บทที่ 209 เฉลิมฉลอง

บทที่ 209 เฉลิมฉลอง

เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองแด่คนทั้งสอง คุณย่าซูพาหวังเซียงฮวาและอวี่รุ่ยหยวนมาทำอาหารมื้ออร่อยให้เป็นการพิเศษ

พวกเขาทั้งสามคนเริ่มเตรียมตัวในตอนที่ซูเถาฮวาออกไปที่ชุมชนใหญ่กับคนอื่น ๆ

คิดว่าน่าจะทันเวลาอาหารกลางวันนะ

ใครจะรู้เล่าว่ากว่าพวกเขาจะกลับมาก็บ่ายแล้ว

แต่เช่นนั้นก็แค่เปลี่ยนอาหารกลางวันเป็นอาหารเย็นก็เท่านั้น

คุณปู่ซูให้โส่วเวินไปเชิญซูฉางจิ่วและภรรยามาที่นี่เป็นการพิเศษ นั่นหมายความว่าพวกเขาจะได้เป็นพยานในการแต่งงานระหว่างซูเถาฮวาและเสิ่นจื่อเจินนั่นเอง

แม้ว่าคนที่มาร่วมกินข้าวในวันนี้จะน้อย

เพราะเป็นเดิมบ้านซูเป็นครอบครัวใหญ่ แต่บ้านตนก็มีสมาชิกสิบกว่าคน รวมคนอื่นไปด้วยจึงมีหลายสิบคนเลย

ผู้ใหญ่รวมกับเด็กนั่งโต๊ะละสี่คน แต่ในบ้านนั่งไม่พอแล้ว เลยต้องมาจัดโต๊ะที่ลานบ้านแทน

ในระหว่างอาหารค่ำ คุณปู่ซูหยิบสุราออกมาสองสามขวดแล้ววางไว้บนโต๊ะอย่างระมัดระวัง

สุราขวดนี้เขาเก็บไว้มานานกว่าปีแล้ว แม้แต่ช่วงปีใหม่ก็ยังไม่เต็มใจจะเอาออกมา แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะเอาออกมาในวันนี้

“คุณปู่ ทำไมวันนี้ถึงเอาออกมาได้ล่ะครับ?” ซูซื่อเลี่ยงถามด้วยรอยยิ้มขณะกำลังเฝ้ามองคุณปู่หยิบสุราออกมาจากของคลังสะสมของเขา

“นี่เป็นสุราชั้นดีเลยนะ! หัวหน้าเฉินส่งมาให้ใช่ไหมครับ?”

ซูฉางจิ่วเคยได้ยินและเห็นสุราขวดนี้มาก่อน แต่ไม่เคยดื่มเลย และไม่คิดเลยว่าครั้งแรกที่ได้ดื่มจะเป็นวันนี้

“อาเขยไม่ได้ส่งมาครับ เป็นของที่เขาส่งมาให้ตั้งแต่ปีใหม่ที่แล้วนู่น” ซูซื่อเลี่ยงรีบตอบแทน

“งั้นวันนี้ฉันต้องดื่ม ๆ หลายแก้วหน่อยแล้ว” ซูฉางจิ่วยิ้ม

หลังจากที่คุณปู่ซูรินสุราใส่เต็มแก้วของทุกคนที่โต๊ะหลัก เขาก็มองไปรอบ ๆ และยกแก้วขึ้น

“วันนี้เป็นวันที่ดีสำหรับเถาฮวาและเสิ่นจื่อเจิน ฉันที่ทำหน้าที่เสมือนพ่อรู้สึกละอายใจเหลือเกินที่จัดงานแต่งดี ๆ ให้ลูกสาวไม่ได้”

ซูเถาฮวารู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมากกับความห่วงใยของคุณปู่และคุณย่าซู เธอพูดด้วยน้ำตาคลอเบ้า “ลุงพูดอะไรเนี่ย แค่เตรียมงานเลี้ยงมงคลให้ฉันก็ถือเป็นความเมตตาอันยิ่งใหญ่แล้ว!”

นับตั้งแต่ที่เธอตัดสินใจแต่งงานกับเสิ่นจื่อเจิน บางคนในกลุ่มหงซินก็เริ่มตีตัวออกหากจากเธอราวกับว่าเธอเป็นหนึ่งในคนห้าประเภท

แม้กระทั่งวันนี้ เธอก็รู้ว่าบรรดาผู้อาวุโสที่เชิญไปอาจจะไม่มาก็ได้

แม้ว่าเธอจะคาดเดาสถานการณ์นี้ไว้นานแล้ว แต่พอวันนี้มาถึงจริง ๆ กลับรู้สึกไม่สบายใจมาก

ทว่าไม่คิดเลยว่าในเวลาเช่นนี้ กลับยังมีคนคิดเพื่อเธออยู่ แล้วจะไม่ให้หวั่นไหวได้อย่างไร?

เธอไม่รู้ได้อย่างไรว่าคุณปู่คุณย่าซูกำลังคอยสนับสนุนอยู่

และเพราะคำพูดที่เอ่ยขึ้นในตอนนี้ ทำให้เสิ่นจื่อเจินรู้ว่า เถาฮวายังมีครอบครัวของเธอคอยสนับสนุนอยู่

หลังจากดื่มอวยพร คุณปู่ซูก็กล่าวอวยพรให้เสิ่นจื่อเจินและซูเถาฮวาต่อ

“ในเมื่อพวกเธอทั้งสองแต่งงานกันแล้ว จากนี้ไปต้องใช้ชีวิตให้ดี อาจารย์เสิ่นเป็นคนเมือง คุณจะดูถูกเถาฮวาของเราไม่ได้นะ และเถาฮวาก็ต้องดูแลอาจารย์เสิ่นให้ดีด้วย” คุณปู่ซูสอนอย่างจริงจัง

“ขอบคุณมากครับคุณลุง ผมจะดูแลเถาฮวาให้ดี แล้วก็ขอบคุณเถาฮวาที่ไม่รังเกียจนักโทษอย่างผม!” เสิ่นจื่อเจินรีบพูด

หลังจากนั้นทั้งสองก็แสดงความขอบคุณต่อคุณปู่ซูและครอบครัวของเขา

เสิ่นจื่อเจินรู้สึกละอายใจ นี่เป็นงานเลี้ยงแต่งงานเขาแท้ ๆ แม้แต่ข้าวสักเม็ดเขายังไม่ได้เอามาเลย ได้แต่มาตัวเปล่า

หลังจากนั้นซูฉางจิ่วก็ยกแก้วสุราขึ้น แล้วดื่มอวยพรผู้มาใหม่ทั้งสอง ก่อนจะเอ่ยขอโทษออกมา

“เป็นความผิดของผมเอง ต้องขอโทษพวกคุณทั้งสองด้วย”

จู่ ๆ ซูฉางจิ่วก็พูดขึ้นมาเช่นนี้ ทุกคนเลยไม่เข้าใจว่าทำไม

“เกิดอะไรขึ้น?” ภรรยาของหัวหน้าซูผละสามีออกมาถามอย่างกระวนกระวาย

“ก็วันนี้น่ะ ที่บอกว่าสหายเสี่ยวอู่ปฏิเสธที่จะให้การเป็นพยาน ฉันโกหกน่ะ”

“คุณพูดอะไรน่ะ?” ภรรยากังวลยิ่งกว่าเดิม เธอรีบถามต่อ

“ฉันบอกว่าเถาฮวาแต่งงานกับสหายเสิ่นเพราะอยากดูแลผู้มีพระคุณ แล้วก็ แล้วก็สหายเสิ่นร่างกายบาดเจ็บ…”

‘จนเกือบจะตาย’ เขาไม่กล้าพูดออกมา เพราะมันเป็นการแต่งงานใหม่น่ะสิ พูดแบบนี้ก็ไม่มงคลพอดี

ทุกคนกำลังฟัง และไม่คิดว่ามีปัญหาตรงไหน แต่หัวหน้าก็มีไหวพริบที่ดี

เพราะไม่งั้นทะเบียนสมรสก็โดนฉีกแทนน่ะสิ

ว่าจบ ซูฉางจิ่วก็พูดต่อ “ฉันรู้ว่าวันนี้ไม่ควรพูดแบบนี้ ดังนั้นฉันจะลงโทษตัวเองด้วยการดื่มสามแก้ว”

ไม่รีรอให้คนอื่นห้าม เขาก็กระดกสุราสามแก้วรวดอย่างรวดเร็ว

ภรรยาผู้โกรธเกรี้ยวทุบสามีก่อนจะว่า “ฉันว่าที่คุณขอโทษคือโกหกกันมากกว่า ความจริงคืออยากดื่มสินะ!”

พอได้ยินดังนั้น ทุกคนก็ส่งเสียงหัวเราะดังลั่น

ประโยคเดียวทำเอาสถานการณ์คึกคักขึ้นมาทันที

ในระหว่างอาหารค่ำ คุณปู่ซูพูดไปเยอะมาก และยังปฏิบัติกับซูเถาฮวาเหมือนลูกสาวคนหนึ่ง

รอกระทั่งพูดคุยเรื่องการแต่งงานใหม่ของทั้งคู่เสร็จ คุณปู่ซูก็บอกอีกว่าจะส่งหลานชายคนโตทั้งสามไปเรียนในเมือง

ฉือเก๋อกับคนอื่น ๆ ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย ครั้นได้ยินอย่างกะทันหันก็เลยตกใจกันมาก

ทำไมตระกูลซูถึงตัดสินใจในช่วงเวลาที่สำคัญแบบนี้ล่ะ?

ใครก็รู้ว่าเด็กบ้านซูไม่ได้ไปโรงเรียนเลยในช่วงหลายปีมานี้ แม้แต่โรงเรียนเล็ก ๆ ในชุมชนก็ยังไม่ไป

ส่วนใหญ่เด็ก ๆ จะเรียนกับพวกผู้อาวุโส หรือไม่ก็เรียนเองที่บ้าน

จู่ ๆ ก็อยากจะไปเรียนกัน ถ้าไม่มีเหตุผลฉือเก๋อและคนอื่น ๆ ไม่อยากจะเชื่อหรอก

หรือว่าเสี่ยวเถียนไปได้ยินข่าวคราวอะไรมา?

แต่ตอนนี้มีคนเยอะแยะ พวกเขาไม่กล้าถามหรอก

กลับกันแล้ว คุณปู่สามของเถาฮวากลับเอ่ยขึ้น “ทำไมจู่ ๆ ถึงให้พวกเด็ก ๆ ไปเรียนเล่า? อายุก็เยอะแล้ว อยู่บ้านช่วยทำงานเก็บคะแนนเถอะ”

“คะแนนทำงานจะหาตอนไหนก็ได้ แต่เวลาที่เด็กมันได้เรียน มันมีแค่ช่วงนี้เท่านั้น ไม่อยากให้พลาดอีก!” คุณปู่ซูพูดด้วยรอยยิ้ม

เห็นได้ชัดว่าคุณปู่สามไม่เห็นด้วยอย่างมาก แต่เมื่อคิดดูอีกที ลูกสะใภ้สองคนจากครอบครัวซูชวนก็ไปทำงานเป็นคนงานในเมืองเพราะอ่านออกเขียนได้

ทันใดนั้นก็รู้สึกโล่งใจทันที

ฉือเก๋อและคนอื่น ๆ เห็นด้วยอย่างมาก ถึงจะเรียนที่บ้านแต่ไม่เท่าไปเรียนที่โรงเรียนหรอก

ส่วนฉืออี้หย่วนที่กำลังนั่งอยู่กับหลานบ้านซูอยู่นั้น พอได้ยินข่าวแววตาก็มีประกายความอิจฉา

เขากินข้าวเงียบ ๆ ไม่พูดอะไรสักคำ

แม้ว่าที่บ้านจะมีครูผู้มากประสบการณ์คอยสอน แต่การเรียนแบบนี้กับไปเรียนที่โรงเรียนมันไม่เหมือนกัน

เขายังอยากไปโรงเรียน ฝันว่าอยากจะกลับไปเรียนที่ที่เคยเรียนมาก่อน

แต่ด้วยความเป็นพวกคนห้าประเภท เลยไม่สามารถเรียนหนังสือได้

สำหรับคนอื่น การไปโรงเรียนหรือไม่นั้นคงไม่สำคัญหรอก

แต่สำหรับเขามันมีความหมายมาก

การได้ไปเรียนหนังสือ นั่นหมายความว่าเขาจะกำจัดสถานะคนห้าประเภทออกไปได้

และมีโอกาสที่จะกลายเป็นคนใหม่ ไม่เหมือนตอนนี้หรอก เขาจึงรู้สึกว่าตนด้อยกว่าเสมอ

ถึงแม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่ในหงซินจะใจดี และไม่มีความคิดจะเป็นศัตรูกับคนคอกวัวแบบพวกเรา

ทว่าเพราะเสียงที่ไม่ลงรอยกันเป็นครั้งคราวทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกอึดอัดใจ

หลายคืนที่อดหลับอดนอนมานับไม่ถ้วน เขาเคยคิดว่าเมื่อไรเรื่องราวเหล่านี้จะจบลงเสียที?

ซูเสี่ยวเถียนรู้ดีถึงความเงียบงันของเด็กหนุ่ม แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดด้วย

เธอมองฉืออี้หย่วน รู้สึกปวดใจในทันที

พี่อี้หย่วนกำลังขมขื่นเหลือทน!

“ทำไมตอนนี้ถึงอยากไปเรียนล่ะ? สองปีมานี้เสี่ยวเฉ่าก็พูดเหมือนกัน ฉันว่าเธออยู่บ้านก็ตั้งใจเรียนอยู่นะ!”

พอซูฉางจิ่วดื่มเข้าไปแล้ว เลยทำให้พูดไม่หยุด

ไม่ว่าใครก็ฟังไม่เข้าใจ สรุปแล้วเขาอยากให้ลูกสาวไปเรียนหรือไม่ไปเรียนกันแน่

“งั้นให้เสี่ยวเหมยกับเสี่ยวกังไปเรียนด้วยกันซี่! ฉันคิดว่าเสี่ยวเหมยชอบอ่านหนังสือมากนะ!”

จู่ ๆ เสิ่นจื่อเจินก็พูดขึ้น เขาเอ่ยกับภรรยา

เด็กที่โดนเอ่ยถึงนั่งอยู่ข้างกัน เลยได้ยินสิ่งที่เสิ่นจื่อเจินพูดอย่างชัดเจน

สองพี่น้องผงะ ไม่มีใครคาดคิดว่าประโยคแรกที่เสิ่นจื่อเจินจะพูดเกี่ยวกับพวกเขาคือการบอกให้ไปเรียน

ส่วนเรื่องที่แม่แต่งงานใหม่ พวกเขาสองพี่น้องไม่คัดค้านอยู่แล้ว

เพราะอย่างไรเสียลุงเสิ่นก็ช่วยชีวิตแม่เอาไว้ และมันยากมากที่แม่จะดูแลพวกเขาตามลำพัง คงจะดีกว่าถ้ามีเพื่อนอยู่ด้วย

อันที่จริง พวกเขาทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าชีวิตในอนาคตจะเป็นอย่างไร

เมื่อวานพวกเขาสองคนก็คุยกันลับหลังแม่

ซูเสี่ยวกังอายุน้อยกว่า ย่อมมีความกังวลมากกว่า

เพื่อบรรเทาความอึดอัดในใจของน้องชาย เสี่ยวเหมยสาบานว่า ถ้าลุงเสิ่นปฏิบัติต่อพวกเราไม่ดี เธอจะทำนาเพื่อเลี้ยงเสี่ยวกังเอง

เธอยังพูดกับน้องด้วยว่า ถึงจะแย่ แต่ก็ยังมีพี่ใหญ่ พี่ใหญ่ไม่มีทางเมินเฉยพวกเราแน่

ซูเสี่ยวกังรู้สึกโล่งใจขึ้นเยอะ

แต่ไม่คิดว่าเพิ่งแต่งงานได้วันแรก เสิ่นจื่อเจินจะให้พวกเขาไปเรียนหนังสือเลย

แน่นอนว่าซูเสี่ยวเหมยมีความสุข เธอชอบอ่านหนังสือและตั้งใจมาเสมอ

แต่เรื่องนี้ค่อนข้างทรมานเสี่ยวกังเหลือเกิน เขาไม่ชอบอ่านหนังสือเลย ไม่แม้แต่สักนิด และคิดเสมอว่านี่เป็นสิ่งที่น่าเจ็บปวดที่สุดในโลก

เขาชอบการต่อสู้ และคิดว่าในอนาคตเขาจะได้เป็นทหารเหมือนพี่ใหญ่

ใส่ชุดทหารแล้วงามสง่ามาก เรียนไปมีประโยชน์อะไรล่ะ?

แต่ครั้งแรกที่เสิ่นจื่อเจินเอ่ยปากคือเรื่องของพวกเขา ถ้าคัดค้านมันจะดีหรือเปล่า?

ลุงเสิ่นจะคิดว่า เขาไม่ใช่เด็กดีหรือเปล่า อันที่จริงอาจจะคิดว่าเขาจงใจต่อต้านใช่ไหม?

แต่ซูเสี่ยวกังไม่ใช่เด็กน้อยผู้ไม่ย่อท้ออีกต่อไปแล้ว เขาไม่ใช่คนที่รีบไปที่บ้านพวกยุวชนเพื่อซื้อแป้งไม่กี่จินอีกต่อไป

หลายปีมานี้ เขาเติบโตขึ้นแล้วและนึกถึงผู้เป็นมารดาเสมอ

“ลุงเสิ่น ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ!” ซูเสี่ยวเหมยดึงน้องชายให้ลุกขึ้น แล้วเดินไปกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยความจริงใจ

เสิ่นจื่อเจินมองรอยยิ้มบนใบหน้าของสาวน้อย แล้วคลี่ยิ้มออกมาเช่นกัน “ไม่ว่าจะเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิงก็ต้องมีความรู้ติดตัวไว้นะ ภายภาคหน้าจะได้เป็นประโยชน์ต่อสังคม!”

เดิมทีเขาวางแผนที่จะให้เด็ก ๆ ไปโรงเรียนอยู่แล้ว

“ได้ค่ะลุงเสิ่น ฉันจะตั้งใจเรียน!” ซูเสี่ยวเหมยสัญญา

แต่การให้คำมั่นสัญญาของเสี่ยวกังอิดออดพอสมควร เขาลังเลนานมาก

เสิ่นจื่อเจินหัวเราะ เจ้าเด็กคนนี้!

“งั้นก็ไปเถอะ ไปเรียนไป!” ซูฉางจิ่วพูดอย่างร่าเริง