ตอนที่ 271 แลกเปลี่ยนผลประโยชน์

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 271 แลกเปลี่ยนผลประโยชน์

“ถึงแม้จะตายหมดก็ต้องถ่วงกองกำลังซีหยงเอาไว้”

นี่คือท่าทีของฮ่องเต้

กองกำลังโยวโจวตายหมดแล้วอย่างไร

สำคัญกว่าเมืองหลวงหรือ

สำคัญยิ่งกว่าแผ่นดินต้าเว่ยหรือ

สำคัญกว่าฮ่องเต้อย่างเขาหรือ

หน้าที่ของแม่ทัพก็คือไม่เกรงกลัวการสู้รบ กล้าสู้จนตัวตาย

สีหน้าของเซียวฮูหยินเรียบเฉย “ฝ่าบาททรงเอ่ยเรื่องนี้กับหม่อมฉันไร้ประโยชน์ หม่อมฉันไม่ใช่เยียนโส่วจ้าน หม่อมฉันไม่มีทางตัดสินใจแทนเขา”

“เจ้าช่วยข้าคิด ทำอย่างไรจึงจะบีบบังคับให้เยียนโส่วจ้านยอมจำนน เยียนอวิ๋นฉวนอยู่ที่ใด”

เซียวฮูหยินก้มหน้ายิ้ม “ฝ่าบาททรงถามผิดคนแล้ว หม่อมฉันก็อยากรู้ร่องรอยของเยียนอวิ๋นฉวนอย่างมากเช่นเดียวกัน เสียดายที่เขาไม่เชื่อใจหม่อมฉัน จนถึงเวลานี้ก็ไม่เคยส่งคนมาติดต่อหม่อมฉัน ส่วนจะบีบบังคับเยียนโส่วจ้านอย่างไร หม่อมฉันแนะนำให้ฝ่าบาททรงเปลี่ยนวิธีคิด

บีบบังคับไร้ประโยชน์ แม้จะจับเยียนอวิ๋นฉวนเอาไว้ก็ไร้ประโยชน์ อย่างมากก็แค่เสียสละบุตรชายเพียงคนเดียว อย่างไรเยียนโส่วจ้านยังมีบุตรชายอีกมาก คนอย่างเยียนโส่วจ้านใช้วิธีนี้ไม่ได้ แต่ว่าหากมีผลประโยชน์ที่เพียงพอ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะหวั่นไหว”

เอ๊ะ?

ฮ่องเต้หย่งไท่ครุ่นคิดขึ้นมา

ผ่านไปเป็นเวลานาน เขาก็พูดขึ้น “ข้าต้องเสนอเงื่อนไขอย่างไร เยียนโส่วจ้านจึงจะยอมออกกองกำลัง”

เซียวฮูหยินตักเตือน “เพียงแค่คำมั่นสัญญาไม่พอ!”

“จะให้ข้ายกบัลลังก์ให้เขาหรือ” ฮ่องเต้หย่งไท่พูดด้วยความโกรธ

เซียวฮูหยินยังคงมีสีหน้าราบเรียบ ไม่ว่าฮ่องเต้จะทรงดีใจหรือโกรธ นางก็สามารถรับมือได้อย่างสงบ

นางพูดเสียงเบา “ฝ่าบาททรงเข้าพระทัยหม่อมฉันผิดแล้ว หากต้องการโน้มน้าวเยียนโส่วจ้าน นอกจากเงินและเสบียงแล้ว ก็มีแต่พื้นที่”

เงินและเสบียง?

ราชสำนักและสำนักเซ่าฝู่ไม่มีเงินและเสบียงที่เพียงพอในเวลานี้

ทั้งโจรกบฏ ทั้งช่วยเหลือผู้ประสบภัย นอกจากนี้ยังต้องจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับกองทัพและราชสำนักสำนักเซ่าฝู่กดดันอย่างมาก เงินและเสบียงอยู่ในสถานะที่ใช้มากกว่ารับ

นำเงินและเสบียงที่มากเพียงพอมาโน้มน้าวเยียนโส่วจ้าน นอกจากต้องหักจากที่อื่น

แผนการนี้ทำให้ฮ่องเต้หย่งไท่ทรงลังเลเล็กน้อย

เงินและเสบียงในแต่ละที่ล้วนจัดสรรตามมาตรฐานที่น้อยที่สุด

หากหักอีก เกรงว่าจะเกิดปัญหาใหม่

ส่วนเงินและเสบียงของกองทัพใต้และกองทัพเหนือจะแตะต้องไม่ได้เด็ดขาด

ฮ่องเต้ยังต้องอาศัยกองทัพใต้และกองทัพเหนือคุ้มกัน สยบแผ่นดิน

พื้นที่?

ฮ่องเต้หย่งไท่ครุ่นคิด “เยียนโส่วจ้านอยากได้พื้นที่ใด”

เซียวฮูหยินกระแอมไอ พลางพูดอย่างจริงจัง “เขาต้องการเมืองป๋อไฮ่!”

“เขาอยากออกทะเล?” ฮ่องเต้หย่งไท่ความคิดว่องไว เพียงแค่ชื่อสถานที่หนึ่งก็คาดเดาความคิดของเยียนโส่วจ้านได้

เซียวฮูหยินพูด “เขาอยากออกทะเลหรือไม่ หม่อมฉันไม่รู้ แต่หากฝ่าบาททรงยอมยกเมืองป๋อไฮ่แก่เขา พร้อมทั้งประกาศต่อแผ่นดิน เขาย่อมจะพยายามสุดความสามารถ ยับยั้งกองทัพซีหยงลงใต้ต่อไป โยวโจวมีภูเขามาก ภูมิศาสตร์ซับซ้อน ไม่จำเป็นต้องปะทะกับกองทัพซีหยงแบบซึ่งหน้า แน่นอน มันเป็นความคิดเห็นอันตื้นเขินของหม่อมฉัน เยียนโส่วจ้านในฐานขุนนางใหญ่ของราชสำนัก แม่ทัพในท้องถิ่น เขาย่อมมีแนวทางการรบที่ดียิ่งกว่า”

ฮ่องเต้หย่งไท่ครุ่นคิด พลางถาม “เพียงแค่ข้ายกเมืองป๋อไฮ่ให้เขา เจ้ามั่นใจว่าเขาจะออกกองกำลัง ไม่ต้องให้เสบียง?”

“เพคะ! ไม่ต้องให้เสบียงเพิ่มเติม เขาย่อมจะจัดหาเสบียงเอง อย่างมากก็แค่ปล้นซีหยง แย่งชิงเสบียงของซีหยงมาใช้กับกองทัพ”

ฮ่องเต้หย่งไท่ได้ยินจึงหัวเราะขึ้นมา “ข้ายังคงดูถูกแม่ทัพท้องถิ่นเกินไป พวกเขามีทั้งวิธีและความสามารถ แต่ไม่ยอมแบ่งเบาความกังวลแทนราชสำนักและข้า ข้าไม่ควรค่าต่อการจงรักภักดีของพวกเขาเพียงนี้เชียวหรือ”

“ฝ่าบาททรงเข้าพระทัยผิดแล้ว!”

“ข้าไม่ได้เข้าใจผิด! แม่ทัพบนแผ่นดินนี้ นอกจากแม่ทัพกองทัพเหนือที่จงรักภักดีแล้ว ผู้อื่นล้วนมีแผนการของตนเอง ล้วนต้องการกอบกุมกองกำลัง ตั้งตนเป็นขุนศึก พวกเขาไร้ซึ่งจักรพรรดิ ไร้ซึ่งราชสำนัก ยิ่งไร้ซึ่งราษฎรอยู่ในหัวใจ พวกเขาคิดแต่จะครอบครองพื้นที่ ขยายกำลังพล สร้างเสริมความสามารถให้แข็งแกร่ง”

“พวกเขาแข็งแกร่ง แผ่นดินต้าเว่ยย่อมแข็งแกร่ง”

เซียวฮูหยินพูดในสิ่งที่ตนเองก็ไม่เชื่อ

แต่นางจำเป็นต้องพูด นางจะคล้อยตามฮ่องเต้ ทำให้ฮ่องเต้ทรงกังวลไม่ได้

ผู้อื่นไม่รู้นิสัยของฮ่องเต้ แต่นางรู้

นางต้องพยายามดึงสติของฮ่องเต้กลับมา ไม่ใช่เอาแต่วิตกกังวล

เหมือนดังคำโบราณที่ว่าหากสงสัยผู้ใดย่อมไม่ใช้ผู้นั้น หากจะใช้คนผู้นั้นย่อมต้องไม่สงสัย

ด้านหนึ่งใช้คนผู้นั้น แต่อีกด้านก็ระแวง

การกระทำเช่นนี้ ไม่มีคนจะจริงใจตอบ

อย่างไรก็ตาม ฮ่องเต้ทรงเป็นคนที่มีประวัติมาก่อน

บรรดาท่านอ๋องในแผ่นดินถูกเขาปลงพระชนม์ เรียกคืนพื้นที่ศักดินา กักขังไว้ในเมืองหลวง

ตระกูลเถาถูกเขาใช้ประโยชน์แล้วทอดทิ้ง

หากเถาฮองเฮาไม่ได้ทรงช่วยเหลือ ตระกูลเถาคงล่มสลายไปแล้ว หญ้าบนสุสานก็คงสูงเท่าคนสามคน

เวลานี้ฮ่องเต้กลายเป็นศัตรูกับเหล่าขุนนาง ทั้งสองฝ่ายปะทะกันหลายต่อหลายครั้ง

ฮ่องเต้ที่ทรงเย็นชา ไร้สัจจะเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดยอมจงรักภักดี

สถานการณ์ในเวลานี้ ฮ่องเต้จำเป็นต้องทรงอนุญาตให้แม่ทัพท้องถิ่นมีแผนการของตนเอง

ถึงแม้ในอนาคตอาจเกิดเหตุการณ์ที่แม่ทัพในท้องถิ่นมีอำนาจมากกว่าก็จำเป็นต้องยอมรับ

จัดการวิกฤตใหญ่ที่สุดในเวลานี้อย่างซีหยงก่อน

รอสงครามสงบลง ค่อยมีการเคลื่อนไหวตามสถานการณ์

เพียงแต่ฮ่องเต้ไม่สามารถทรงทำให้ทุกคนไม่มีทางออก หากเขายอมเหลือทางออกไว้ให้เล็กน้อย ย่อมมีคนจงรักภักดีต่อเขามากยิ่งขึ้น

เสียดาย ฮ่องเต้ทรงไม่เข้าพระทัย

เขาถูกตามใจจนเสียนิสัย

ฮ่องเต้องค์ก่อนเป็นตัวอย่างที่ย่ำแย่มาก ทำให้ฮ่องเต้ทรงคิดว่าสามารถบรรลุเป้าหมายทุกอย่างได้ผ่านการเข่นฆ่า

ช่างโง่เขลา!

อาจารย์หยูที่อบรมฮ่องเต้ก็เป็นกลุ่มที่มีเจตนาร้าย

อย่างไรก็ตาม ฮ่องเต้ทรงเชื่อในหนทางแห่งความเด็ดเดี่ยว ไม่เชื่อในหนทางแห่งความเมตตา

ฮ่องเต้หย่งไท่จ้องมองเซียวฮูหยิน “เจ้ากำลังตักเตือนข้า อย่าแข็งกร้าวเกินไปหรือ”

เซียวฮูหยินเม้มปากยิ้ม “หม่อมฉันเพียงแค่กำลังพรรณนาเรื่องจริง ไม่มีความหมายอื่นใด แม่ทัพท้องถิ่นแข็งแกร่ง โดยเฉพาะความแข็งแกร่งของทหารชายแดนถึงจะทำให้ชาวบ้านในที่ราบลุ่มเกรงกลัวได้ ปีนี้ซีหยงกล้านำทัพลงใต้ หนึ่งเพราะพื้นที่ราบแห้งแล้ง พวกเขาเห็นว่าหมดหนทางรอด สองเพราะกองกำลังเหลียงโจวถูกโยกย้าย กำลังพลบริเวณชายแดนไม่เพียงพอ ทำให้พวกเขามีโอกาส

ฝ่าบาทอย่าได้คิดว่าซีหยงมีความสามารถจนเกินไป หม่อมฉันประจำอยู่ที่ชายแดน พอจะรู้ความคิดของพวกเขาอยู่บ้าง พวกเขาหวาดกลัวกองทัพของต้าเว่ย คราวนี้พวกเขายอมเสี่ยงลงใต้ ระหว่างทางราบรื่น แต่เหตุใดจึงไม่กล้ากระจายกำลังพล เพราะความหวาดกลัว! ความโชคดีตลอดทั้งทาง ความหวาดระแวงตลอดทั้งทาง ตราบใดที่พวกเขาพบกับขบวนใหญ่ของแม่ทัพท้องถิ่น พวกเขาก็ย่อมต้องกลัว!”

ฮ่องเต้หย่งไท่ไม่เชื่อทั้งหมด

เขาไม่เห็นความหวาดกลัวของซีหยง เห็นแต่เพียงซีหยงปล้นชิงเข่นฆ่าอย่างเหิมเกริมตลอดทาง

ไร้ซึ่งความเกรงกลัวอย่างเห็นได้ชัด

ความหวาดกลัวมาจากที่ใด

เซียวฮูหยินไม่พูดให้กระจ่าง

ความหวาดกลัวที่ว่าย่อมไม่ใช่ความหวาดกลัวที่มีต่อสำนักราชการท้องถิ่นหรือราชสำนักต้าเว่ย

หากแต่เป็นความหวาดกลัวต่อแม่ทัพชายแดนต้าเว่ย

พวกเขาหวาดกลัวกองกำลังเหลียงโจวและโยวโจว

จากการปะทะกันหลายปี ทั้งสองฝ่ายต่างรู้ความสามารถในการต่อสู้ซึ่งกันและกันอย่างดี

ซีหยงรู้ดีว่าการทำสงครามระยะยาว อีกทั้งยังปล้นชิงระหว่างทาง ทรัพยากรที่กักตุนนับวันจะยิ่งมากขึ้น ดังนั้นจึงยิ่งถ่วงการเดินทาง

หากกองกำลังเหลียงโจวไล่ล่าขึ้นมาคงจบสิ้นแล้ว!

หากกองกำลังโยวโจวดักโจมตีระหว่างทาง พวกเขาก็ต้องตายเหมือนกัน

พวกเขากลัว!

เพราะว่ากลัว ดังนั้นจึงชิงปล้นอย่างบ้าคลั่งระหว่างทาง

ฉวยโอกาสก่อนที่กองกำลังเหลียงโจวและโยวโจวจะไล่ล่ามาทัน พยายามกวาดล้างให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

หลังจากนั้นค่อยคำนึงวิธีการกลับที่ราบ

เพียงแต่คำพูดพวกนี้ เซียวฮูหยินไม่มีทางพูดออกมา

หากฮ่องเต้ทรงยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เรื่องเหล่านี้ย่อมมีคนตักเตือนเขา

แต่เห็นได้ชัดว่าคนที่ฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญในเวลานี้ ไม่มีผู้ใดรู้สถานการณ์ทางตะวันตกเฉียงเหนือ หรือไม่มีแม้กระทั่งคนที่รู้เรื่องทหารจริงๆ

ฮ่องเต้ไม่แม้กระทั่งทรงเรียกพระราชบุตรเขยหลิวเป่าผิงเข้ามาซักถามสถานการณ์ทางตะวันตกเฉียงเหนือ

ทั้งเมืองหลวง ไม่มีผู้ใดรู้จักซีหยงมากกว่าหลิวเป่าผิงอีกแล้ว

เขานำทัพตลอดปี เคยปะทะกับซีหยงไม่น้อย

ไม่แน่ว่าการเดินทัพลงใต้ของซีหยงคราวนี้ หัวหน้ากองกำลังส่วนใหญ่ เขาล้วนรู้จัก

คนที่ถือตนเป็นใหญ่เช่นนี้ เซียวฮูหยินก็หมดหนทาง

หวังว่าความจริงจะทำให้ฮ่องเต้ทรงมีสติได้ ทำให้เขาเห็นความบกพร่องของตนเอง

แต่มันเป็นไปไม่ได้

ทุกยุคทุกสมัย…

ฮ่องเต้ยิ่งชรายิ่งเลอะเลือน!

เป็นฮ่องเต้ยิ่งนานยิ่งโหดเหี้ยม

ไม่มีข้อยกเว้น!

ถึงแม้จะเป็นฮ่องเต้ผู้ทรงปรีชาสามารถในตำราประวัติศาสตร์ เมื่อถึงวัยชราก็ไร้ความสามารถเหมือนกัน!

ฮ่องเต้หย่งไท่ส่ายหน้าช้าๆ เขาไม่เชื่อคำพูดของเซียวฮูหยิน

ส่วนที่เกี่ยวกับซีหยง เขาไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว

แต่เขาเชื่อการคาดเดาของเซียวฮูหยินที่มีต่อเยียนโส่วจ้าน ใช้ผลประโยชน์เข้าล่อย่อมสามารถโน้มน้าวให้เยียนโส่วจ้านออกกองกำลัง ยับยั้งการเดินทัพลงใต้ของซีหยงอย่างสุดความสามารถ

เขาพูดกับเซียวฮูหยิน “เจ้าถอยออกไป ข้าต้องไตร่ตรองให้ดี”

เซียวฮูหยินลุกขึ้น โน้มตัวขอทูลลา แต่นางยังคงไม่ลืมเอ่ยเตือน “ฝ่าบาท ต้องทรงเร่งมือแล้วเพคะ”

“ข้ารู้! เจ้าไม่ต้องเตือน”

เซียวฮูหยินก้มหน้ายิ้ม พลันหันหลังจากไป

นางทำเรื่องที่สมควรทำแล้ว นอกจากนี้ก็พูดในเรื่องที่สมควรพูดแล้ว

ฟังไม่ฟัง เชื่อไม่เชื่อ นางควบคุมไม่ได้

สถานการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับการกระทำของฮ่องเต้

จะทำตามใจตัวเอง หรือฟังคำแนะนำจากผู้อื่น คอยดูต่อไปเถิด

เซียวฮูหยินไม่ได้ออกจากวังหลวงไปทันที

เถาฮองเฮาให้คนมาเชิญนางไปยังตำหนักเว่ยยาง

เซียวฮูหยินตอบรับด้วยความยินดี

ภายในตำหนักเว่ยยาง เถาฮองเฮารับสั่งให้คนเตรียมน้ำชาและของว่างต้อนรับเซียวฮูหยิน

“นานเท่าใดแล้วที่ข้าไม่ได้นั่งคุยกับเจ้า”

เซียวฮูหยินเม้มปากยิ้ม “ขอบพระทัยฮองเฮา! แต่หม่อมฉันกับฮองเฮาราวกับไม่เคยมีโอกาสได้นั่งคุย”

เถาฮองเฮาเปล่งเสียงหัวเราะ “ฮ่าๆ …ดูความจำของข้า จู้หยางความจำดีเสียจริง น่าเสียดาย ตอนเด็ก พวกเราไม่สามารถกลายเป็นสหายกันได้”

เซียวฮูหยินยิ้ม “แต่พวกเรากลายเป็นญาติ”

เถาฮองเฮาพยักหน้า “ช่างมหัศจรรย์เสียจริง! ข้ากับเจ้าเป็นญาติมานาน แต่มีโอกาสน้อยครั้งที่จะได้นั่งพูดคุยกัน เป็นอย่างไร ระยะนี้สบายดีหรือไม่”

“ขอบพระทัยฮองเฮา หม่อมฉันสบายดี”

“ฝ่าบาททรงกังวลเรื่องของบ้านเมือง เหน็ดเหนื่อยจนอาจหงุดหงิดง่ายไปบ้าง ขอเจ้าอภัยด้วย”

“ฮองเฮาทรงตรัสเกินไปแล้ว ฝ่าบาทเป็นจักรพรรดิ หม่อมฉันเป็นขุนนาง ไม่ว่าฝ่าบาททรงตรัสสิ่งใดทำสิ่งใด หม่อมฉันย่อมต้องปฏิบัติตาม ให้อภัยมาจากที่ใดกัน”

“ฮ่าๆ …ข้าพูดผิดแล้ว เจ้าอย่าถือสา”

“ไม่ถือสา! ฮองเฮาทรงเชิญหม่อมฉันมา คงไม่ได้เพื่อพูดคุยเท่านั้นใช่หรือไม่”

เถาฮองเฮายิ้มอย่างมีนัย “เจ้าไม่ยินดีที่จะคุยกับข้าหรือ”

เซียวฮูหยินวางถ้วยชาลง “เวลาของฮองเฮาทรงล้ำค่า หม่อมฉันจะบังอาจทำให้เรื่องสำคัญของฮองเฮาล่าช้าได้อย่างไร”

“จู้หยางช่างรอบคอบ ไม่ปิดบังเจ้า วันนี้ข้าเรียกเจ้ามาเพราะเรื่องทางตะวันตกเฉียงเหนือ ฝ่าบาทได้ทรงบังคับเจ้าหรือไม่”

เซียวฮูหยินก้มหน้ายิ้ม จากนั้นส่ายหน้าช้าๆ “ขอบพระทัยฮองเฮา ฝ่าบาททรงไม่เคยบังคับหม่อมฉัน”

เถาฮองเฮาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “จู้หยาง เจ้าอย่าได้ไม่พูดหากได้รับความไม่เป็นธรรม”

เซียวฮูหยินยิ้ม “ฮองเฮา หม่อมฉันไม่ใช่ผู้ไร้ความสามารถ!”

ความหมายโดยนัยคือ ข้าไม่ใช่คนโง่ กลอุบายต่ำช้าอย่าได้นำออกมาขายหน้า ทำให้คนดูถูก