บทที่ 195 ตัดสินใจอย่างแน่วแน่
เหยาซูไม่เห็นด้วย “หากเป็นยาย่อมมีพิษสามส่วน [1] แน่นอน ยามที่ไม่ป่วยแทนที่จะกรอกยาขม ๆ สู้พาเถิงเอ๋อออกไปเดินเล่นดีกว่า เด็กผู้ชายได้วิ่งได้กระโดดบ่อย ๆ ถือเป็นการออกกำลังกาย กระดูกกระเดี้ยวย่อมดีขึ้นตามไปด้วย ”
ฮูหยินเจี่ยงเลี้ยงดูเขาอย่างทะนุถนอมมาตั้งแต่เล็ก
เรื่องอาการป่วยของเจี่ยงเถิงนับตั้งแต่นั้นจนถึงตอนนี้นางก็พยายามเสาะหาหมอเก่ง ๆ นับไม่ถ้วน เมื่อเห็นว่าเป็นลูกหลานตระกูลร่ำรวยมีกำลังซื้อสมุนไพร หมอก็คอยจัดยาบำรุงสารพัดอย่าง
หมอบางคนก็สั่งห้ามกินยาบำรุง แต่นางก็ไม่สนใจ
ตอนนี้ครั้นได้ยินเหยาซูพูดเช่นนี้ กลับไม่ได้ดูไร้เหตุผลแต่อย่างใด
หญิงสาวเป็นกังวลในเรื่องเดียวกัน “ขยับตัวนิด ๆ หน่อย ๆ เถิงเอ๋อก็บ่นเหนื่อยแล้ว เขาไม่ชอบออกไปข้างนอก เอาแต่อุดอู้อยู่แต่ในบ้านทั้งวัน ยิ่งไปกว่านั้นในบรรดาเด็ก ๆ ตระกูลเจี่ยง เขาเป็นเด็กที่อายุน้อยที่สุด พวกพี่น้องก็เรียนหนังสือกันหมดแล้ว จึงไม่มีใครมาเล่นกับเขา…”
มีภาพหนึ่งผุดขึ้นมาในสมองของเหยาซู เถิงเอ๋อที่ตัวเล็กและซูบผอมนั่งอุดอู้อยู่ในบ้านเพียงลำพัง แม้ว่าจะอยู่ในลานบ้านแต่กลับเหม่อลอยราวกับไม่รู้ว่าจะทำอะไร
ช่างน่าสงสารจับใจ
หญิงสาวมองฮูหยินเจี่ยงและพูดแนะนำอย่างอ่อนโยนว่า “คราวต่อไปที่ฮูหยินออกจากบ้าน ก็พาเถิงเอ๋อมาด้วยสิเจ้าคะ อาจื้อของข้าโตกว่าเขาเล็กน้อย แล้วก็มีอาซือน้องสาวอีกคน หากพวกเขาเล่นด้วยกันก็น่าจะอยู่เป็นเพื่อนกันได้”
ฮูหยินเจี่ยงชื่นชมเหยาซูมาโดยตลอด ไม่เพียงรูปร่างหน้าต่างของนาง แต่รวมถึงท่าทางในการพูดของเธอ ความมั่นใจในตัวเอง และความเมินเฉยที่ไม่มีอยู่ในสตรีทั่วไป
ยิ่งไปกว่านั้นนางเองก็เคยไปบ้านตระกูลเหยามาก่อน เคยเจอกับผู้อาวุโสของตระกูลเหยา จึงวางใจในสิ่งแวดล้อมของตระกูลเหยา
เมื่อเห็นเหยาซูพูดเช่นนี้ นางจึงพยักหน้า “ไว้ข้าจะลองดู”
ในขณะที่พูดนั้น ฮูหยินเจี่ยงได้ชำเลืองไปเห็นซานเป่าที่อยู่ข้างตนกำลังยืนซวนเซ เพราะขาทั้งสองข้างยังคงไร้เรี่ยวแรงจึงทำให้ล้มตุบลงไปนั่งอีกครั้ง
หญิงสาวเกือบส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ รีบรุดหน้าเข้าไปดู
“ไม่เป็นไรใช่หรือไม่? ล้มหรือไม่? นั่งแบบนี้เจ็บไหม?”
เมื่อเหยาซูเห็นนางเป็นกังวลยิ่งกว่าตัวเองจึงพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ ซานเป่าสวมชุดหนา ถ้าเจ็บเขาคงร้องไห้ไปแล้ว อีกอย่างเวลาอยู่บ้านเขาก็มักจะเป็นเช่นนี้เสมอ ชินเสียแล้วล่ะ”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะซานเป่ารู้ตัวว่าผู้ใหญ่ทั้งสองกำลังเอ่ยถึงเขาหรือไม่ จึงส่งยิ้มให้กับฮูหยินเจี่ยง พร้อมกับพูดเสียงดังหลายคำ “ต้า…อะ!”
ครั้นฮูหยินเจี่ยงเห็นเจ้าก้อนเล็ก ๆ อย่างซานเป่าก็อดนึกถึงตอนที่ลูกชายยังเด็กไม่ได้
เถิงเอ๋อป่วยและอ่อนแอมาตั้งแต่เกิด แม้แต่เสียงร้องไห้ก็ยังเบามาก
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเลี้ยงดูมาจนอายุได้หกขวบปี นางไม่กล้าปล่อยให้เขาคลาดสายตาเลยจริง ๆ กลัวว่าในตอนที่ตนไม่เห็นนั้นเขาจะลาจากโลกนี้ไปตั้งแต่วัยเยาว์
ตอนนี้เมื่อเห็นเด็กครอบครัวอื่นคึกคักร่าเริงและเล่นอย่างเอาจริงเอาจัง ก็ได้แต่นึกอิจฉาอยู่ในใจ
กระทั่งทอดถอนใจพักใหญ่ “จะว่าไปแล้ว ช่วงหนึ่งร้อยวัน เขาก็เคยเจอข้าครั้งหนึ่งนะ … แค่พริบตาเดียว ตอนนี้ก็โตถึงเพียงนี้แล้ว”
เหยาซูยิ้ม จากนั้นก็เล่าเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของลูกน้อยในฐานะผู้เป็นแม่เหมือนกันให้ฮูหยินเจี่ยงฟัง “ตอนนี้ซานเป่าเริ่มจดจำคนได้ ก็เลยอยากพูดด้วย ขอแค่เล่นกับเขา ก็ดีใจจนพูดไม่หมดแล้ว มีแค่พี่สาวของเขาที่ยอมเล่นกับคนที่พูดไม่รู้เรื่องอย่างเขา”
ฮูหยินเจี่ยงเผยรอยยิ้มจาง ๆ อย่างสบายใจเป็นครั้งแรกของวัน เสียงที่เปล่งออกมานั้นอ่อนโยนลงมาก “ตอนที่เถิงเอ๋อยังเด็กก็มักจะเป็นเช่นนี้แหละ อยากพูดออกมา แต่พอคนอื่นไม่เข้าใจก็ร้องไห้”
เหยาซูเห็นว่านางมีสภาพจิตใจที่ดีขึ้นไม่น้อยแล้ว และเหมือนจะชอบซานเป่ามากด้วยจึงพูดว่า “ฮูหยินลองอุ้มเขาสิเจ้าคะ”
ฮูหยินลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็ยื่นมือออกไป แต่ก็กลัวว่าซานเป่าจะร้องไห้จึงค่อย ๆ อุ้มเด็กทารกตัวน้อยอย่างเบามือ
กระทั่งสอดมือลึกเข้าไป ซานเป่ากลับเชื่อฟังมากไม่ร้องไห้ไม่โวยวาย ปากยังพยายามส่งเสียงจะพูดกับผู้ใหญ่ด้วย
หัวคิ้วของฮูหยินเจี่ยงพลันคลายลงด้วยความปีติยินดี จากนั้นก็ยิ้มให้เหยาซู “นิ่งกว่าตอนที่เถิงเอ๋อยังเด็กมากทีเดียว”
เพราะในบ้านมีทั้งแม่นมและสาวใช้ จึงไม่จำเป็นต้องให้นางอุ้มเด็กบ่อยนัก
เพียงแต่ตอนที่เถิงเอ๋อยังเด็กเขาติดนางยิ่งกว่าอะไรดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ป่วย จะไม่ยอมออกจากอ้อมกอดนางเลย
สำหรับน้ำหนักตัวของเด็กทารกในตอนนี้ หญิงสาวมีปฏิกิริยาที่ตอบสนองได้ไวมาก
เหยาซูดีใจเช่นกัน จากนั้นก็พูดเหมือนจะหยอกล้อก็มิปาน “ปกติแล้วเขามักจะเล่นกับอาจื้อและอาซืออยู่ในบ้านทั้งวัน ถือว่าตัดกำลังไม่น้อย กินเยอะ นอนก็เยอะ ขืนปล่อยไว้แบบนี้ คงได้อ้วนกว่าเด็กทั่วไปแน่”
ฮูหยินเจี่ยงอุ้มซานเป่าขึ้นมาหยอกล้อครู่หนึ่ง พร้อมกับคิดในใจว่าเหยาซูเลี้ยงลูกได้เก่งมาก
เพียงแต่ไม่รู้ว่าถ้าพาเถิงเอ๋อมาเล่นด้วยแล้ว เขาจะรับมือได้หรือไม่? เพราะถ้ากลับไปแล้วป่วยอีก ก็มักจะถูกลงโทษเสมอ…
ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่นาน ก่อนจะออกจากร้านฮูหยินเจี่ยงได้ซื้อสีผึ้งทาปากแบบใหม่ในฤดูกาลนี้จากในร้านไปไม่น้อย จากนั้นก็เดินออกไปอย่างสบายอกสบายใจ
อีกด้านหนึ่งเด็กในร้านเองก็ส่งลูกค้าสองสามคนนั้นกลับไปแล้วเช่นกัน จากนั้นก็พูดชื่นชมเหยาซูว่า “สมแล้วที่เป็นคุณหนูของเรา ลูกค้าที่ยุ่งยากแค่ไหนล้วนเอาอยู่… ในเมืองใครบ้างเล่าจะไม่รู้ว่าฮูหยินเจี่ยงนั้นดูแลยากที่สุด จะว่ามีเงินก็มีเงินนั้นแหละแต่เรื่องมากนี่ต้องยกให้นางเลยเชียว คราวที่แล้วที่ไปร้านขายผ้าก็ขัดแข้งขัดขาคุณหนูไปเสียทุกอย่าง ครั้งนี้มาที่นี่กลับพูดคุยอย่างเป็นกันเองเสียอย่างนั้น! ทั้งยังซื้อของในร้านของเราไปมากมายด้วย!”
เหยาซูแกล้งทำเป็นขุ่นเคือง จากนั้นก็ถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง “ข้าไม่ได้มาขายของให้เจ้านี่ อีกอย่างก็เห็น ๆ อยู่ว่าฮูหยินเจี่ยงพูดคุยดีเพียงไร”
เมื่อเด็กในร้านเห็นนางคิดว่าฮูหยินเจี่ยงนั้นพูดคุยอัธยาศัยดีจึงอดเงียบครู่หนึ่งไม่ได้ ในใจคิดว่า ‘เกรงว่าทั้งเมืองคงมีแค่คุณหนูของตนเท่านั้นที่ไม่รู้สึกว่าฮูหยินเจี่ยงเรื่องมาก’
ฮูหยินเจี่ยงเดินเล่นอย่างสบายใจอยู่ในเมืองชิงถงต่อ เมื่อรู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าสนใจจึงนั่งรถกลับเรือน
หลังจากที่ถึงเรือน นางกลับไม่เห็นเถิงเอ๋อที่วิ่งมาหานาง จึงถามคนใช้ที่อยู่ข้างกายด้วยความประหลาดใจ “นายน้อยเล่า? เหตุใดไม่เห็นเขา? พี่ลวี่คอยตามอยู่ใช่หรือไม่?”
คนที่คอยปรนนิบัติรับใช้เถิงเอ๋อก็คือเด็กรับใช้ที่ชื่อว่าพี่ลวี่ เขาอายุไม่มากนักแต่กลับเอาใจใส่มาก
คนใช้ผู้นั้นพูดไม่ออกอยู่เนิ่นนาน จนในที่สุดจึงเค้นเสียงตอบออกมาอย่างสุภาพว่า “พี่ลวี่อยู่กับนายน้อยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินเจี่ยงขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดกำชับว่า “ไปเรียกพี่ลวี่มา”
ไม่นานพี่ลวี่ก็มาถึง ครั้นเห็นฮูหยินเจี่ยงเอ่ยถาม จึงตอบอย่างละเอียด
เขาโต้ตอบอย่างฉะฉานและพูดอย่างชัดเจนว่า “วันนี้หลังจากที่ฮูหยินออกไป นายน้อยก็อ่านหนังสืออยู่ในบ้านอีกพักใหญ่ อาหารมื้อเที่ยงก็กินตามปริมาณเดิมที่จัดไว้ ตกบ่ายกลับไม่ยอมงีบ…”
ฮูหยินเจี่ยงตั้งใจฟังทุกถ้อยคำ ไม่ได้แสดงท่าทีหมดความอดทนแต่อย่างใด
พี่ลวี่พูดจนมาถึงประโยคสุดท้าย ก็เริ่มลังเล “…ตอนนี้นายน้อยกำลังหลับขอรับ”
ฮูหยินเจี่ยงขมวดคิ้ว “มีอะไรก็พูดมาอย่ามัวอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ”
พี่ลวี่ครุ่นคิดก่อนพูดว่า “เดิมทีนายน้อยไม่อยากให้ท่านรู้ คือ…คือว่านายอำเภอเหยาส่งคนมาหา…”
ฮูหยินเจี่ยงทำจอกน้ำชาในมือร่วงหล่นแตกกระจายทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น คิ้วโค้งได้รูปนั้นแทบจะขมวดกันเป็นปม เสียงก็พลันสูงขึ้น “เขามาทำไม?! เถิงเอ๋อเล่า? เขาเจอกับเถิงเอ๋อหรือไม่?!”
พี่ลวี่คาดเดาไว้แล้วว่าฮูหยินจะต้องโกรธเคือง จึงทำได้แค่ฝืนตอบกลับไป “ไม่ใช่นายอำเภอเหยาที่มาแต่เป็นเด็กรับใช้ผู้หนึ่ง…”
ใบหน้างดงามของฮูหยินเจี่ยงเริ่มบิดเบี้ยวเพราะความโมโห นัยน์ตาก็ดุดันชนิดที่ว่าทำให้สาวใช้ที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายสั่นกลัวจนไม่กล้าหายใจเลยทีเดียว
หญิงสาวยิ้มเยาะอย่างเย็นชา “ดี ดี! ไม่รู้ไปฟังคู่ชีวิตยั่วสวาทคนไหนเป่าหูมาอีกสิท่า เลยคิดได้ว่าตัวเองไม่มีลูกชาย คิดจะเอาเถิงเอ๋อกลับไป! ฝันไปเถอะ!”
ในขณะที่พูดนั้น หน้าอกของนางได้กระเพื่อมขึ้นลงอย่างหนักหน่วงด้วยโทสะ นั่งหอบหายใจแรงอยู่บนโต๊ะ สาวใช้คิดจะเข้ามาเก็บกวาดเศษกระเบื้องแต่กลับถูกสายตาคู่นั้นถลึงกลับไป
พี่ลวี่รอจนนางอารมณ์เย็นลงจึงได้รายงานตามความจริงว่า “นายน้อยเจอกับเด็กรับใช้คนนั้น พวกเขาพูดอะไรกันข้าน้อยก็ไม่ทราบ แต่หลังจากที่เขากลับไป นายน้อยก็พูดกับข้าน้อยว่า…ต่อไปหากเป็นคนของตระกูลเหยาอีก เขาไม่ขอเจอและไม่ต้องมาเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างนายน้อยกับ… กับเขา นับตั้งแต่วินาทีที่นายน้อยกลับมายังตระกูลเจี่ยงพร้อมกับฮูหยิน พวกเขาก็ไม่มีความสัมพันธ์กันอีก”
เมื่อฮูหยินเจี่ยงได้ยินประโยคนี้ก็ถึงกับตื่นตกใจโดยพลัน ดวงตาคู่นั้นแดงก่ำ “เถิงเอ๋อพูดแบบนี้จริง ๆ หรือ?”
พี่ลวี่พยักหน้า
หญิงสาวโบกมือไปมา ให้คนที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายออกไป เวลานี้ความรู้สึกที่อยู่ในใจได้ปะทุขึ้นมาพร้อมกัน
หลังจากที่ตนได้หย่าร้างกับคนผู้นั้น เถิงเอ๋อก็ไม่เคยเอ่ยถึงผู้เป็นพ่อต่อหน้าตนอีกเลย เหมือนกับว่าเขาลืมการมีตัวตนของคนเช่นนี้ไปแล้ว
ทว่าในใจของนางได้ก่อเกิดความละอายบางอย่าง รู้สึกว่าตัวเองทำให้ลูกต้องเสียพ่อ
หลังจากได้ยินคำพูดของเถิงเอ๋อในทำนองนี้จากปากของผู้อื่น ฮูหยินเจี่ยงก็รู้สึกแสบจมูกเหมือนจะร้องไห้ ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ค่อย ๆ กำหมัดแน่นขึ้น
[1] ยาย่อมมีพิษสามส่วน ความเชื่อว่า ยาจีนเป็นยาบำรุงยาอายุวัฒนะ “ถ้าเป็นยา มีพิษ 3 ส่วน” (是药三分毒) ความเชื่อว่า ยิ่งบำรุงมาก ยิ่งมีสุขภาพดี เป็นแนวคิดสุดโต่งด้านเดียว ตามทัศนะแพทย์แผนจีน
สารจากผู้แปล
ถ้ามีพ่อแบบนี้ก็อย่ามีเลยดีกว่าค่ะ เถิงเอ๋อคงคิดดีแล้ว
ไหหม่า(海馬)