ตอนที่ 272 อย่ายื่นมือ

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 272 อย่ายื่นมือ

เถาฮองเฮาเก็บความห่วงใยจอมปลอมกลับทันที

นางยิ้มเย้ยหยัน ล้วนเป็นจิ้งจอกพันปี แต่นางกลับใช้กลอุบายต่ำช้าต่อหน้าอีกฝ่าย ช่างตกต่ำเสียจริง

ไม่โทษเซียวฮูหยินที่พูดเสียดสี

แต่…

เถาฮองเฮามองเซียวฮูหยินด้วยรอยยิ้มรู้ทัน “น้องจู้หยางลำบากใจอย่างมากหรือ ด้านหนึ่งเป็นสามี อีกด้านเป็นบุตรชายคนโต”

“ฮองเฮาทรงต้องการพูดสิ่งใด”

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเจรจาสิ่งใดกับฝ่าบาท อีกทั้งไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงทำให้เจ้าลำบากใจหรือไม่ นอกจากนี้ยังสงสัยอย่างมากว่าเจ้าออกมาจากตำหนักซิงชิ่งได้เร็วเพียงนี้ได้อย่างไร แต่ไม่สำคัญ เรื่องสำคัญคือตะวันตกเฉียงเหนือ!”

เซียวฮูหยินเลิกคิ้ว “ตะวันตกเฉียงเหนือไม่ใช่สถานที่ที่ฮองเฮาจะทรงแตะต้องได้ ฮองเฮาทรงล้มเลิดความคิดที่ไม่ควรมีเสียดีกว่า”

“เจ้าเข้าใจข้าผิดแล้ว”

เถาฮองเฮายกแก้วชาแกว่งไปมา “ข้าพูดตามตรง น้องจู้หยางไม่มีแผนการทำอันใดเลยหรือ บุตรชายของเจ้าอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ เจ้าไม่คิดจะวางแผนแทนเขาเสียบ้างหรือ”

เซียวฮูหยินหัวเราะ “บุตรของข้า ข้าย่อมจะวางแผนแทนเขา เพียงแต่…ข้ายังคงประโยคนั้น ตะวันตกเฉียงเหนือไม่ใช่สถานที่ที่ฮองเฮาจะทรงแตะต้องได้ แม่ทัพตะวันตกเฉียงเหนือแต่ละคนนิสัยไม่ดีนัก หากมือของฮองเฮาทรงยื่นยาวเกินไปจนข้ามเส้น ระวังถูกคนตัดมือ”

“เจ้า…”

เถาฮองเฮาข่มไฟโกรธ

“ข้าไม่ได้พูดสิ่งใด เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าข้าจะแตะต้องตะวันตกเฉียงเหนือ”

“หากไม่ใช่เพราะต้องการแตะต้องตะวันตกเฉียงเหนือ เหตุใดฮองเฮาจึงทรงเรียกข้าเข้าเฝ้า ในนามพวกเราเป็นญาติกัน แต่ความเป็นจริงไม่เคยไปมาหาสู่กัน เจตนาของฮองเฮาเห็นได้อย่างกระจ่าง หากข้ายังเดาไม่ได้ ข้าคงโง่เขลานัก นอกจากนี้ระวังฝ่าบาททรงสงสัยฮองเฮาจนนำตระกูลเถามาเซ่นสวรรค์อีก”

เถาฮองเฮาโกรธจัด!

เซียวฮูหยินยิ้มอย่างรู้ทัน

เถาฮองเฮาคิดจะฉวยโอกาสที่ตะวันตกเฉียงเหนือกำลังวุ่นวายลงมือ ถามนางคงจะถามผิดคนแล้ว

ความจริงแล้ว เถาฮองเฮามีคนที่เหมาะสมในการซักถามมากกว่า ซึ่งก็คือพระราชบุตรเขย หลิวเป่าผิง

ในเมืองหลวง ไม่มีผู้ใดเข้าใจสถานการณ์ของตะวันตกเฉียงเหนือได้ดีกว่าหลิวเป่าผิง

เถาฮองเฮาข่มไฟโกรธ “นับวันเจ้ายิ่งปากคอเลาะร้าย ข้าไม่ใช่ต้องขอร้องเจ้าเท่านั้น…”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดฮองเฮาจึงต้องทรงเรียกข้าเข้าเฝ้า ฮองเฮาทรงอยากรู้เรื่องตะวันตกเฉียงเหนือ ทรงถามพระราชบุตรเขยหลิวย่อมได้ หากคิดจะบงการการตัดสินใจของเยียนโส่วจ้าน ฮองเฮาทรงหาผิดคนแล้ว หากข้ามีอิทธิพลต่อเยียนโส่วจ้าน จวนโหวจะมีเฉินฮูหยินที่กระอักกระอ่วนได้อย่างไร”

เซียวฮูหยินไม่สนใจที่จะเปิดแผลของตนเอง

เถาฮองเฮาหัวเราะขึ้นมา “ตระกูลหลิวก็เป็นญาติของเจ้า เจ้าไม่คิดจะฉวยโอกาสร่วมมือกับตระกูลหลิว?”

เซียวฮูหยินส่ายหน้าช้าๆ “ตะวันตกเฉียงเหนือไม่เกี่ยวกับข้า ส่วนบุตรชายของข้า เหมือนที่โบราณว่าไว้ บุตรหลานย่อมมีวาสนาของบุตรหลาน สิ่งที่ควรเป็นของเขา ผู้อื่นแย่งไปไม่ได้ ข้าไม่กังวล”

“เจ้าไม่อยากฟังเงื่อนไขของข้า?”

เซียวฮูหยินไม่อยาก

นางไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ รวมทั้งตระกูลเถา

ถึงแม้องค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้จะมีโอกาสชนะอย่างมาก แต่นางก็ไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้อง

เพราะคนของราชวงศ์ไม่คุณค่าแก่การเชื่อใจ

ร่วมมือ?

เฮอะๆ …

อาจประสบความสำเร็จ แต่ก็อาจต้องกลายเป็นเถ้ากระดูก ตระกูลล่มสลาย

นางไม่ใช่คนที่มีความทะเยอะทะยาน ยิ่งไม่ใช่นักพนัน

นางไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตของตนเองและครอบครัวไปพนันกับมโนธรรมของเถาฮองเฮา

การถีบหัวส่งหลังจากหลอกใช้ประโยนชน์ไม่ใช่สิทธิของฮ่องเต้หย่งไท่แต่เพียงผู้เดียว

มันเป็นสัญชาตญาณที่ซ่อนไว้ในสายเลือดขอทุกคนในงราชวงศ์

เถาฮองเฮาเห็นทั้งไม้อ่อนและไม้แข็งล้วนใช้กับนางไม่ได้ แม้ภายในใจจะไม่พึงพอใจอย่างมาก แต่ก็ทำอันใดไม่ได้

“เจ้าถอยออกไป!”

นางขับไล่ทันที

คนที่ไม่มีมูลค่าในการร่วมมือก็ไม่จำเป็นต้องคุยต่อไป

เซียวฮูหยินลุกขึ้น โน้มตัวเล็กน้อย พลันหันหลังเดินออกจากตำหนักเว่ยยาง

เถาฮองเฮามองแผ่นหลังของนางพลันหัวเราะเสียงเย็น

“ใช้ไม่ได้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง ไม่นานเจ้าต้องเสียใจ”

เหมยเส้าเจี้ยนปลอบ “ฮองเฮาทรงระงับความโกรธ!”

เถาฮองเฮาตำหนิ “ข้าไม่ได้โกรธ!”

“กระหม่อมมีความผิด!”

ไม่ว่าจะผิดหรือไม่ ยอมรับผิดก่อนย่อมไม่ผิด

“ไม่รู้ดีชั่ว!” เถาฮองเฮาตำหนิ จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมา “หากนางรับปากข้าทันที ข้าคงต้องสงสัยในเจตนาของนาง ปฏิเสธก็ดี ข้าก็ไม่อยากเห็นใบหน้าของนาง”

เซียวฮูหยินออกจากวังหลวงอย่างราบรื่น

เยียนอวิ๋นเกอเดินเข้าไปหา

เซียวฮูหยินยิ้มให้นาง “ขึ้นรถม้าก่อน”

ทั้งสองต่างโล่งใจอย่างมาก

สถานการณ์ที่แย่ที่สุดไม่ได้เกิดขึ้นก็คือเรื่องทีดีที่สุด

บนถนน คึกคักกว่าปีที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด

ร้านค้าสองข้างทาง ลูกค้าที่มาเยือนก็มากขึ้นเป็นจำนวนมาก

ปีนี้อย่างน้อยก็มีฝนตกลงมาหลายรอบ ถึงแม้แปลงนาจะแห้งมาก แต่ก็ไม่แห้งจนถึงกับไม่มีสิ่งใดงอกเงยออกมาเหมือนปีที่แล้ว

อย่างน้อยลำธารและแม่น้ำก็ไม่ปรากฏเหตุการณ์ขาดสาย

ปีที่แล้วเป็นภัยแล้งอย่างแท้จริง ตลอดเวลาหนึ่งปี ไม่มีฝนตกลงมาแม้แต่หยดเดียว

แปลงนาแห้งแตก ผลผลิตเหี่ยวเฉา แม้แต่หญ้าริมทางที่มีพลังชีวิตแข็งแกร่งที่สุดก็ไม่สามารถอยู่รอดได้

พื้นที่ที่ร้ายแรงที่สุด สัตว์ไม่มีน้ำดื่ม หิวกระหายจนตาย

ส่วนคนต้องอาศัยการดื่มเลือดจากสัตว์ประทังชีวิต

ช่างอนาถเสียจริง

ปีนี้อย่างน้อยก็มีฝนตกโปรยปราย พอที่จะปลอบประโลมจิตใจของผู้คนได้บ้าง

พืชพันธุ์ถูกปลูกลงไปแล้ว จะมีผลผลิตอย่างไร มีเพียงรอจนถึงฤดูใบไม้ร่วง

เซียวฮูหยินที่เงียบเป็นเวลานานในที่สุดก็เอ่ยปากขึ้น

“พระอาการของฝ่าบาทไม่ดีนัก!”

เอ๊ะ?

เยียนอวิ๋นเกอรอคอยประโยคถัดไปอย่างไร้เสียง

เซียวฮูหยินพิงลงบนผนังรถม้า ทั้งตัวผ่อนคลาย

“ฝ่าบาททรงชราลงเร็วมาก ทั้งผมทั้งเคราก็ขาวเกือบหมด คนก็ผอมลงไปมาก สภาพจิตใจไม่ดีนัก”

“พระวรกายของฝ่าบาทไม่ดี แสดงว่ามีคนใกล้จะอดทนรอที่จะเคลื่อนไหวไม่ไหวแล้ว?” เยียนอวิ๋นเกอพูดเสียงเบา

เซียวฮูหยินพยักหน้า “วันนี้ข้ายังได้เข้าเฝ้าเถาฮองเฮา เห็นได้ชัดว่านางใกล้จะนั่งไม่ติดแล้ว อยากจะฉวยโอกาสปั่นป่วยอย่างมาก แต่ว่าข้าปฏิเสธเถาฮองเฮาไปแล้ว เฮ้อ…”

นางถอนหายใจ

พระวรกายของฝ่าบาทเริ่มย่ำแย่ลง พระราชวัง เมืองหลวง แผ่นดินต้าเว่ย เกรงว่าจะก่อเกิดพายุโหมกระหน่ำอีกครั้ง

“ท่านแม่ไม่ต้องกังวล รถถึงหน้าเขาย่อมมีทาง หากไม่มีทาง พวกเราก็เปิดทางเอง”

เซียวฮูหยินหัวเราะ “ข้าแค่กังวลว่าพระอาการของฝ่าบาทไม่ทรงดีขึ้น การกระทำของพระองค์จะยิ่งบ้าคลั่ง ยิ่งไม่สนใจผลที่ตามมา”

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะเย้ยหยัน “ฮ่องเต้ทรงคิดว่าตนเองเป็นกษัตริย์ผู้ปรีชาในประวัติศาสตร์ เป็นกษัตริย์ที่มีความสามารถที่สุดในหนึ่งร้อยกว่าปีของราชวงศ์ต้าเว้ย ปลงพระชนม์บรรดาท่านอ๋อง ปะทะกับตระกูลขุนนาง ปราบปรามโจรกบฏ สังหารชนเผ่าอื่น…เขาทำคนเดียวจนครบ กษัตริย์ผู้ปรีชาย่อมต้องมีการกระทำที่ไม่ผิดต่อแผ่นดิน หากเขาทำตามใจของตนเอง จะเรียกแทนตนเองว่าเป็นกษัตริย์ผู้ปรีชาอย่างไร้ยางอายได้อย่างไร”

เซียวฮูหยินไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะ “พูดเช่นนี้ไม่ได้ เวลานี้เขาไม่สนใจชื่อเสียง เวลานี้เขาแค่อยากสยบสถานการณ์วุ่นวาย คืนความสงบสุขและความรุ่งโรจน์ให้แผ่นดิน”

“คืนความสงบสุขให้แผ่นดินย่อมสามารถทำได้ แต่ความรุ่งโรจน์ ยุคสมัยนี้ยังกล้าเรียกว่ารุ่งโรจน์ หน้าคงหนากว่ากำแพงเมืองเสียอีก”

เยียนอวิ๋นเกอยิ้มเสียดสี นางมองไปนอกหน้าต่างรถ สถานการณ์เช่นนี้คู่ควรกับการเรียกว่ารุ่งโรจน์?

ผู้คนมีมาตรฐานต่อความรุ่งโรจน์ต่ำไปหรือไม่

เซียวฮูหยินมองเยียนอวิ๋นเกอ พูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่สงสัยหรือว่าข้าพูดเรื่องใดกับฝ่าบาทจึงออกจากวังมาได้เร็วเพียงนี้”

เยียนอวิ๋นเกอยิ้มตาหยี “ท่านแม่ฉลาดปราดเปรื่อง สามารถโน้มน้าวฮ่องเต้ได้ ฮ่องเต้ย่อมไม่ทำให้ท่านแม่ลำบากใจ”

“ฮาๆ…”

เซียวฮูหยินเปล่งเสียงหัวเราะ อารมณ์ดีอย่างมาก

หลังจากหัวเราะ นางจึงเอ่ยขึ้น “ข้าทูลต่อฝ่าบา หากต้องการให้เยียนโส่วจ้านบิดาของเจ้ายอมจำนน การบีบบังคับนั้นไร้ประโยชน์ สู้ใช้ผลประโยชน์ในการหลอกล่อ ใช้เมืองป๋อไฮ่แลกกับการที่บิดาของเจ้ายอมออกกองกำลังยับยั้งกองทัพซีหยง ฝ่าบาททรงยอมรับความคิดเห็นของข้าแล้ว หลังจากกลับไป เจ้าเขียนจดหมายให้อวิ๋นถง ให้เขาไปปักหลักที่เมืองป๋อไฮ่”

“ข้อเสนอของท่านแม่เปรียบช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก”

เยียนอวิ๋นเกอตื่นเต้นขึ้นมา

การได้ครอบครองทางออกทะเลดีกว่าสิ่งอื่นใด

เซียวฮูหยินบีบแก้มของเยียนอวิ๋นเกอ “โชคดีที่เจ้าเตือนข้า เจ้าพร่ำบ่นอยู่เสมอว่าหากมีโอกาสจะไปดูชายฝั่งและนอกทะเล นอกทะเลดีเพียงนั้นจริงหรือถึงทำให้เจ้าระลึกเพียงนี้”

“นอกทะเลดีหรือไม่ ข้าก็ไม่รู้ เพียงแต่โลกใหญ่เพียงนี้ ไม่ไปดูคงเสียดาย ข้ายังได้ยินมาว่า ทำการค้าทางทะเลได้เงินดีมาก ไม่มีผู้ใดไม่ชอบมีเงินมาก”

“สมกับเป็นเจ้าเด็กรักเงิน”

แม่ลูกสองคนคุยเล่นจนกลับไปถึงจวนท่านหญิง

เมื่อลงจากรถม้า พ่อบ้านเดินขึ้นหน้า พูดด้วยเสียงกระซิบ “ตอนที่คุณหนูสี่ออกจากจวน มีคนแอบส่งจดหมายฉบับหนึ่งมา บอกว่าต้องให้คุณหนูสี่เปิดเอง”

“จดหมายที่แอบส่งมา?”

“แอบส่งมาขอรับ”

“รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใดหรือไม่ เคยเห็นหน้าหรือไม่”

“ไม่เคยเห็น ไม่คุ้นหน้าเลยขอรับ”

เยียนอวิ๋นเกอมองจดหมายในมือ ภายในใจเกิดความคาดเดา

แม่นมชิวเดินขึ้นหน้า “บ่าวดูแทนคุณหนูก่อนเจ้าค่ะ”

เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า

แม่นมชิวเชี่ยวชาญด้านการรักษาและยาพิษ นางตรวจสอบจดหมายอย่างละเอียด มั่นใจไว้ไร้พิษ

“คุณหนูเปิดจดหมายได้อย่างวางใจเจ้าค่ะ”

เยียนอวิ๋นเกอถือจดหมายไปถึงห้องตำรา หลังจากนั่งลงจึงเปิดออก

โอ้ย…

จดหมายจากเยียนอวิ๋นฉวนจริงด้วย

มิน่าถึงได้ทำลับๆ ล่อๆ ทำเป็นลึกลับ

เมื่ออ่านเนื้อหาในจดหมายจบ เยียนอวิ๋นเกอก็หัวเราะร่าด้วยความตลก!

——————-