บทที่ 208 แต่งงานอีกหน

บทที่ 208 แต่งงานอีกหน

ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราคืออะไร ซูเถาฮวาบอกได้ไม่ชัด แต่บนใบหน้ากลับมีความโศกเศร้าปรากฏอยู่

“เธอคิดว่าเพราะเขาเป็นคนห้าประเภท เลยกลัวว่าจะถูกเข้าไปพัวพันเหรอ?” คุณย่าซูถามอย่างไม่มั่นใจ

ไม่ว่าจะมองสองคนนี้อย่างไรก็เหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ ยิ่งนานวันเข้า การกระทำก็ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว จนเด็กบ้านอื่นโตหมดแล้ว แล้วสองคนนี้ที่เหมือนดี ๆ ก็ยังไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น มันทำให้เธอร้อนรนเสียเหลือเกิน

ซูเถาฮวายิ้ม “ฉันกลัวเข้าไปพัวพันที่ไหนล่ะ?”

ในน้ำเสียงมีความดูถูกอยู่บ้าง

คุณย่าตอบ “เถาฮวา เธอว่าเธอกับเสิ่นจื่อเจินจะเป็นไปได้หรือเปล่า?”

ซูเถาฮวาก้มศีรษะลง “ป้าคะ แม่ของฉันจากไปแล้ว ป้าก็เป็นเหมือนแม่ของฉัน ฉันอยากบอกป้าจากใจว่า เสิ่นจื่อเจินเป็นใคร เขาจะมาชอบผู้หญิงบ้านนอกแบบฉันได้ยังไง?”

“ผู้หญิงบ้านนอกแล้วจะเป็นไรไป? ผู้หญิงบ้านนอกเรียบง่ายนะ!” คุณย่าซูไม่ชอบสิ่งนี้เลย

แต่อย่างไรก็ต้องคัดค้านกลับไป เธอคิดว่าสิ่งที่เถาฮวาคิดมันไร้เหตุผล

แม้จะบอกว่าเสิ่นจื่อเจินจะโดนซ้อมก่อนถูกส่งตัวมาอยู่ที่นี่ ทั้งยังอาศัยอยู่ที่คอกวัว แต่คิดดูสิคนนั้นเป็นคนจากเมืองนะ เห็นผู้หญิงในเมืองมาก็ตั้งเยอะ เป็นปกติอยู่แล้วหากจะดูแคลนสาวบ้านนอก!

จากใจของซูเถาฮวา อันที่จริงเธอชอบเสิ่นจื่อเจินมาก ๆ เขาเป็นคนที่แตกต่างจากหลี่ฉางหมิงโดยสมบูรณ์ อ่อนโยน ละเอียดอ่อน เป็นคนที่มีการศึกษาจริง ๆ และทำให้รู้สึกสบายใจมาก

แต่ผู้ชายอย่างเขาไม่คู่ควรกับเธอเลย ไม่อย่างนั้น…

“คุณป้าลองคิดดูนะ ผ่านมาก็ตั้งนานไม่เห็นเขาแสดงท่าทีอะไรออกมา เรื่องแบบนี้ฉันก็ไม่กล้าเป็นฝ่ายป่าวประกาศใช่ไหมล่ะ? แต่ก็เห็น ๆ อยู่ว่าในใจเขาต้องรังเกียจสาวบ้านนอกไร้การศึกษาอย่างฉันแน่!”

ซูเถาฮวาเอ่ยจบ ก็เห็นป้าตรงหน้ามองไปทางประตู

เธอเหลียวกลับไปมองแล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเสิ่นจื่อเจินยืนอยู่ตรงปากประตู

เขาเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร? ทำไมไม่ได้ยินเสียงเลย?

เขาได้ยินสิ่งที่เธอเพิ่งพูดไปมากแค่ไหนนะ? จะคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงไร้ยางอายหรือเปล่า?

พอคิดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าเถาฮวาแดงก่ำราวกับโดนไฟแผดเผา

กลายเป็นแบบนี้ไปเสียด้าย ทำไมเวลาเอ่ยถึงใคร คนที่เอ่ยถึงอยู่ก็จะมาได้ยินด้วย?

เธอรีบผุดลุกขึ้นแล้วรีบร้อนจะออกไป แต่ก็ถูกเสิ่นจื่อเจินขวางไว้

“เถาฮวารอเดี๋ยว ผมมีอะไรจะบอกคุณ!”

เสิ่นจื่อเจินเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก ใบหน้าของเขาเองก็แดงระเรื่อ แต่น้ำเสียงนั้นหนักแน่นและไร้ความลังเล

“มีเรื่องอะไรหรือ? อาจารย์เสิ่น ฉันคิดขึ้นได้ว่าที่บ้านมีเรื่องต้องทำ เลยจะรีบกลับไป…” ตอนพูดเสียงของเถาฮวาเต็มไปด้วยความลุกลี้ลุกลน

“เถาฮวา ผมได้ยินสิ่งที่คุณพูดเมื่อครู่แล้ว ผมไม่ได้ตั้งใจจะดูแคลนคุณเลยนะ ผมแค่ไม่กล้า ผมกลัวคุณจะรังเกียจผม กลัวว่าสิ่งที่ผมพัวพันจะไปทำร้ายคุณ!”

ถึงเสิ่นจื่อเจินจะมีใบหน้าแดงก่ำ แต่ก็ยังพูดในสิ่งที่คิดออกมาจนหมด

ซูเถาฮวาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกังวลขนาดนี้

เธอจะรู้ได้อย่างไรว่าก่อนที่เสิ่นจื่อเจินจะมาหงซิน เขาเคยโดนภรรยาและพวกลูก ๆ หักหลังมาก่อนจนเกือบจะขาดใจตาย

ต้องขอบคุณน้ำใจของคนในหงซินที่ไม่เลือกปฏิบัติต่อคนคอกวัว

แต่การพบพานในครั้งนั้นทำให้เขากล้าที่จะเดินไปด้วยกันกับคนอื่น ๆ

คุณย่าซูอยู่ข้าง ๆ ใบหน้าแย้มยิ้มราวกับดอกไม้เบิกบาน ไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าสองคนนี้คิดอะไรอยู่ถึงได้ไม่กล้าพูดออกมา

เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้นับว่าดีแล้ว ในเมื่อทั้งสองพูดกันชัดเจนแล้ว งั้นเรื่องดี ๆ จะตามมาเร็ว ๆ นี้แล้วสินะ!

ในตอนที่ข่าวว่าเสิ่นจื่อเจินกำลังจะแต่งงานกับซูเถาฮวาแพร่กระจายไปทั่วชุมชน

ผู้คนในชุมชนหงซินมีความคิดที่แตกต่างกัน

บางคนคิดว่าซูเถาฮวาชอบอาจารย์เสิ่นเพราะเป็นคนในเมือง และเขามีความสามารถมาก

แต่ก็มีบางคนที่คิดว่าซูเถาฮวาเป็นคนโง่ คนหนึ่งอาศัยอยู่คอกวัว ถ้าแต่งงานเข้าไปไม่ต้องไปอยู่ที่คอกวัวด้วยหรือไง?

ซูฉางจิ่วที่กำลังเศร้าโศกนั้น ผมของเขาใกล้จะเป็นสีขาวแล้ว

เขากำลังบ่นว่าทำไมผมของเขามันไม่เห็นใจกันเลย แค่มองเฉย ๆ ก็เห็นผมหงอกแล้ว จะต้องทำให้มันขาวไปหมดเลยหรือไงถึงจะเต็มใจน่ะ?

ทำไมเขาไม่ได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย เกิดอะไรขึ้น?

ต้องจัดการอย่างไรเนี่ย?

มียุวชนสาวที่แต่งงานกับหนุ่มของชุมชนเรา แล้วก็มียุวชนหนุ่มที่แต่งงานเข้ากับสาวของชุมชนเราเหมือนกัน

แต่เพราะนี่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มคนห้าประเภท แล้วคนที่อาศัยอยู่คอกวัวแต่งงานกับคนของชุมชนนะ เรื่องนี้เขาจะรายงานต่อชุมชนใหญ่ได้อย่างไร?

ไม่ต้องว่าถึงเรื่องอื่น กลัวก็แต่ทะเบียนสมรสจะไม่ออกให้น่ะซี่!

“ฉางจิ่วเอ้ย ไม่มีอะไรต้องเศร้าหรอกนะ อย่างมากสุดเถาฮวาก็แค่ไปอาศัยอยู่ที่คอกวัวกับเสิ่นจื่อเจิน ถ้าตัวเธอไม่คัดค้าน คนอื่นจะว่าอะไรได้ล่ะ?” คุณปู่ซูเห็นฉูฉางจิ่วเดินดึงผมอยู่ในทุ่ง ก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้

“ผมก็ไม่ได้ห่วงเรื่องทะเบียนสมรสหรอก!”

คุณปู่ซูยิ้ม “งั้นก็ไม่ยากเลย นายก็พูดให้จริงจังแทนสิ บอกว่าเพื่อตอบแทนบุญคุณอะไรก็ว่าไป เพราะยังไงเรื่องราวในตอนแรกมันก็ใหญ่โตขนาดนั้นแล้ว!” คุณปู่ซูปลุกอีกฝ่ายให้ตื่นขึ้นจากฝัน

ก็ใช่นะ นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนเขาพูดกันหรือไง?

ซูฉางจิ่วทำได้เพียงพยักหน้า แต่จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “เถาฮวาเป็นคนซื่อสัตย์ ทำไมถึงชอบอาจารย์เสิ่นล่ะ? ด้วยสถานะของเขาที่เป็นแบบนั้น ใครต่อใครก็หลีกเลี่ยงไม่ได้นะ”

เขาเคยได้ยินมาว่าภรรยาและลูก ๆ ของเสิ่นจื่อเจินตัดขาดกัน เพราะอีกฝ่ายถูกจัดอยู่ในคนห้าประเภท และต้องถูกส่งตัวมาที่นี่

และได้ยินอีกว่าพวกเขาเผยแพร่เรื่องนี้ลงหนังสือพิมพ์เพื่อตัดขาดกันด้วย

ทำไมเถาฮวาถึงไม่กลัวที่จะถูกพัวพันล่ะ?

“ฉันว่าอาจารย์เสิ่นเป็นคนดีมากเลยนะ ดีกว่าหลี่ฉางหมิงเยอะเลย”

คุณปู่ซูเป็นคนของชุมชนการผลิตที่ใกล้ชิดกับคนคอกวัวมากทีุ่สด

เขารู้ว่าคนคอกวัวต่างไปจากสิ่งที่คนอื่นว่าไว้ อย่างน้อยไม่ว่าพวกเขาจะเด็กหรือแก่ก็เป็นคนดีกันทั้งนั้น

การแต่งงานของคนสองคนนั้น ถ้าบอกว่าเร็วก็เร็วจริง ๆ ในไม้ช้าก็นัดวันไปจดทะเบียนสมรสได้แล้ว

พอวันนั้นมาถึง ซูฉางจิ่วพาทั้งสองไปจดทะเบียนที่ชุมชนใหญ่

ซูฉางจิ่วทำตามคำแนะนำที่คุณปู่ชี้แนะ เขาโกหกคนที่ทำเรื่องทะเบียนสมรสของชุมชนใหญ่

ซูฉางจิ่วโกหกว่าในตอนที่หลี่จื่อกั๋วมีเจตนาร้าย เสิ่นจื่อเจินจึงถูกทำร้ายร่างกายเพื่อช่วยเธอเอาไว้ และตอนนี้ก็ไม่สามารถดูแลชีวิตตัวเองได้ ซูเถาฮวาจึงคิดจะตอบแทนน้ำใจเขา

แน่นอนว่าทุกคนในชุมชนใหญ่รู้เรื่องหลี่จื่อกั๋ว

เพราะนี่คือเรื่องเรื่องหนึ่งที่เลวร้ายที่สุดซึ่งเกิดขึ้นในอำเภอในระยะหลายปีมานี้

การก่ออาชญากรรมของหลี่จื่อกั๋วมากมายเกินกว่าจะบันทึกได้ ทุกครั้งที่มีการประชุม หลี่จื่อกั๋ว จะต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ก่อนการประชุมอย่างเป็นทางการจะเริ่มขึ้นเสมอ

เพราะหลี่จื่อกั๋ว ตระกูลหลี่จึงตกต่ำกันหมด ผู้เฒ่าหลี่จึงพาหลาน ๆ กลับไปบ้านที่ชนบทด้วย

ได้ยินว่า พอกลับไปชีวิตก็ไม่ได้ดีและไม่มีใครเห็นใจพวกเขา

และฤดูใบไม้ผลิปีนี้ หลี่จื่อกั๋วถูกตัดสินพิจารณาคดีต่อให้ประหารชีวิตต่อหน้าสาธารณชน

หลังจากที่เขาเสียชีวิต ผู้คนในอำเภอก็เฉลิมฉลองด้วยเสียงกลองหลัวกู่อยู่หลายวัน

หลังจากดื่มชาและทานอาหารเย็นก็ถอนหายใจยาวเหยียด รู้สึกเสียใจแทนเด็ก ๆ ที่โดนหลี่จื่อกั๋วทำร้าย

มีคนเคยกล่าวไว้ว่า ถ้าหลี่จื่อกั๋วโดนส่งตัวมาที่หงซินตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่แน่ว่าเด็กพวกนั้นอาจจะรอดชีวิตก็ได้

“ถึงเสิ่นจื่อเจินจะทำเพื่อช่วย แต่ก็ไม่ควรตอบแทนสิ แบบนี้ไม่ได้!” สหายเสี่ยวอู่ได้ยินก็กล่าวอย่างขุ่นเคือง

สหายหญิงดี ๆ แบบนี้ จะตอบแทนบุญคุณเล็กน้อยด้วยการสละทั้งชีวิตไปอยู่ด้วยไม่ได้หรือเปล่า?

ซูฉางจิ่วรู้ว่าตัวเองพูดผิดแผกไปก็รับกล่าวต่อทันที “ไม่ใช่แบบนั้น สหายเสี่ยวอู่ เสิ่นจื่อเจินปฏิเสธแล้ว แต่สหายเถาฮวาเราน่ะซี่ เป็นพวกชอบตอบแทนบุญคุณ เธอบอกว่าถ้าไม่ได้ดูแลอีกฝ่ายจนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตคงไม่วางใจ!”

พอได้ยินประโยคที่ว่า ‘ดูแลอีกฝ่ายจนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต’ สหายเสี่ยวอู่ก็ไม่พูดอะไรอีก และเริ่มสงสัยว่าหลี่จื่อกั๋วลงมือหนักจนเสิ่นจื่อเจินเกือบไม่รอดใช่หรือเปล่า!

“ช่างเถิด ก็แค่คนน่าสงสาร แต่ต้องบอกว่าภูมิหลังของเสิ่นจื่อเจินไม่ดีนะ ถ้าเป็นคนอื่น โทษของหลี่จื่อกั๋วหนักยิ่งกว่านี้อีก!” สหายเสี่ยวอู่กล่าวด้วยแรงอารมณ์

ด้วยสถานะของเขา เสิ่นจื่อเจินที่โดนหลี่จื่อกั๋วซ้อมจนกลายเป็นแบบนี้ก็ได้แต่ได้ยอมโดนปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม

ลองคิดดูสิ มันไม่ยุติธรรมเลยจริง ๆ นะ

“สหายเสี่ยวอู่ คุณคงไม่รู้หรอกว่า แม้ก่อนหน้านี้เสิ่นจื่อเจินจะทำผิด แต่ตอนอยู่หงซินเขาทำได้ดีจริง ๆ นะ”

“เพื่อช่วยคนอื่นแล้วเขาไม่กลัวตายเลย เขากอดหลี่จื่อกั๋วไว้แน่นในยามคับขัน แขนขาโดนหักหมด นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลของอำเภอเดือนนึงเลยนะ”

“ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเป็นคนห้าประเภท ฉันก็คงคิดจะรายงานไปทางชุมชนใหญ่เพื่อขอคำชมเชยแล้วล่ะ!”

“ต้องขอบคุณแพทย์มือฉมังในโรงพยาบาลประจำอำเภอของเราด้วย ไม่งั้นคงไม่มีชีวิตกลับมาหรอก!”

ซูฉางจิ่วตั้งใจพูดเกินจริงเพื่อส่งเสริมความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของเสิ่นจื่อเจินเข้าไว้

ขณะที่พูดก็ยัดซองบุหรี่ใส่ในมือสหายเสี่ยวอู่อย่างเงียบ ๆ

สหายเสี่ยวอู่ใส่ซองบุหรี่ลงในกระเป๋าเสื้อ และไม่ได้พูดอะไรมาก

ทะเบียนสมรสของทั้งสองคนได้รับมาอย่างรวดเร็ว

ซูเถาฮวาและเสิ่นจื่อเจินยืนอยู่นอกประตูของชุมชนใหญ่ ทั้งสองถือใบทะเบียนสมรสที่ไม่ต่างไปจากเกียรติบัตรการทำคุณความดีเลย และไม่เชื่ออีกว่าจะได้แต่งงานใหม่อีกครั้ง

สองปีก่อน ทั้งสองคนไม่เคยคิดถึงการแต่งงานใหม่เลย แทบจะหมดความกล้าที่จะใช้ชีวิตต่อไปด้วยซ้ำ

พวกเขาต่างก็เป็นคนที่ทนทุกข์ทรมานมามาก และในตอนนี้สายสัมพันธ์ได้ผูกแน่นเข้าไว้ด้วยกัน

“หัวหน้าซู ขอบคุณท่านมาก!” เสิ่นจื่อเจินกล่าวกับซูฉางจิ่วอย่างสุภาพ

เขารู้จักสถานะตัวเองดี ถ้าไม่ได้หัวหน้า คงไม่ได้รับรับทะเบียนสมรสมาหรอก

“เกรงใจอะไรกัน เถาฮวาเป็นน้องสาวของฉัน จากนี้ไปคุณต้องดูแลเธอให้ดีก็พอแล้ว” ซูฉางจิ่วมองเถาฮวาก่อนแล้วตามด้วยเสิ่นจื่อเจิน ก่อนเขาจะพูดอย่างจริงจังว่า “ความขมขื่นของเถาฮวาในช่วงหลายปีมานี้ ในอนาคตข้างหน้าคุณจะทำให้เธอต้องทนทุกข์ต่ออีกไม่ได้นะ!”

เสิ่นจื่อเจินมองใบหน้าแดงของเถาฮวา แล้วพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ในช่วงเวลาที่ผมลำบากที่สุด เธอก็ยังอยู่เป็นเพื่อนผม ผมรู้สึกขอบคุณเธอที่เข้ามาในตอนที่ยังไม่สายไป แบบนี้แล้วจะไม่ดูแลเธอให้ดีได้ยังไง แต่ว่าผมมันคนไม่มีความสามารถ ทำให้เธอเข้ามาพัวพันและมาอาศัยอยู่ที่คอกวัวแทน”

ใช่แล้ว เพราะทั้งคู่แต่งงานกัน จึงทำได้เพียงตามไปอาศัยอยู่ที่คอกวัวกับอีกฝ่ายเท่านั้น

หลังจากกลับจากชุมชนใหญ่ ซูเถาฮวาม้วนเครื่องนอนแล้วไปที่คอกวัว

ทั้งสองแต่งงานเป็นครั้งที่สอง แต่ด้วยสถานะของฝ่ายชายจึงไม่มีทางที่จะจัดงานแต่งงานดี ๆ ได้

ทว่าก็ไม่มีใครลืมได้อยู่ดี