บทที่ 193 ไม่รู้ว่าเขาจะคิดอย่างไร

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 193 ไม่รู้ว่าเขาจะคิดอย่างไร

เช้าวันต่อมา

หลินเหราไม่ได้ตื่นขึ้นมาฝึกวิชาหมัดในลานบ้านเช่นทุกที แต่กลับเฝ้าเหยาซูจนกระทั่งนางสะดุ้งตื่น

เหยาซูที่กำลังสะลึมสะลือสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเขา จึงลืมตาเพียงครึ่งหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อนเล็กน้อยว่า “กี่ยามแล้วหรือ?”

ความจริงแล้วนางง่วงมาก หญิงสาวจึงพลิกตัวอีกครั้ง จากนั้นก็มุดศีรษะเข้าไปใต้ผ้าห่มก่อนจะได้ยินหลินเหราพูดว่า “ยังเช้าอยู่ เจ้านอนต่ออีกสักหน่อยเถอะ”

อาจื้อและอาซือตื่นนอนแล้ว ทั้งสองคนวิ่งไปเล่นกับเหยาเอ้อหลางที่บ้านของผู้เป็นลุงตั้งแต่เช้า

เหยาซูไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของเด็กทั้งสองคนแต่อย่างใด เมื่อคิดว่าตัวเองคงตื่นเช้าเกินไปจริง ๆ จึงหลับอย่างสบายใจอีกครั้ง

หลินเหราเก็บกวาดทุกอย่างในบ้าน ก่อนจะมาจูบหน้าผากของเหยาซู ริมฝีปากบางกระตุกยิ้ม จากนั้นเขาค่อยไปยังจวนตรวจการ

กระทั่งเหยาซูที่หลับไปแล้วตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นางพลันเห็นท้องฟ้าที่สว่างจ้า ทุกอย่างในบ้านเงียบสงัด ไม่มีใครอยู่แม้แต่คนเดียว

แม้แต่ซานเป่าที่ควรจะหลับปุ๋ยเหมือนลูกหมูบนเตียงก็ไม่เห็น หญิงสาวบิดเอวด้วยความเกียจคร้าน พร้อมคิดในใจ ‘น่าจะถูกหลินเหราอุ้มไปบ้านพี่รองแล้วกระมัง’

เหยาซูสวมเสื้อคลุมตัวนอก รู้สึกเหนื่อยล้าไปทั่วทั้งร่างกาย แขนก็ปวดขาก็เมื่อยมากทีเดียว

“ต้าเป่า เอ้อเป่า!” หญิงสาวเอ่ยตะโกนเรียกอยู่ในลานบ้าน

ไม่มีเสียงตอบรับ

เหยาซูจึงไปกินอาหารเช้าในครัวก่อน จากนั้นก็จัดการตัวเองสักครู่แล้วเดินไปบ้านของเหยาเฉา

ยังไม่ทันเข้าไปในลานบ้าน ก็ได้ยินเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วของพวกเด็ก ๆ ดังออกมาซึ่งในนั้นมีเสียงของเหยาเอ้อหลางอยู่ด้วย

“ท่านอาเขยสัญญาแล้วว่าจะพาเราไปขี่ม้า แต่จะไปเมื่อไรกันนะ?”

เหยาซูเดินเข้าไปใกล้ กระทั่งได้ยินเหยาเอ้อหลางบ่นอุบกับน้องชายและน้องสาวของตน

อาซือไม่ได้มีความสนใจจะขี่ม้าเท่าไรนัก

ทว่าในใจของอาจื้อกลับเหมือนกับพี่รอง เขาอยากไปมาก กระทั่งสนับสนุนเหยาเอ้อหลางอย่างเต็มที่ “สองวันมานี้ท่านพ่อกลับบ้านเร็ว คืนนี้ท่านพี่ก็ไปกินข้าวที่บ้านข้าสิ เราจะได้ถามเขาด้วยกันเสียเลย!”

เหยาเอ้อหลางพูดอย่างเป็นกังวล “ท่านอาเขยรับปากแล้ว คงไม่กลับคำหรอกกระมัง?”

กระทั่งได้ยินอาซือที่อยู่ด้านข้างพูดแทรกขึ้น “ท่านพ่อรักษาคำพูดเสมอ”

ในขณะที่เด็ก ๆ กำลังปรึกษาหารือกันว่าจะพูดกับหลินเหราอย่างไรนั้น เหยาซูก็เดินเข้าในลานบ้าน

อาจื้อเห็นนางเป็นคนแรก เขาที่เดิมทีกำลังนั่งคุกเข่าก็ทะลึ่งลุกขึ้นยืน ดวงตาที่เปล่งประกายระยิบระยับคู่นั้นได้มองมายังเหยาซู “ท่านแม่ ท่านตื่นแล้ว!”

เหยาซูยิ้ม กระทั่งได้ยินอาซือทำตัวเป็นกระบอกเสียงแทนผู้เป็นพ่อ พูดกับนางว่า “ท่านพ่อบอกว่าในครัวมีข้าว เมื่อท่านแม่ตื่นแล้วให้รีบกินทันทีเจ้าค่ะ”

เหยาซูพูดคุยกับพวกเขาสองสามประโยค และเอ่ยถามอีกครั้ง “ซานเป่าอยู่ในห้องหรือ?”

เหยาเอ้อหลางพยักหน้า “วันนี้ท่านอาเขยอุ้มน้องชายมาที่นี่ตั้งแต่เช้า ท่านแม่ก็เลยอยู่เล่นกับเขาขอรับ”

เหยาซูคิดว่าเป็นเพราะนางตื่นสาย เขาก็เลยพาเด็ก ๆ มาทิ้งให้สะใภ้รองดูแลก่อน ช่างน่าเกรงใจยิ่งนัก

กระทั่งนางเดินเข้าไปในห้อง ก็พบว่าหลินเหราได้จัดเตรียมทุกอย่างเพื่อป้องกันความผิดพลาดให้แก่นางอย่างดี

ครั้นพี่สะใภ้รองเหยาเห็นนางก็เอ่ยถามก่อนว่า “อาซู ได้ยินอาเหราบอกว่าวันนี้เจ้าไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัวหรือ? ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”

เหยาซูรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยแต่ก็ยังคล้อยตามคำพูดของหลินเหรา “ไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ อาจเพราะสองวันนี้เหนื่อยไปหน่อย พอได้พักผ่อนก็ดีขึ้น”

ซานเป่านั้นว่าง่ายตั้งแต่เด็ก พี่สะใภ้รองเหยามักจะอุ้มเขาอยู่บ่อยครั้ง ครั้นหลินเหราอุ้มเขามาเล่นที่นี่ก็ไม่ได้คัดค้านแม้แต่น้อย

ตอนนี้พอเห็นเหยาซูจึงส่งเสียงอ้อแอ้ออกมาสองครั้ง ถือเป็นการทักทาย

พี่สะใภ้รองเหยายังไม่วายกำชับว่า “หากไม่สบาย ก็รีบไปหาหมอเสีย อย่าฝืนเด็ดขาด”

เหยาซูยิ้มตอบ “ไม่ได้หนักหนาขนาดนั้นหรอก”

ครั้นได้ยินนางพูดเช่นนี้ พี่สะใภ้รองเหยาจึงพูดอย่างจริงจังว่า “เจ้าอย่าคิดว่าร่างกายของตัวเองเป็นเรื่องไกลตัวนะ ปีที่แล้วหลังคลอดซานเป่าได้ไม่นานก็กลับบ้านทันที เจ้าไม่รู้หรอกว่าตัวเองมีสภาพเป็นอย่างไร … วันที่ต้องอยู่ไฟเหล่านั้น ข้าเห็นท่านแม่ปาดน้ำตาอยู่หลายครั้ง แม้ว่าจะบำรุงร่างกายจนฟื้นกลับมาได้ แต่ก็ห้ามละเลยโดยเด็ดขาด!”

เหยาซูเห็นพี่สะใภ้รองเหยามีท่าทางจริงจัง จึงไม่รู้ว่าจะพูดกับนางอย่างไร จริง ๆ แล้วนางก็เหนื่อยอ่อนเพียงแต่ไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงอย่างอื่น

หญิงสาวแค่ตอบกลับว่า “ไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย ข้ารับปากท่านแล้วว่าจะไป ท่านพอใจหรือไม่ พี่สะใภ้รองอย่าร้อนใจไปเลย”

พี่สะใภ้รองเหยามีนิสัยใจร้อน บอกจะทำก็ต้องทำเดี๋ยวนั้น หญิงสาวจึงพูดขึ้นทันทีว่า “อย่าบอกว่าเดี๋ยวค่อยไป เจ้าต้องไปตอนนี้ อย่างไรซานเป่าก็กินอาหารในเช้าวันนี้แล้ว ตอนนี้ข้าอยู่เล่นกับเขาได้ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอก รีบไปหาท่านหมอก่อนเถอะ”

เหยาซูถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

หลายวันมานี้นางเองก็อยากจะไปหาแพทย์แผนจีนที่อยู่ในเมืองสักครั้ง ครั้นเห็นพี่สะใภ้รองเหยายังคงยืนกราน นางจึงพยักหน้าและออกจากบ้านไป

เมื่อมาถึงร้านยา ก็บังเอิญเห็นท่านหมอสวีที่กลับมาจากการตรวจคนไข้ตอนเช้าพอดี

หลายวันมานี้ท่านหมอสวีคอยดูแลอาการบาดเจ็บของเหยาเฉา เมื่อเขาเห็นเหยาซูจึงเข้าใจว่านางมารับยา จึงพูดกับว่า “แม่หนูซู เมื่อวานพี่สะใภ้รองของเจ้ามารับยาของสามวันไปแล้ว วันนี้ไม่ต้องมารับหรอก”

เหยาซูยิ้มพลางส่ายหน้า “ท่านหมอสวี ที่ข้ามาวันนี้ ก็เพื่อมารับยาของตัวเองเจ้าค่ะ”

ท่านหมอสวีมองพิจารณานางอย่างละเอียด และกล่าวทักทาย “เห็นเจ้าหน้าแดงเลือดฝาด ลมหายใจก็ปกติ ไม่สบายตรงไหนล่ะ? เข้ามาก่อนสิ”

ขณะที่เหยาซูกำลังเดินเข้าไปในร้าน จู่ ๆ ก็คิดว่าหากในร้านยามีหมอหญิงคงจะดีมาก

ท่านหมอสวีให้นางนั่งนิ่ง ๆ ก่อนถามอีกรอบว่า “ไม่สบายตรงไหนหรือ?”

เหยาซูส่งเสียงไอออกมา “ไม่ได้ไม่สบายตรงไหนเจ้าค่ะ แค่คิดว่าอยากได้ยาคุมกำเนิดเท่านั้น”

ท่านหมอสวีตกตะลึงไปชั่วครู่

ในช่วงวัยเดียวกับเหยาซู มีคนมาตามหายาที่ช่วยให้มีลูกกันไม่น้อย แต่การมาถามหายาคุมกำเนิดเช่นนี้กลับมีคนเดียว

หญิงสาวจึงอธิบายว่า “ในตอนที่คลอดซานเป่าเมื่อปีก่อนส่งผลกระทบต่อร่างกายข้าไม่น้อย ตอนนี้จึงคิดว่าช้าอีกสักสองสามปีก็คงไม่สาย”

ครั้นได้ยินประโยคนี้ ท่านหมอสวีจึงพยักหน้า กระทั่งคิดได้ว่าตอนนี้เหยาซูเองก็มีลูกชายสองคนและลูกสาวหนึ่งคนแล้ว จึงมั่นใจว่าคงไม่ได้คิดอยากมีลูกเร็ว ๆ เฉกเช่นคนอื่น

เขาจึงพูดอย่างชื่นชม “จริงสินะ หญิงสาวที่คลอดลูกเดิมทีก็บาดเจ็บมากอยู่แล้ว แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะยังอ่อนเยาว์ แต่ก็ต้องให้ความสำคัญกับการบำรุงร่างกาย ถึงอย่างไรยาคุมกำเนิดของสตรีก็มีฤทธิ์ทำให้หนาวสะท้านไม่มากก็น้อย อีกทั้งเป็นอันตรายต่อร่างกาย มิสู้เจ้าสั่งยาให้สามีของเจ้าด้วยดีกว่าหรือ? จะได้เหมือนกัน”

เหยาซูตะลึงงัน สั่งยาให้หลินเหราเนี่ยนะ?

ครั้นเห็นนางดูเหมือนจะไม่เข้าใจ ท่านหมอสวีจึงอธิบายอย่างอดทน “การคลอดลูกไม่ได้เกี่ยวข้องกับสตรีเพียงฝ่ายเดียว หลายครั้งหลายคราบุรุษก็สำคัญด้วยเช่นกัน ในร้านมักจะมีภรรยาสาวที่อยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามันมาขอยาที่ช่วยให้มีลูกอยู่บ่อยครั้ง ข้ามองพวกนาง จับชีพจร โดยส่วนใหญ่ล้วนไม่มีปัญหา จึงโน้มน้าวให้พวกนางกลับไปนำตัวสามีมาตรวจที่นี่…ใครจะไปคิดละว่าไม่มีใครยอม”

เขาพูดพลางส่ายหน้า จากนั้นก็ทอดถอนใจ “เป็นแบบนี้จะได้ผลอย่างไร!”

ยุคสมัยนี้ โดยส่วนใหญ่คิดว่าการมีลูกไม่ได้นั้นเป็นปัญหาของฝ่ายหญิง ไม่ว่าท่านหมอสวีจะพูดอย่างไร พวกนางล้วนแต่ไม่ยอมเชื่อว่าปัญหามาจากสามีของตน

เมื่อเหยาซูเห็นเขายังสาธยายเหตุผลมากมายให้ตัวเองฟัง จึงรีบพูดทันทีว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นต้องรบกวนหมอเสียแล้วเจ้าค่ะ ช่วยจัดยาให้สามีของข้าด้วย มันจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายใช่หรือไม่?”

เดิมทีท่านหมอสวีคิดว่าตัวเองคงจะต้องปากเปียกปากแฉะมากกว่านี้ ครั้นเห็นเหยาซูไม่มีทีท่าจะคัดค้านจึงพยักหน้าและพูดว่า “ข้าศึกษามาแล้ว มันไม่เหมือนกัน…วางใจเถอะ ยาชนิดนี้ไม่เพียงแต่จะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายแล้ว ยังช่วยบำรุงอีกด้วย! เพียงแต่ราคาจะสูงเล็กน้อย”

เหยาซูทอดถอนใจ

หญิงสาวไม่อยากจะเสวนากับบุรุษในวัยที่เป็นพ่อของตนได้แล้วคนหนึ่ง จึงตอบกลับไปแค่ว่า “สูงก็สูง ต้องรบกวนท่านแล้วล่ะเจ้าค่ะ”

ท่านหมอสวีไม่รู้สึกอึดอัดใจแต่อย่างใด เขายิ้มตาหยีก่อนไปจัดยา

หัวใจของหมอก็เหมือนกับหัวอกคนเป็นพ่อแม่ [1] ท่านหมอสวีเคยตรวจคนไข้สตรีมานับไม่ถ้วน ในสายตาของเขาไม่มีการแบ่งแยกชายหญิง

เพียงแต่สตรีบางคนก็ยอมอดทน แต่จะไม่ยอมให้หมอตรวจชีพจรโดยเด็ดขาด เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาเองก็จนปัญญา

โชคดีที่เหยาซูเข้าใจ

ครั้นเหยาซูเดินออกมาจากร้านยา พร้อมกับห่อยาขนาดใหญ่สองห่อในมือ ดวงอาทิตย์ในตอนนี้ก็ไต่ขึ้นสูงแล้ว

ท่านหมอสวีบอกว่ายานี้จะต้องกินวันละครั้ง กินติดต่อกันถึงจะได้ผล สองสามวันนี้พวกเขาควรจะควบคุมกันเสียหน่อย

เพียงแต่ไม่รู้ว่าสองวันก่อนหน้า มันจะมีผลต่อนางหรือไม่

เท่าที่คาดการณ์จากความไม่คุ้นเคยของหลินเหราแล้ว ก่อนหน้านั้นพวกเขาน่าจะไม่เคยหลับนอนด้วยกันหลายครั้ง… แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ก็กลับมีลูกถึงสามคน ร่างกายของทั้งสองคนช่างแข็งแรงดีเสียจริง

โดยส่วนตัวแล้วเหยาซูไม่ได้เกลียดเด็ก แต่ตอนนี้อาจื้อและอาซือกำลังอยู่ในวัยเติบโต เรื่องที่ควรต้องกังวลก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ซานเป่าเองก็เพิ่งจะฝึกออกเสียงอ้อแอ้ ยังต้องทุ่มแรงกายแรงใจอีกมาก ดังนั้นนางไม่ยอมตั้งครรภ์ในเวลาเช่นนี้แน่

เหยาซูกระชับห่อยาทั้งสอง ก่อนจะค่อย ๆ สงบสติอารมณ์ ตั้งใจว่าจะกลับไปคุยดี ๆ กับหลินเหรา ไม่รู้ว่าเขาจะคิดอย่างไร

[1] หัวใจของหมอก็เหมือนกับหัวอกคนเป็นพ่อแม่ หมอที่รักษาคนไข้ย่อมใช้หัวใจ เหมือนกับพ่อแม่ที่ใช้หัวใจดูแลลูก

สารจากผู้แปล

สังคมชายเป็นใหญ่เข้มข้นก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ ผลักภาระอะไรต่าง ๆ มาลงที่ฝ่ายหญิงหมด ทั้งที่รากเหง้าปัญหาพวกนั้นอาจเกิดจากฝ่ายชายก็ได้ พอได้ลูกสาวก็โทษฝ่ายหญิง ทั้งที่คนกำหนดเพศของลูกคือฝ่ายชาย

ไหหม่า(海馬)