินไม่อิ่มนอนไม่หลับน่ะซี่

“อยู่บ้านเหล่าซานไปสิ ไม่นานเท่าไรแค่ครึ่งปีเอง เธอกลัวว่าเหล่าซานกับสะใภ้สามไม่เห็นด้วยหรือไง?” คุณปู่ซูพูดอย่างมั่นใจ

ถึงเงินที่ตอนนี้พวกลูกชายได้รับจะแยกกัน แต่พวกเขายังมีความสัมพันธ์อันดีกันอยู่ มีใครบ้างในชุมชนที่ไม่อิจฉาพวกเราล่ะ?

หลังจากจัดการเรื่องนี้แล้ว เหล่าต้ากับเหล่าเอ้อร์ก็ออกไปทำงาน ส่วนเด็ก ๆ ไปอาบน้ำที่ลำธาร เหลือแค่เสี่ยวเถียนกับคนสูงวัยอีกสองคน

“เสี่ยวเถียน หลานว่าให้พวกพี่ ๆ อยู่บ้านหลานแล้วเรียนหนังสือดีไหม?”คุณย่าซูถามด้วยรอยยิ้ม

ถึงตาเฒ่าจะมั่นใจแต่เธอก็ยังกังวลอยู่ กลัวคู่เหล่าซานจะไม่มีความสุขจนเกิดความขัดแย้งขึ้นไม่ใช่เรื่องดีหรอก

ซูเสี่ยวเถียนตอบรับ “คุณย่า ไม่ต้องกังวลไปนะ พ่อแม่หนูเป็นคนยังไงย่าก็รู้นี่นา?”

พอแกขบคิดก็จริงอย่างที่ว่า เธอคิดมากไปเอง ก่อนจะอดหัวเราะไม่ได้ ทำไมยิ่งแก่ยิ่งคิดเยอะแบบนี้นะ?

“หลานพูดถูกเลย!” คุณย่าซูยังหัวเราะเยาะตัวเองที่คิดมาก เธอนี่ไม่ต่างจากเด็กเลย

คุณปู่ซูมองคุณย่าซูด้วยสายตาโกรธ ๆ “ยายเฒ่า ใจลอยคิดอะไรอยู่น่ะ?”

ซูเสี่ยวเถียนที่ยืนอยู่หลังปู่และกำลังบีบหลังกับทุบไหล่ให้เอ่ยขึ้น “คุณปู่คิดถูกแล้วค่ะ ย่าแค่คิดเยอะไป พ่อแม่หนูจะไม่รู้ได้ยังไงว่าโรงเรียนที่ชนบทเราไม่ดีน่ะ? แค่บอกว่าให้พวกพี่ ๆ ไปเรียน พ่อแม่ก็ต้องยอมรับอยู่แล้ว!”

“ยังคงเป็นหลานรักย่าอยู่ดีที่คิดรอบคอบ หลานนั่งพักได้แล้ว ไม่ต้องทำให้ปู่หรอก”

“ไหล่ของปู่แข็งนะ มือหลานจะเจ็บเอา!” คุณปู่ซูพูดอย่างร่าเริง

ตอนที่เสี่ยวเถียนทุบหลังให้ชายชรา สีหน้าปู่ดูภาคภูมิใจอย่างสุดจะพรรณนา แต่ก็ยังกังวลถึงมืออันบอบบางของหลานสาวอยู่ดี

พอเห็นสีหน้าเช่นนั้น คุณย่าซูก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมอง

อายุตั้งเท่าไรแล้ว ทำไมทำเหมือนเด็ก ๆ แบบนั้น

ขณะที่พวกเขากำลังนั่งคุยใต้ต้นไม้ เถาฮวาก็เดินเข้ามา

สองปีมานี้ จิตวิญญาณของซูเถาฮวาดีขึ้นไม่น้อย และเธอดูอ่อนกว่าวัยมาก

“คุณลุง คุณป้า คุยอะไรกันอยู่คะ? ทำไมมีความสุขขนาดนี้” ซูเถาฮวามองไปที่รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้เฒ่าทั้งสองแล้วถามอย่างสงสัย

“ป้าเถาฮวามาแล้ว! นั่งลงเร็วค่ะ ๆ!” ซูเสี่ยวเถียนรีบเดินไปพร้อมกับเก้าอี้ตัวเล็ก

ผู้เป็นป้าลูบผมหลานสาวก่อนจะนั่งลงด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวเถียนนับวันยิ่งสวยขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะ!”

เสี่ยวเถียนสวยเพิ่มตามอายุเลย สิ่งที่เธอพูดไม่ใช่เพื่อเยินยอหลานสาวเล่น ๆ

สองปีมานี้ไม่รู้ว่าเด็กหญิงโตขึ้นมาอย่างไร หนุ่มจากในสิบลี้แปดหมู่บ้านถึงโดนเสี่ยวเถียนดึงดูดกันหมด!

“เถาฮวาเอ้ย วันนี้หยุดหรือ?”

“ได้ยินว่าโส่วเวินอยากจะเรียนต่อ ส่วนเสี่ยวเหมยก็เอะอะอยากจะเรียนต่อเหมือนกัน ฉันก็เลยมาดูสถานการณ์นี่แหละค่ะ!”

เสี่ยวเหมยอายุสิบเก้าปี มีหลายคนบอกให้เธอหาสามีได้แล้ว แต่ลูกสาวของเธอไม่ต้องการเช่นนั้น

“ป้าเถาฮวา ถ้าพี่เสี่ยวเหมยอยากเรียนก็ให้พี่เขาเรียนไปเถอะค่ะ สองปีมานี้พี่เขาก็ตั้งใจเรียนมาก เห็นได้ชัดว่าชอบเรียนมาก”

ทำไมจะไม่รู้ว่าเสี่ยวเหมยตั้งใจเรียนขนาดไหนในช่วงสองปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะตอนนี้ที่บ้านเถาฮวาอยู่ใก้ลกับบ้านเสิ่นจื่อเจิน ทั้งยังตอนที่ลุงเสิ่นแอบมาสอนพี่สามก็หิ้วเสี่ยวเหมยไปด้วย

เพราะมีครูดี ๆ แบบนี้คอยนำไงล่ะ หากเธอไปเรียนตอนนี้ล่ะก็จะต้องเก่งกว่าคนอื่น ๆ เยอะเลย

ซูเถาฮวาไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำตอบโดยไม่ต้องถามอะไร

เธอยิ้ม “เข้าใจแล้ว งั้นป้าจะให้พี่เขาไปเรียนต่อนะ อย่างน้อยมัธยมปลายก็ยังดี”

“ป้าเถาฮวา พวกเราเพิ่งพูดเรื่องนี้เลยค่ะ รออีกสองวันสองวันโรงเรียนจะมีการสอบ พวกเราไปลงทะเบียนล่วงหน้าให้พวกพี่ ๆ เข้าสอบปลายภาคกันค่ะ”

ซูเถาฮวาไม่ได้คิดเรื่องนี้เลย คิ้วจึงขมวดเข้าหากันแน่น “แต่ถ้าเข้าเรียนกลางคันจะต้องจ่ายค่าเทอมเพิ่มขึ้นนะ”

“แต่เงินบางส่วนจะเก็บไว้ไม่ได้นะคะ!”

แต่มันก็สมเหตุสมผลอยู่นะว่าต้องพึ่งพาตัวเองกับคะแนนเท่านั้น คนอื่นพูดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก

ซูเถาฮวาครุ่นคิด ก่อนจะเห็นด้วย

เธอคิดได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่พอพูดขึ้นมาแล้ว เรื่องนี้เป็นความดีความชอบของเสิ่นจื่อเจิ่นเลยที่พูดเรื่องเรียนอย่างละเอียดไว้มาก

เพราะได้อีกฝ่ายช่วยไว้ เถาฮวาจึงรู้สึกขอบคุณในพระคุณของเขา ทั้งยังคอยดูแลจนทำให้ความสัมพันธ์ทั้งสองบ้านค่อย ๆ ดีขึ้น

เห็นทั้งคู่คุยกันสนุกสนาน แต่ความสัมพันธ์ไม่ได้พัฒนาอะไร คนอื่นก็พูดอะไรมากไม่ได้

คุณย่าซูมองอย่างกังวล

“งั้นเดี๋ยวหนูไปบอกพี่เสี่ยวเหมยเอง!”

ว่าจบก็กระโดดโลดเต้นออกจากบ้านไปประกาศข่าวดี และเด็กหญิงก็หายไปด้วยความรวดเร็ว

เถาฮวามองท่าทางรีบร้อนของหลานสาวก็ส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “ดูกระฉับกระเฉงมากเลยนะ”

“เสี่ยวหวานก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กนี่ ปกติก็กระฉับกระเฉงแบบนี้ ต่อให้แสร้งทำก็ทำได้ไม่นานหรอก! ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้วิ่งขนาดนี้ได้ยังไง!” คุณย่าซูพูดด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความรักความเอ็นดู

“มีชีวิตชีวาก็ดีแล้ว!” ซูเถาฮวาหัวเราะ

อันที่จริงเธอชอบซูเสี่ยวเถียนมาก เลยรู้สึกดีกับสิ่งต่าง ๆ ที่หลานทำ

ทั้งสองพูดกันต่อสองประโยค คุณย่าซูก็พูดกับเถาฮวาด้วยความจริงจัง

“เถาฮวาเอ้ย ป้ามีเรื่องอยากจะพูดกับเธอ”

“เรื่องอะไรป้า ป้าพูดเลย ฉันฟังอยู่ค่ะ!” ซูเถาฮวาไม่รู้ว่าคุณย่าซูอยากพูดเรื่องอะไร จึงเอ่ยถาม

สามีรู้ว่าภรรยาจะพูดอะไร พอคิดว่ายายเฒ่าพูดเรื่องนี้แล้ว ตัวเขาอยู่ไปก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย จึงหาเหตุผลแล้วเดินจากมา

จึงเหลือเพียงคุณย่าซูและเถาฮวาในลานบ้านเท่านั้น ก่อนหญิงชราจะเอ่ยขึ้น “เถาฮวา เรื่องส่วนตัวของเธอคิดว่ายังไงน่ะ?”

“เรื่องส่วนตัวอะไรหรือ?” ซูเถาฮวาผงะ เห็นได้ชัดว่าตอบสนองในสิ่งที่ป้าตรงหน้าสื่อออมาไม่ได้

คุณย่าซูกล่าวต่อ “อีกไม่กี่เดือน หลี่ฉางหมิงจะออกมาแล้ว เธอคิดไว้ว่ายังไงบ้าง?”

สีหน้าซูเถาฮวาเปลี่ยนไปในทันที เธอเกือบลืมคนผู้นี้ไปแล้ว ทำไมคนนี้ต้องออกมาด้วยล่ะ?

คนแบบนี้ เถาฮวาปรารถนาให้เขาใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับการทำงานหนักในหุบเขา แล้วก็ไม่ต้องออกมาอีกเลย!

“ป้าคะ ฉันไม่อยากพูดถึงคน ๆ นี้อีกแล้ว! เขากับฉันไม่เกี่ยวข้องกันอีกแล้ว ถ้าเขาออกมามันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน!”

หลี่ฉางหมิงเป็นฝันร้ายที่เธอไม่อยากนึกถึง

ผู้ชายคนนั้นทำให้เธอมีความทรงจำที่เจ็บปวดที่สุด

“ยังดีที่เธอไม่ได้วางแผนที่จะอยู่กับเขา เถาฮวา ป้ากลัวว่าเธอจะคิดไม่ตกจริง ๆ” ในที่สุดคุณย่าซูก็เบาใจลงได้ และน้ำเสียงนั้นไม่ได้เคร่งขรึมอย่างเช่นเคย

หลี่ฉางหมิงมันไม่ใช่คนแล้ว!

เถาฮวาแต่งงานกับมันเป็นเรื่องน่าเจ็บปวดจริง ๆ!

“ป้าคะ ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ? ฉันหย่ากับเขาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ฉันจะไปใช้ชีวิตร่วมกับเขาได้ยังไง?”

ไม่งั้นเธอจะหย่าไปเพื่ออะไร

“แล้วเธอกับสหายเสิ่น…”

พอคุณย่าซูถามถึงเสิ่นจื่อเจิน ซูเถาฮวาก็ตื่นตระหนกอยู่ครู่หนึ่ง

“ป้า ฉันไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย ก็แค่ ก็แค่…”