บทที่ 194 ไม่กินยาบำรุงได้อย่างไรกัน

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 194 ไม่กินยาบำรุงได้อย่างไรกัน

แสงแดดในฤดูใบไม้ผลินั้นดีมาก อากาศข้างนอกก็ไม่หนาวมากนัก

เหยาซูเห็นซานเป่ามีท่าทีอยากจะออกไปข้างนอกเป็นพิเศษ ในช่วงบ่ายจึงอุ้มเขาไปร้านขายชาดสักรอบ

แม้จะบอกว่าเป็นร้านขายชาด แต่ความจริงแล้วภายในนั้นมีทั้งชาด แป้งน้ำ สีผึ้งทาปากและไขทามือครบครัน เมื่อหลายวันก่อนเหยาซูได้จับคู่ขายกับผงชิงไต้ที่ใช้สำหรับเขียนคิ้วภายในร้าน จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของพวกสาวน้อยสาวใหญ่ในเมืองชิงถงไปโดยปริยาย

คนที่คอยดูแลร้านตอนนี้ ก็คือเด็กในร้านที่คอยตามติดเถ้าแก่หลิวของร้านขายผ้าเหยาจี้ตลอดเวลาผู้นั้น

เด็กในร้านผู้นี้อายุยังไม่มากนัก แต่กลับจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างใจเย็น ปกติแล้วต่อให้ยุ่งจนมือพันแค่ไหนเถ้าแก่หลิวก็ไม่เคยมองเห็น ครั้นตอนนี้ต้องมาอยู่ตัวคนเดียว จึงทำให้ผู้อื่นอ้าปากตาค้างด้วยความตกใจ

เมื่อเขาเห็นเหยาซู ดวงตาคู่นั้นก็เปล่งประกาย “คุณหนู เหตุใดวันนี้ถึงมีเวลาว่างมาได้ละขอรับ?”

ร้านขายผ้าเหยาจี้เป็นทรัพย์สมบัติของตระกูลเหยา เด็กในร้านจึงเรียกเหยาซูว่า ‘คุณหนู’ ตามเถ้าแก่หลิว ตอนนี้คงจะเปลี่ยนไม่ได้แล้ว

เหยาซูไม่ได้สนใจว่าคนอื่นจะเรียกนางว่าอย่างไร หญิงสาวจึงแค่ยิ้มและพูดว่า “พาซานเป่าออกมาเดินเล่นเลยถือโอกาสแวะมาดูร้านเสียหน่อย เจ้าทำงานเถอะ ไม่ต้องสนใจข้า”

ร้านชายชาดไม่ได้มีขนาดใหญ่นัก แต่กิจการกลับไปได้อย่างสวยงาม ตั้งแต่เหยาซูก้าวเข้ามาในร้าน ลูกค้าก็เข้ามาอย่างไม่ขาดสาย

เด็กในร้านกล่าวทักทายลูกค้าอย่างชำนาญ ลูกค้าที่เข้ามาในร้านครั้งแรก เขาก็จะรีบแนะนำสินค้าของพวกเขาอย่างคล่องแคล่วทันที

สำหรับลูกค้าที่มาครั้งที่สอง ครั้งที่สาม เขาก็สามารถเรียกชื่อของลูกค้าเหล่านั้นได้

ฮูหยินหลู่ ฮูหยินจาง คุณหนูสามหลิว แม่นางจ้าว เป็นต้น ครั้นได้ยินดังนั้นเหยาซูก็ตกตะลึงครั้งแล้วครั้งเล่า

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีเวลาว่าง เมื่อภายในร้านมีคนน้อยลง ในที่สุดเด็กในร้านผู้นี้ก็ได้พักหายใจหายคอเสียที

เหยาซูยืนอยู่หลังตู้วางสินค้า นางยิ้มและพูดอย่างทอดถอนใจว่า “มิน่าล่ะเถ้าแก่หลิวมักจะพูดกับข้าเสมอว่าเจ้าตั้งใจทำงาน คุณหนูรองจ้าวและคุณหนูสามหลิว เห็นได้ชัดว่ามีลักษณะที่คล้ายกันมาก แต่เจ้ากลับจดจำทีละคนโดยไม่ผิดตัวได้อย่างไรกัน?”

ครั้นเด็กในร้านที่มีความชำนิชำนาญถูกเหยาซูชื่นชมแบบนี้ท่ามกลางสาวน้อยสาวใหญ่ เขาก็รู้สึกเขินอายไม่น้อย

เขายิ้มแก้มปริ “ก็ไม่ยากเท่าไรขอรับ ทุกครั้งที่ได้เฝ้าร้าน ข้าจะได้คุยกับพวกนางสองถึงสามครั้งโดยพื้นฐานย่อมแยกออกได้อย่างชัดเจน คุณหนูรองจ้าวชอบชาดทาปากหลากสีสัน ส่วนคุณหนูสามหลิวจะค่อนไปทางแป้งฝุ่นที่มีกลิ่นแตกต่างกัน ต้องจดจำว่าพวกนางแต่ละคนชอบอะไร เช่นนี้จะจำผิดได้อย่างไร?”

เหยาซูพยักหน้า

หญิงสาววางซานเป่าลงอีกด้านปล่อยให้เขาสำรวจโลกรอบตัว จากนั้นก็หันไปพูดคุยสัพเพเหระกับเด็กในร้าน

“เมื่อก่อนก็มักเห็นเถ้าแก่หลิวชื่นชมเจ้าอยู่บ่อยครั้ง เมื่อได้เห็นคราวนี้จึงมั่นใจว่าเจ้าอยู่คนเดียวได้จริง ๆ อีกสองสามวัน ในร้านของเราคงจะมีเถ้าแก่หนิวอีกคนแล้ว!”

เหยาซูคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน รอยยิ้มของนางงดงามมาก การพูดคุยกับเขาเช่นนี้ส่งผลให้ใบหน้าของเด็กในร้านค่อย ๆ แดงระเรื่อ

เด็กในร้านคนนี้มีแซ่ว่าหนิว ปกติเจ้าตัวไม่ชอบแซ่นี้เพราะไม่ไพเราะเสนาะหู จึงไม่ชอบให้ผู้อื่นเรียกแซ่ของเขา

แต่วันนี้เมื่อเหยาซูขานเรียกเช่นนี้ เขาจึงได้รู้สึกว่าแซ่ของตัวเองไม่ได้แย่มากเพียงนั้น

เด็กในร้านกระแอมไอหนึ่งครั้ง จากนั้นก็พูดอย่างเหนียมอายว่า “เถ้าแก่หนงเถ้าแก่หนิวอะไรกันเล่าขอรับ คุณหนูก็กล่าวขบขันไป หากเปรียบเทียบข้ากับท่านอาจารย์แล้ว ยังห่างไกลอยู่มากโข”

ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน ก็เห็นว่ามีลูกค้าคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน เด็กในร้านจึงหมุนตัวไปต้อนรับทันที

ครั้นเหยาซูเห็นท่าทางผู้มาเยือน ก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ

ผู้มาเยือนมองข้ามเด็กในร้านคนนั้นมายังเหยาซู แม้แต่ใบหน้าก็ยังแสดงสีหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ไม่เจอกันหลายวัน วันนี้ได้ออกมาเดินเล่นแต่กลับเจอเจ้าเสียได้”

เด็กในร้านคนนั้นมองไปยังผู้มาเยือน และมองมายังเหยาซูอีกครั้ง คิดว่าทั้งสองคนคงจะเคยมีเรื่องกระทบกระทั่งกันมาก่อนหน้านั้น จึงยิ้มและพยายามพูดไกล่เกลี่ยว่า “ฮูหยินเจี่ยงเข้าเมืองไม่บ่อยนัก วันนี้มาช่วยอุดหนุนกันถึงในร้าน งั้นถือว่าเป็นลูกค้าสัญจร ลูกค้าสัญจรก็แล้วกัน!”

เหยาซูกลับไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจอะไรกับนาง หนำซ้ำยังคลี่ยิ้มจนตาหยีและพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ฮูหยินเปลี่ยนไปมากทีเดียว มองไม่ออกไปชั่วขณะเลยเจ้าค่ะ”

ฮูหยินเจี่ยงผู้นี้ เป็นอดีตภรรยาของนายอำเภอ

หลังจากที่นางให้กำเนิดลูกในคราวนั้นก็ไม่เคยกลับไปผอมอีกเลย ประกอบกับต้องรับมือกับบรรดาอนุภรรยาภายในจวนทั้งวัน ความสง่างามจึงค่อย ๆ หม่นหมองลง

วันนี้ที่ได้เจอกัน หญิงสาวแต่งกายด้วยชุดกระโปรงฤดูใบไม้ผลิที่โบกพลิ้วไสว ขับให้เห็นทรวดทรงองเอวและรูปร่างที่สูงโปร่งอย่างชัดเจน ใบหน้าถูกแต้มด้วยสีสันเพียงเล็กน้อย จนแทบไม่เห็นเค้าโครงในอดีตแม้แต่นิดเดียว

ฮูหยินเจี่ยงเองก็เลิกคิ้วสูงและยิ้มให้เหยาซู “วิธีลดความอ้วนที่เจ้าเคยสอนข้าในอดีตนั้น มันได้ผลมากเชียวล่ะ หลายเดือนมานี้ข้าลดลงไปได้ไม่น้อยเลย”

เหยาซูยืนขึ้นและเดินเข้าไปใกล้นาง จากนั้นก็ส่ายหน้าและพูดว่า “เพราะฮูหยินใจกว้างต่างหากล่ะเจ้าคะ ทั้งยังเข้มงวดกับตัวเองจึงผอมลงได้”

ในขณะที่พูดนั้น หญิงสาวก็หันไปพูดกับเด็กในร้านว่า “เดี๋ยวข้าดูแลฮูหยินเจี่ยงเอง เจ้าไปดูแลคนอื่นเถอะ”

ครั้นเห็นทั้งสองคนเข้ากันได้อย่างเป็นธรรมชาติ แม้ว่าน้ำเสียงของฮูหยินเจี่ยงจะราบเรียบดูไม่กระตือรือร้นสักเท่าไร แต่กลับไม่เห็นทีท่าจะเป็นปฏิปักษ์เหมือนเมื่อครั้นอดีต เด็กในร้านจึงวางใจเดินไปอีกด้าน

เหยาซูเดินมาข้างกายของฮูหยินเจี่ยงและพูดกับนางเสียงเบาว่า “ช่วงนี้ฮูหยินสบายดีหรือไม่เจ้าคะ?”

ฮูหยินเจี่ยงส่ายหน้า “ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ แค่อยู่ไปวัน ๆ เท่านั้น แต่กลับพิสูจน์ประโยคที่ว่าเมื่อถึงจุดสูงสุดมักจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ครั้นเปลี่ยนแปลงก็จะไร้ซึ่งอุปสรรคใด”

เมื่อเหยาซูเห็นทัศนคติไม่เลวของนาง จึงรู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย หญิงสาวยิ้มและพูดว่า “คาดไม่ถึงว่าฮูหยินจะศึกษาค้นคว้า ‘คัมภีร์โจวอี้’[1] ด้วย”

คราวนี้ถึงตาที่ฮูหยินเจี่ยงจะเป็นฝ่ายตื่นตกใจบ้าง “ประโยคนี้มาจาก ‘คัมภีร์โจวอี้‘ ข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเข้าใจด้วย”

เหยาซูส่ายหน้า “รู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น คงเทียบความปราดเปรื่องและว่องไวของฮูหยินไม่ได้”

เดิมทีฮูหยินเจี่ยงเป็นคุณหนูตระกูลขุนนางที่เต็มไปด้วยบทกวีในสมอง แต่เพราะมองคนผิด จึงพลาดท่าไปตลอดชีวิต

ใช้อำนาจของตระกูลผลักดันสามีจนเข้ามาในวงการชนชั้นข้าราชการ แต่ตัวเองกลับกลายมาเป็นฮูหยินนายอำเภอผู้มีจิตใจอมทุกข์และหม่นหมองได้ทั้งวัน เสมือนนกขมิ้นและนกนางแอ่นกลุ่มหนึ่งที่เอาแต่เฝ้าจวนด้านหลัง

การมีตัวตนของเหยาซู ทำให้นางเห็นว่านอกจากการถูกขังอยู่แต่ในบ้านแล้ว สตรีก็ยังมีความสามารถอื่น ๆ

หญิงสาวตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะหย่าร้างกับนายอำเภอเหยา เดิมทีคิดว่าจะต้องเป็นเรื่องที่ยากลำบากแน่ ๆ แต่ความจริงกลับราบรื่นมากเสียอย่างนั้น

ด้วยอำนาจในตระกูล ไม่เพียงแต่จะทำให้นางหย่าร้างได้สำเร็จ แต่ยังพาลูกไปได้อีกด้วย

หลังจากที่หลุดพ้นจากชายหลายใจและออกจากจวนหลังที่มีแต่การตบตีแย่งชิงกันทั้งวี่ทั้งวันแล้ว นางก็เพิ่งค้นพบว่าหลายปีมานี้มันไม่มีค่าแต่อย่างใด

นับแต่นั้นนางก็ให้ผู้อื่นเรียกตนว่า ‘ฮูหยินเจี่ยง’ และไม่มีใครขานเรียกชื่อในอดีตนั้นอีก

ฮูหยินเจี่ยงในวันนี้มีสภาพจิตใจที่สงบมากขึ้น ครั้นเจอเหยาซู ในใจกลับไม่มีความคิดว่านี่เป็นอนุภรรยาที่สามีชมชอบเช่นนั้นอีกแล้ว เพียงชื่นชมว่าเป็นสตรีที่งดงามและสง่าผู้หนึ่งด้วยความบริสุทธิ์ใจ

ยิ่งไปกว่านั้น เหยาซูเองก็ช่วยนางไว้มาก

นางมองไปยังเหยาซู “ก็บอกไปแล้วไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมาอุดหนุนร้านใหม่ของเจ้า แต่เมื่อสองสามวันก่อนเถิงเอ๋อไม่สบาย ข้าจึงต้องเฝ้าเขาทั้งวัน จึงผิดนัดกับเจ้า”

เถิงเอ๋อเป็นลูกชายคนที่หนึ่งของนาง และเป็นลูกชายเพียงคนเดียว

ในตอนที่ตั้งครรภ์เขานั้น โชคร้ายนางพลาดกินยาผิดจนต้องฝืนคลอดออกมา ทำให้เขาขี้โรคและอ่อนแอตั้งแต่เด็ก เลยตั้งชื่อเด็กคนนี้เป็นคำเดี่ยวว่า ‘เถิง (เถาวัลย์)’ ที่มาจากคำว่า ‘เถิงม่าน (藤曼 – เถาวัลย์ข้ามรั้ว)’ มุ่งหวังว่าเขาจะเติบโตงอกงามอย่างแข็งแรง

เหยาซูเคยเจอกับเด็กคนนั้นแล้ว ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาช่างขาวเนียนยิ่งนัก เสียงพูดก็เล็ก อีกทั้งเข้าใจในเรื่องมารยาทมากทีเดียว

เหยาซูยิ้มก่อนจะเอ่ยถามถึงสุขภาพร่างกายของเด็กด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ก็ท่านมาแล้วนี่เจ้าคะ ไฉนเลยจะถือว่าผิดนัด? แล้วตอนนี้เถิงเอ๋อสบายดีหรือไม่?”

ครั้นเอ่ยถึงลูกชายเพียงคนเดียว ความคิดของฮูหยินเจี่ยงที่เดิมทีนิ่งเรียบ เวลานี้ก็กลับแฝงไปด้วยความกลัดกลุ้มใจ

“ช่วงฤดูใบไม้ผลิไม่ทันระวัง ความเย็นจึงเข้าแทรกทำให้ไอเรื้อรังถึงหกเจ็ดวัน เมื่อสองสามวันนี้เพิ่งจะดีขึ้น”

เหยาซูก็เป็นแม่คนแล้วย่อมเข้าใจหัวอกของฮูหยินเจี่ยงที่มีต่อลูกชายดี นางจึงเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ตอนนี้อยู่ที่ตระกูลเจี่ยง เขาได้รับการดูแลดีกว่าตอนที่อยู่ในจวนนายอำเภอมากโข ร่างกายของคุณชายไม่ได้รับการบำรุงมากพอเมื่อครั้งอยู่ในครรภ์ คงต้องค่อย ๆ บำรุงกันต่อไป เดี๋ยวก็ดีขึ้นเองโดยธรรมชาติ”

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้คิ้วโค้งได้รูปของฮูหยินเจี่ยงก็อดขมวดเข้าหากันไม่ได้ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเกลียดชังว่า “อย่าโทษข้าเลยที่แค้นฝังหุ่นกับพวกสตรีหลังจวนกลุ่มนั้น… หากไม่ใช่เพราะยาที่ทำให้แท้งลูกเม็ดนั้น ไฉนเลยเถิงเอ๋อของข้าจะมีสภาพเฉกเช่นทุกวันนี้? ตอนนี้เถิงเอ๋อกลับมาอยู่ตระกูลเจี่ยงแล้วจึงเปลี่ยนมาใช้แซ่เจี่ยงตามข้า ไม่เกี่ยวข้องกับคนภายนอกอีก ข้าล่ะอยากเห็นจริง ๆ ว่านังงูพิษและหนูสกปรกกลุ่มนั้นจะมีจุดจบอย่างไร!”

เหยาซูมองไปยังเด็กในร้านที่อยู่ในร้านแวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว กระทั่งเห็นเขากำลังวุ่นเรื่องของตัวเองไม่ได้สนใจทางนี้ จึงได้วางใจลง

เรื่องส่วนตัวเช่นนี้ หากถูกคนภายนอกได้ยินเข้าวันข้างหน้าจะต้องไม่เป็นผลดีต่อตัวนางแน่

หญิงสาวดึงมือของฮูหยินเจี่ยง จากนั้นก็พานางเดินมายังอีกด้านของตู้วางสินค้า ตรงนี้ไม่มีคนพลุกพล่านนัก ทั้งยังเห็นซานเป่าที่กำลังนั่งเล่นอยู่ด้านข้างพอดิบพอดี

เหยาซูเอ่ยปลอบใจอีกฝ่าย “ไหน ๆ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว ตอนนี้ไม่ต้องไปเอ่ยถึงหรอกเจ้าค่ะเดี๋ยวจะเพิ่มความหงุดหงิดใจเสียเปล่า ๆ สู้เรามาคิดดีกว่าว่าจะทำให้ร่างกายของเถิงเอ๋อดีขึ้นอย่างไร เขาอ่อนแอเช่นนี้คงจะป่วยง่ายน่าดูใช่หรือไม่? เห็นท่านมักจะเอายาตัวนั้นยาตัวนี้ให้เขากินเสมอ เพียงแต่กินยามากเกินไปก็ไม่เป็นผลดี”

ฮูหยินเจี่ยงขมวดคิ้วแน่น “เขาอ่อนแอมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ อีกทั้งป่วยบ่อยครั้ง จะไม่กินยาบำรุงได้อย่างไร?”

[1] คัมภีร์โจวอี้ เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมพวกฉันทลักษณ์ทั้ง 64 ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารบ้านเมือง

สารจากผู้แปล

เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็แล้วกันไปเถอะค่ะ ปล่อยให้มันกลายเป็นอดีตไป ชีวิตยังต้องเดินหน้าต่อนะคะ

ไหหม่า(海馬)