ในขณะที่พูดอยู่นั้นฟู้เจียนปอจึงอดไม่ได้ที่ดึงเฉียวโยวโยวเดินออกจากระเบียงทันที
เฉียวโยวโยวไม่ได้มีแรงเหมือนเขา เธอพยายามชักมือออกจากเขา แต่เธอกลับดึงมือไม่ออก
ฟู้เจียนปอพาเธอไปนั่งที่หน้าเตียงของคุณแม่ฟู้ เขาพูดอย่างใจเย็นว่า: “คุณแม่ครับ คุณแม่พักผ่อนเยอะ ๆนะครับ ผมยังมีโยวโยวคอยดูแลอยู่เคียงข้าง คุณแม่ไม่ต้องห่วงเป็นห่วงนะครับ ผมกับโยวโยวเราสบายดีครับ เรายังคงรอให้คุณแม่มาเข้าร่วมพิธีงานแต่งของเราอยู่นะครับ!”
เมื่อเฉียวโยวโยวฟังเขาพูดจบแล้ว แล้วอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเขา เธอกำลังจะเปิดปากพูดอะไรบางอย่าง แต่ฟู้เจียนปอกลับพูดขึ้นก่อนว่า: “เดี๋ยวผมจะออกไปถามอาการของคุณแม่กับพยาบาลหน่อย”
ในขณะที่พูดอยู่นั้น เขาจึงปล่อยเฉียวโยวโยวและรีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วแล้วเดินตรงไปทางพยาบาล
เฉียวโยวโยวมองตามหลังฟู้เจียนปอที่เดินออกไป จากนั้นเธอก็ถอนหายใจเฮือกออกมา
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ และคุณแม่ฟู้ยังไม่ฟื้น แต่ฟู้เจียนปอยังคงยืนอยู่หน้าห้องตลอดเวลา ดูเหมือนต้องการจะหลีกเลี่ยงการพูดคุยกับเธอ และไม่กล้าเข้ามาอีกเลย
จนกระทั่งเฉียวโยวโยวเห็นว่าข้างนอกท้องฟ้ามืดแล้ว เธอนึกขึ้นได้ว่าฟู่สีเกอยังรออยู่ด้านล่างบนถนนตรงข้ามโรงพยาบาล เธอจึงหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอและเดินไปที่ระเบียง และกำลังจะโทรหาเขาเพื่อบอกเขาว่าไม่ต้องรอแล้ว ให้เขาไปทานข้าวก่อนได้เลย
แต่เธอแค่เดินไปถึงที่ระเบียงฟู้เจียนปอก็เดินเข้ามา
ไม่รู้ว่าเขาไปโทรสั่งเดลิเวอรี่ตอนไหน เขาถือถุงใส่อาหารอยู่ในมือ และทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย แล้วพูดกับเฉียวโยวโยว: “โยวโยวถึงเวลาทานอาหารเย็นแล้ว”
เฉียวโยวโยวมองไปที่โลโก้ของร้านเดลิเวอรี่ ในใจของเธอก็รู้สึกขมขื่นมากขึ้นไปอีก
ร้านนั้นเป็นร้านอาหารกว่างซีที่พวกเขามักไปทานเป็นประจำ และที่เธอโปรดปรานที่สุดก็คือบะหมี่หอยหวาน
เมื่อฟู้เจียนปอเดินเข้ามาใกล้ เฉียวโยวโยวก็ได้กลิ่นบะหมี่หอยหวานทันที
เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาของเธอซับซ้อนลังเล: “เจียนปอ อย่าเป็นแบบนี้ เมื่อกี้นี้ฉัน ……”
“ทานตอนร้อนเถอะ! คราวนี้พวกเขาใส่หน่อไม้เปรี้ยวเพียงพอแล้ว ทุกครั้งคุณจะบ่นว่าหน่อไม้เปรี้ยวน้อยเกินไปไม่ใช่หรือ? ผมขอให้พวกเขาเพิ่มอีกสองเท่า” ในขณะที่เขาพูดอยู่นั้น ฟู้เจียนปอวางถุงลงบนเครื่องทำชา และเอาของเฉียวโยวโยวออกมา
“เจียนปอ–” เฉียวโยวโยวไม่ได้เข้าไปหาเขา: “ฉัน–”
“โยวโยว ผมหิวมาก ผมไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เที่ยงแล้ว ขอผมทานข้าวเย็นให้เสร็จก่อนได้ไหม?” น้ำเสียงของฟู้เจียนปอเต็มไปด้วยการขอร้องอ้อนวอน
อยู่ ๆ เฉียวโยวโยวก็จุกจนพูดอะไรไม่ออกชั่วขณะหนึ่ง
เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและส่งข้อความถึงฟู่สีเกอ โดยบอกว่าเธอไม่สามารถออกไปตอนนี้ได้ และบอกให้เขากลับไปก่อน แล้วเธอก็มาที่โต๊ะชงชา
ทั้งคู่ไม่พูดอะไรกัน ในห้องพักฟื้นคนไข้ ยกเว้นมีเสียงทานบะหมี่แล้วทั้งห้องก็เงียบสงัด
แม้ว่าฟู้เจียนปอจะทานได้ช้ามาก แต่บะหมี่หอยหวานหนึ่งชาม สุดท้ายแล้วมันก็ต้องทานหมดอยู่ดี
เขาวางตะเกียบลงและมองไปที่เฉียวโยวโยว
ปกติแล้วเธอทานได้ช้ากว่าเขามาก แต่วันนี้เธอกลับวางตะเกียบลงก่อน
“เจียนปอ” เฉียวโยวโยวก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน แต่เธอก็ตัดสินใจพูดขึ้นว่า: “สิ่งที่ฉันพูดกับคุณที่ระเบียงนั้นฉันพูดจริงจังนะ”
“พรึ่บ!” ตะเกียบตกลงบนพื้น และฟู้เจียนปอก็ก้มตัวเก็บขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ลูกกระเดือกในลำคอของเขากลิ้งหลายครั้ง และใช้เวลานานก่อนที่เขาจะทำเสียงขมขื่นจะดังขึ้น: “ทำไม?โยวโยว ผมไม่ดีตรงไหนเหรอ ผมสามารถเปลี่ยนได้นะ คุณให้โอกาสผมอีกครั้งได้ไหม ผมขอร้อง!”
“ไม่” เฉียวโยวโยวส่ายหัว ไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้นในอดีตอีกแล้ว ดวงตาของเธอก็ร้อนผ่าวเล็กน้อย: “เพราะตอนนี้เราไม่เหมาะสมกันแล้ว ฉันไม่มีความรู้สึกแบบนั้นเหมือนเช่นในอดีตอีกแล้ว”
“โยวโยว คุณชอบคนอื่นแล้วใช่ไหม?” ฟู้เจียนปอรู้สึกตื่นตระหนกในใจอย่างมาก เขาเอื้อมมือมาบีบไหล่เฉียวโยวโยว: “โยวโยว ข้างนอกนั้นมีคนเลวมากมาย คุณไร้เดียงสาขนาดนั้นและอาจถูกหลอกได้อย่างง่ายดาย! คุณเชื่อผมเถอะ มีเพียงผมเท่านั้นที่ดีต่อคุณที่สุด! หลังจากที่เราแต่งงานกัน ผมจะปฏิบัติต่อคุณอย่างดี เหมือนกับที่เราเป็นอยู่ในตอนนี้!”
“เจียนปอ ฉันย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว……” เฉียวโยวโยวส่ายหัว
“ทำไมล่ะ! ?” ฟู้เจียนปอเพียงรู้สึกว่าโลกของเขากำลังพังทลายลง: “ผมจะไม่เลิก! โยวโยว ฉันจะคิดว่าคุณแค่รู้สึกเหนื่อยจึงพูดแบบนี้ออกมา! คุณกลับไปพักผ่อนที่บ้านสักพัก แล้วพรุ่งนี้มันก็จะดีขึ้น! ผมจะรอคุณ ผมจะให้เวลากับคุณ……”
ในขณะที่พูดอยู่นั้น เขาก็ลุกขึ้นและผลักเฉียวโยวโยวออกไป
และในขณะนั้น คุณแม่ฟู้ที่นอนพักฟื้นอยู่บนเตียงก็ไอออกมา
ทั้งสองตัวสั่นเทาชั่วขณะ และมองไปทางเตียงคนไข้พร้อมกัน
เห็นแค่เพียงคุณแม่ฟู้ค่อย ๆลืมตาขึ้น
“คุณแม่!” ฟู้เจียนปอรีบวิ่งเข้าไปข้างเตียง
“คุณป้าคะ!” เฉียวโยวโยวก็เดินเข้าไปด้วย
“เจียนปอ, โยวโยว……” คุณแม่ฟู้พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาไม่ชัดเจน: “ฉัน เกิดอะไรขึ้น?”
“คุณแม่ คุณแม่ไม่เป็นไร แค่ความดันเลือดสูงขึ้นและคุณแม่ก็เป็นลมไปเท่านั้น ” ฟู้เจียนปอพูดปลอบโยน: “คุณแม่ไม่ต้องกลัวนะครับ เติมน้ำเกลือเดี๋ยวก็หายแล้วครับ!”
“โอ้” คุณแม่ฟู้พยักหน้า เธอขยับร่างกาย แต่พบว่าร่างกายของเธอชาเล็กน้อย เธออดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกและพูดว่า: “เจียนปอทำไมแม่ขยับเขยื้อนไม่ได้เลย?”
“แม่ครับ เป็นเพราะคุณแม่เป็นลมยังไม่หายดี คุณแม่จะทำอะไรครับ ผมจะช่วยคุณแม่เองครับ? ” ฟู้เจียนปอกล่าว
“แม่อยาก……” คุณแม่ฟู้คิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ดูเหมือนเธอไม่รู้ว่าตัวเองต้องการจะทำอะไร
อย่างไรก็ตาม คำพูดที่เธอได้ยินซึ่งกึ่งหลับกึ่งตื่นนั้นยังก้องอยู่ในหูของเธอ และเธอก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่ฟู้เจียนปอ: “เจียนปอ ลูกและ โยวโยว? พวกลูกต้องการ ต้องการจะเลิกกันเหรอ?!”
หัวใจของเฉียวโยวโยวตกไปอยู่ตาตุ่มทันที สิ่งที่เธอกลัวที่สุดคือการกระตุ้นทำให้ผู้สูงอายุอาการทรุดลง แต่ดูเหมือนว่าเมื่อสักครู่นี้เธอจะได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดกันบนโซฟาไปหมดแล้ว!
มือข้างหนึ่งของฟู้เจียนปอรีบกุมมือคุณแม่ฟู้ และมืออีกข้างหนึ่งกุมมือของเฉียวโยวโยว ยิ้มพร้อมพูดว่า: “คุณแม่ครับ คุณแม่หูฝาดไปหรือเปล่าครับ ผมและโยวโยวเรากำลังจะแต่งงานกันแล้ว เราจะเลิกกันได้อย่างไรครับ? คุณแม่อย่าคิดมากนะครับ เวลานี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณแม่ต้องพักผ่อนเยอะ ๆนะครับ!”
คุณแม่ฟู้พยักหน้าด้วยความงุนงง แต่ก็ยังมองเฉียวโยวโยวอย่างไม่สบายใจ: “โยวโยว ลูกจะไม่ทิ้งเจียนปอไปใช่ไหม?”
เฉียวโยวโยวถอนหายใจออกมาอยู่ครู่หนึ่ง เวลานี้เธอไม่รู้ว่าเธอจะพูดความจริงหรือพูดโกหกดี
เมื่อคุณแม่ฟู้เห็นเธอไม่พูดอะไร ทันใดนั้นเธอก็กังวลใจขึ้นมา
เธอไออย่างต่อเนื่องหลายครั้ง ไอจนหน้าเริ่มแดง รู้สึกลิ้นของเธอพันกันไปเรื่อย: “โยวโยว ลูกสะใภ้ของฉัน หนู……”
“คุณแม่ อย่ากังวลใจไปเลย!” ฟู้เจียนปอตื่นตระหนกชั่วขณะ: “คุณหมอบอกว่าคุณแม่ต้องควบคุมอารมณ์เพื่อไม่ให้ความดันโลหิตของคุณแม่สูงขึ้นนะครับ!”
เมื่อเฉียวโยวโยวเห็นว่าคุณแม่ฟู้จ้องเธอตาไม่กระพริบ เธอก็ไม่กล้าพูดออกมา เธอส่ายหัวอย่างรวดเร็วแล้วพูดว่า: “คุณป้าคะ คุณป้าหูฝาดไปแล้วค่ะ หนูและเจียนปอไม่ได้เลิกกันค่ะ คุณแม่โปรดวางใจเถอะค่ะ คุณแม่ไม่ต้องคิดมากแล้วนะคะ!”
หลังจากที่ฟู้เจียนปอฟังเธอแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะมองและยิ้มให้เฉียวโยวโยว
เฉียวโยวโยวกระตุกมุมริมฝีปากของเธอและยิ้มให้ฟู้เจียนปอ
เมื่อเห็นสิ่งนี้ในที่สุดคุณแม่ฟู้ก็รู้สึกโล่งใจ เธอค่อย ๆ ผ่อนคลายลง และสีหน้าของเธอก็ค่อย ๆดีขึ้น
ภายใต้ฤทธิ์ของยา คุณแม่ฟู้ก็ผล็อยหลับไป ขณะที่เฉียวโยวโยวนั่งอยู่ข้างเตียงคนไข้ เธอก็ไม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไรต่อไปอยู่พักหนึ่ง
ห้องพักฟื้นคนไข้เงียบมาก และเพื่อคุณแม่ฟู้จะได้นอนหลับพักฟื้นอย่างสบายใจจึงหรี่ไฟให้มืดลง มีเพียงไฟนอกหน้าต่างสูงที่ส่องเข้ามาอย่างสลัวเท่านั้น
เข็มนาฬิกาเดินวนไปรอบ ๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า และในที่สุดฟู้เจียนปอก็ทำลายความเงียบในห้องนั้นและพูดว่า: “โยวโยว คุณกลับไปนอนพักผ่อนที่บ้านก่อนเถอะ ที่นี้มีผมเฝ้าคนเดียวก็พอแล้ว ”
เฉียวโยวโยวเหลือบมองคุณแม่ฟู้แวบหนึ่ง แม้ว่าจะกังวลใจมาก แต่เธอก็พยักหน้าและพูดว่า: “โอเค งั้นฉันไปก่อนนะ แล้วพรุ่งนี้ฉันจะกลับไปมาหาคุณป้าใหม่”
ฟู้เจียนปอยืนขึ้น: “ผมจะไปส่งคุณ”
“ไม่ต้องแล้ว คุณป้าต้องมีคุณดูแลอยู่ใกล้ ๆ” เฉียวโยวโยวกล่าว
“ตอนนี้ก็สี่ทุ่มแล้ว ผมจะส่งคุณขึ้นแท็กซี่ก่อน ผมถึงจะวางใจ” ฟู้เจียนปอยืนกราน: “ที่นี่มีพยาบาล ผมจะออกไปแค่ครู่เดียว ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก”
เฉียวโยวโยวไม่พูดอะไรอีก แต่เดินตามหลังฟู้เจียนปอออกไป
ทั้งสองไม่ได้คุยกันจนกระทั่งมาถึงหน้าประตูโรงพยาบาล
เฉียวโยวโยวกำลังจะเอื้อมมือออกไปโบกแท็กซี่ แต่ฟู้เจียนปอกลับเรียกเธอ: “โยวโยว!”
เธอหันหน้ากลับไป แต่ทันใดนั้นเขาก็ยื่นแขนออกมาและกอดเธอแน่น: “โยวโยว คุณแม่ของผมไม่สามารถตกใจได้และกังวลใจได้ คุณได้ยินสิ่งที่พยาบาลพูดแล้วใช่ไหม ถ้าความดันโลหิตสูงขึ้นก็มีแนวโน้มว่าจะเกิดเลือดคลั่งในสมองได้อีก และถ้ามีครั้งที่สอง เส้นเลือดในสมองจะแตก และอาจจะ……”
เขาไม่ได้พูดต่ออีก แต่เฉียวโยวโยวก็เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด ฟู้เจียนปอไม่ได้เจตนาพูดให้เธอตกใจ
หัวใจของเธอก็วุ่นวายและสับสนมากเช่นกัน หัวใจของเธอก็เต็มไปด้วยความเศร้าโศก ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฟู้เจียนปอความสัมพันธ์ในครั้งนี้จะยังคงรักษาให้อยู่ต่อไปได้โดยต้องใช้ชีวิตของคนที่รักและเอ็นดูเธอที่สุดมาเป็นเครื่องต่อรองแบบนี้?
ก่อนหน้านี้เห็นได้ชัดว่าในสายตาของคนอื่นพวกเขาเป็นคู่รักที่เหมาะสมที่สุดในโรงเรียน แต่กลับคาดไม่ถึงว่า ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะมีวันนี้……
เฉียวโยวโยวรู้สึกว่าหัวใจของเธอดูเหมือนจะถูกบางสิ่งขวางกั้น มันรู้สึกฝาดและอึดอัดอย่างยิ่ง
หลายปีผ่านไป แม้ว่าคุณจะย้อนอดีตไม่ได้ แต่คุณก็ยังรู้สึกไม่สบายใจและปวดใจหากคุณต้องการเอาคนๆ หนึ่งออกจากชีวิต
“โยวโยว คุณจำสิ่งที่เราเคยพูดในอดีตได้ไหม?” ฟู้เจียนปอพูดกระซิบข้างหูของเธอ: “ผมรักคุณ ผมนึกไม่ออกจริง ๆ เลยว่าจะเป็นอย่างไรถ้าไม่มีคุณ……”
“เจียนปอ ฉันขอโทษ ฉันคิดว่าฉัน……” เฉียวโยวโยวกัดฟันของเธอ: “บางที ฉันคิดว่าฉันอาจจะรักคนอื่นแล้วจริง ๆ”
เธอรู้สึกว่า เธอจำเป็นต้องพูดเช่นนี้ ถึงจะทำให้เขาตายใจได้ แม้ว่าจนถึงตอนนี้เธอจะยังไม่แน่ใจว่า ความรู้สึกใจเต้นและหวั่นไหวที่เธอมีต่อฟู่สีเกอแบบนั้นนับว่าเป็นความรักหรือไม่
ฟู้เจียนปอตัวสั่นไปทั้งตัว: “โยวโยว คุณพูดว่าอะไรนะ? ไม่ คุณแค่ถูกคนแปลกหน้าดึงดูดโดยเพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นเองใช่ไหม? คนที่คุณกำลังพูดถึงอยู่คือใคร?เราลืมมันไปด้วยกันดีไหม?”
เฉียวโยวโยวไม่ต้องการให้ฟู่สีเกอมีความเกี่ยวข้องในความสัมพันธ์ระหว่างเธอและเขา ดังนั้นเธอจึงพูดไปเรื่อยว่า: “บริษัทของเรามีหุ้นส่วนที่ยังเด็กอยู่คนหนึ่งและเขามีความก้าวหน้าสูง”
“โยวโยว ผมรู้ว่าเราอยู่ด้วยกันมาเป็นเวลานาน และเราสูญเสียความตื่นเต้นและความสดใหม่ไปมาก แต่ชีวิตก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?” ฟู้เจียนปอกล่าว: “ผมรู้ว่าคุณแค่หลงใหลด้วยอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น ผมจะให้เวลาคุณจัดการกับอารมณ์ของคุณ เรามาลืมอดีตทั้งหมดที่ผ่านมาไปให้หมด แล้วมาเริ่มต้นใหม่ด้วยกันดีไหม?”
เขายังคงจำประสบการณ์เรื่องระยำที่เขาได้ทำลงไปสมัยเมื่ออยู่ต่างประเทศได้
ในเวลานั้น บางทีอาจเป็นเพราะสรีรวิทยา หรืออาจเป็นเพราะความรักที่อยู่ห่างกันนานเกินไป และในเวลานั้นก็ทนกับสิ่งล่อใจไว้ไม่อยู่ แต่อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วเขาก็กลับมาแล้ว และรักเธอมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก
ดังนั้น ฟู้เจียนปอเชื่อว่า เฉียวโยวโยวสามารถหวนคืนกลับมาได้อีกครั้ง!
“เจียนปอ หัวใจของฉันสับสนวุ่นวายมาก คุณอย่าทำแบบนี้ ให้เวลาฉันได้คิดทบทวนสักพักเถอะนะ!” เฉียวโยวโยวกล่าว
“โยวโยว ได้โปรด อย่าเลิกกันเลยนะ” น้ำเสียงของฟู้เจียนปอสั่นสะท้าน: “ผมกำลังจะสูญเสียคนที่รักที่สุดไป มาตอนนี้แม้แต่คุณยังต้องการที่จะทิ้งผมไปอีกคนเหรอ?ผมรู้สึกเจ็บปวดมาก ผมไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดขนาดนี้มาก่อน ผมไม่อยากเสียใครไปทั้งนั้น !ขอร้องคุณได้ไหม อย่าทิ้งผมไปในขณะที่ผมกำลังจะสูญเสียคนที่ผมรักที่สุดเลยนะ……”
ความเยือกเย็นที่ตกลงมาจากคอและร่างกายที่สั่นเทาของฟู้เจียนปอ ทำให้หัวใจของเฉียวโยวโยวก็รู้สึกเจ็บปวดเช่นกัน
เมื่อเห็นเธอไม่พูดอะไร เขาก็กระชับแขนและพูดอย่างประนีประนอมว่า: “หรือให้โอกาสผมอีกสักครั้ง เรารอให้คุณแม่อาการดีขึ้นแล้ว ถ้าหากคุณยังเต็มใจ เราค่อย ค่อย……”