ตอนที่ 142 ฝึกฝนวิชาควบคุมดาบ

เวลาสองเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็วเพียงกะพริบตา

หยางเย่นั่งขัดสมาธิอยู่บนโขดหินภายใต้น้ําตก และปล่อยให้น้ําตกกระทบเขาจากด้านบน เวลานี้หยางเย่เริ่มเปิดตาและยืนขึ้นอย่างช้า ๆ มันค่อนข้างยากสําหรับเขาแต่ก็ยังยืนขึ้นได้

หลังจากนั้นเขากระโดดลงมาก่อนจะถึงพื้นอย่างมั่นคง

หยางเย่มองไปที่ผิวหนังสีทองแดง จากนั้นมุมปากได้เผยรอยยิ้มดีใจออกมา การฝึกฝนอย่างเหนือมนุษย์ในช่วงเวลาสองเดือนที่ผ่านมานั้น นอกจากจะทําให้เขาสามารถยืนอยู่เผชิญน้ําตกได้แล้ว ยังทําให้ร่างกายเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ปัจจุบันร่างกายของหยางเย่เริ่มใกล้เคียงกับเหล็กกล้า

กล่าวโดยปกติร่างกายของเขาสามารถทัดเทียมได้กับสัตว์อสูรราชันได้แล้ว

“ของวิเศษและวิชาธรรมดาไม่สามารถทําอะไรร่างกายเจ้าได้แล้ว!” ทันใดนั้นผู้อาวุโสมู่ปรากฏตัวขึ้นด้านข้างหยางเย่

“ผู้อาวุโสมู่ ข้ารู้สึกว่าร่างกายของข้าเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง และข้าอยากจะมุ่งหน้าไปยังขุนเขาไม่สิ้นสุด เพื่อต่อสู้กับสัตว์อสูรราชันสักตัวดู!” หยางเย่กล่าวด้วยอาการตื่นเต้นเล็กน้อย หากเขาไม่ได้อยู่ใต้ดินตอนนี้ หยางเย่คงขี่ราชันหมาป่าเพื่อไปต่อสู้ตามที่ใจอยากแล้ว แต่ก็ไม่อาจเผยตัวสหายตัวจ้อยและสัตว์อสูรตัวอื่นได้ หลังจากมาที่นี่ เพราะเขาเองก็ไม่กล้าประมาทตันเถียนนวนนั้นลึกลับเกินไป หยางเย่ไม่ต้องการให้คนอื่นทราบเกี่ยวกับมันมาก

สหายตัวจ้อยสามารถเห็นตันเถียนน้ําวนได้เพียงการมองครั้งเดียว และหยินฉวนเอ๋อเองก็เช่นกัน ดังนั้น กล่าวโดยแท้จริง ชายชราก็ควรจะเห็นไม่ต่างจากทั้งสอง เพราะความแข็งแกร่งของชายชรานั้นเหนือกว่าทั้งสอง แต่ด้วยบางเหตุผล ไม่มียอดฝีมือมนุษย์คนใดสามารถสังเกตเห็นตันเถียนนวนของหยางเยู่ได้เลย มันทําให้เขาสับสนเล็กน้อย

“หากเป็นการต่อสู้ เจ้าจะมีโอกาสอีกมากในอนาคต!” ผู้อาวุโสบู่กล่าว “ปัจจุบัน ร่างกายของเจ้านั้นยากที่จะพัฒนาไปได้อีก ไม่ว่าจะเป็นการทนต่อแรงน้ําตก หรือเพลิงภูตนรก ทั้งสองไม่สามารถเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้เจ้าได้อีกต่อไป กล่าวคือ หากข้าใช้เพลิงภูตนรกเจ้าก็จะถูกเผาจนเป็นเถ้าถ่าน เพราะข้าเองก็ไม่มีสมุนไพ รวิญญาณเหลือแล้ว กระนั้น พักการบ่มเพาะพลังกายไว้เพียงเท่านี้ก่อน มันถึงเวลาที่เจ้าจะฝึกฝนวิชาควบคุมดาบแล้ว!”

หยางเย่พยักหน้าเห็นด้วย เขาเองก็ทราบเช่นกันว่าการฝึกฝนใต้น้ําตกนั้นไม่ได้ผลอีกแล้ว สําหรับเพลิงภูตนรก มันสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้เขาได้ แต่ผู้อาวุโสมู่ไม่มีสมุนไพรวิญญาณเพียงพอ การใช้มันโดยปราศจากสมุนไพรวิญญาณก็เท่ากับเดินเข้าสู่ความตาย

“แสดงให้ข้าดูวิชาควบคุมดาบของเจ้าหน่อย!” ผู้อาวุโสมู่เอ่ยขึ้น

หยางเย่พยักหน้า เขาเรียกดาบออกมา จากนั้นได้สั่งให้ดาบขยับขึ้นสู่ท้องฟ้า มันร่ายรําอยู่บนฟ้าชั่วครู่ก่อนจะลงมาหาหยางเย่ จากนั้นเขาหันไปมองผู้อาวุโสมู่

ผู้อาวุโสมู่ส่ายหัวเล็กน้อย “มันช่างเรียบง่ายนัก แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้สู้กับศัตรู นอกเหนือจากฝึกฝนจนชํานาญ วิชาควบคุมดาบยังเน้นเรื่องความเร็วเช่นกัน ถึงแม้จะเป็นคนธรรมดา พวกเขาก็สามารถป้องกันดาบที่เจ้าควบคุมได้ด้วยความเร็วแบบนั้น เมื่อพวกเขาสามารถป้องกันได้ ผลลัพธ์ที่ได้จากวิชาควบคุมดาบก็ยิ่งน้อยลงไปเท่านั้น”

หลังจากกล่าวจบ ผู้อาวุโสมู่ชี้ยังไปต้นไม้ที่ห่างออกไปถึงสามร้อยเมตรพร้อมเอ่ย “ดูข้า!”

ทันใดนั้น ดาบในมือหยางเยได้หลุดออกมา จากนั้นมันกลายเป็นประกายแสงยิงไปทางต้นไม้ที่เขาชี้

หยางเย่อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง “สามร้อยเมตรเพียงแค่หนึ่งลมหายใจ ช่างร้ายกาจนัก!”

ประกายดาบเมื่อตะกี้พุ่งผ่านระยะทางสามร้อยเมตรเพียงแค่ชั่วอึดใจเดียว และมันทําให้หยางเย่ตกตะลึงอย่างมาก

และมันยังไม่จบ!

จากนั้นดาบได้ลอยกลับมาก่อนจะกลายเป็นประกายแสงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เหมือนที่หยางเย่ทําก่อนนี้ ดาบกําลังร่ายรําอยู่กลางอากาศ แต่มันต่างจากของหยางเยู่ใช้ก่อนหน้านี้ เพราะมันแทบไม่เห็นตัวดาบเลย

สิ่งที่หยางเย่เห็นเป็นเพียงภาพติดตาของดาบ ส่วนตัวดาบนั้นเขาแทบไม่สามารถสัมผัสมันได้ว่าอยู่ตรงไหน เพราะมันรวดเร็วเกินไป…

ซึ่ง!

ดาบได้กลับไปหาหยางเย่

ผู้อาวุโสมู่มองไปที่เขาก่อนจะเอ่ย “เลิกตกตะลึงได้แล้ว ผู้คิดค้นวิชาควบคุมดาบสามารถบังคับมันได้ไกลถึงห้าร้อยกิโลเมตร และเขายังใช้มันไปได้ในเวลานั้นเพียงแค่สองช่วงลมหายใจ ห้าร้อยกิโลเมตรเพียงแค่สองช่วงลมหายใจนั้น แม้กระทั่งสัมผัสเทวะของยอดฝีมือขั้นปราณจักรพรรดิก็ไม่สามารถตามได้ทัน!”

“ห้าร้อยกิโลเมตรในช่วงสองลมหายใจ!” หยางเย่กล่าวอย่างตกใจ “ผู้อาวุโสมู่ วิชาควบคุมดาบนี้อยู่ขั้นปฐพีจริงหรือ?”

“มันเป็นวิชาขั้นปฐพจริงเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน!” ผู้อาวุโสมู่กล่าว “แต่ตอนนี้ แม้มันจะไม่ได้อยู่ชั้นปราณสวรรค์ แต่มันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันนัก อย่างไรก็ตาม การจัดอันดับวิชาเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนนั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าปัจจุบัน เวลานั้นวิชามากมายที่ร้ายกาจทัดเทียมสวรรค์ได้ถูกคิดค้นออกมาอย่างไม่สิ้นสุด ถึงแม้วิชาควบคุมดาบจะโด่งดัง แต่มันก็ยังไม่ใช่วิชาที่อยู่อันดับต้น ๆ ของวิชาขั้นปฐพีด้วยซ้ํา!”

“หนึ่งหมื่นปีก่อน..” หยางเย่เอ่ยถามเสียงต่ํา “ผู้อาวุโสมู่ ท่านคงไม่ได้มีชีวิตมาหนึ่งหมื่นปีหรอกใช่หรือไม่?”

“ข้าหรือ?” ผู้อาวุโสมู่หัวเราะเล็กน้อย “มีใครในโลกนี้อาศัยอยู่ได้ถึงหนึ่งหมื่นปีบ้าง? ถึงแม้จะเป็นยอดฝีมือขั้นเซียนแล้วก็มีอายุขัยเพียงไม่กี่พันปีเท่านั้น บางทียอดฝีมือขั้นเทพสวรรค์อาจจะสามารถอยู่ได้ถึงหนึ่งหมื่นปี แต่ในประวัติศาสตร์ของเขตแดนใต้ ยังไม่มีผู้ใดสามารถบรรลุขั้นเทพสวรรค์ได้เลิกสนทนาเรื่องนี้ได้แล้ว ข้าจะใช้สัมผัสเทวะกดดันเจ้าขณะฝึกฝน เจ้าสามารถบรรลุความเข้าใจวิชาควบคุมดาบพื้นฐานได้ เมื่อสามารถควบคุมดาบให้พ่งไปถึงสามร้อยเมตรด้วยลมหายใจเดียว!”

“สามร้อยเมตรในช่วงลมหายใจเดียวเพื่อบรรลุขั้นพื้นฐาน!” หยางเย่ยิ้มอย่างขมขื่น “ผู้อาวุโสมู่ ท่านคิดว่าข้าสามารถทําได้งั้นหรือ?”

ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความมั่นใจที่จะทํา แต่เพราะผู้อาวุโสมู่กล่าวเกินจริงไปมาก เพราะเขาสามารถใช้มันได้เพียงสิบเมตรในลมหายใจเดียว…

“ทําไมจะไม่ได้ล่ะ?” ผู้อาวุโสมู่ขมวดคิ้ว “เจ้าคิดว่าข้าใช้ความแข็งแกร่งในขั้นพลังปราณของข้าเพื่อทําได้เช่นนั้นงั้นหรือ? ข้าใช้ขั้นพลังปราณของปราณสวรรค์ขั้นแรกในการควบคุมดาบเมื่อตะกี้ เมื่อข้าทําได้ เหตุใดเจ้าจะทําไม่ได้?”

“ผู้อาวุโสม่ใช่เพียงปราณของขั้นปราณสวรรค์งั้นหรือเมื่อตะกี้?” หยางเย่กล่าวอย่างสงสัย

“ถูกต้อง!” ผู้อาวุโสมู่พยักหน้า แต่หยางเยู่ไม่ได้สังเกตว่ามุมปากของผู้อาวุโสม่ขยับเล็กน้อยเมื่อกล่าว

หยางเย่รู้สึกมีความมั่นใจขึ้นมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น เมื่อมีคนสามารถทําได้ แล้วทําไมข้าถึงจะทําไม่ได้ล่ะ?”

เมื่อนึกได้เช่นนั้น หยางเย่สูดหายใจลึก “ผู้อาวุโสมู่มาเริ่มกันเลย!”

ทันทีที่กล่าวจบเขาสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่มองไม่เห็นเข้ามากดดันในความคิด หยางเย่ตกตะลึงในใจ “นี่คือสัมผัสเทวะของผู้อาวุโสมู่งั้นหรือ?

ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าแรงกดดันจากจักรพรรดิโจวคืออะไร แต่แรงกดดันของผู้อาวุโสมู่นั้นต่างกับของจักรพรรดิโจว เพราะมันยังไม่รุนแรงเท่ากับตอนนั้น ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าสามารถต่อต้านมันได้บ้าง ส่วนของจักรพรรดิโจวนั้นรุนแรงอย่างมากจนทําให้เขาแทบจะขาดอากาศหายใจ

“สัมผัสเทวะของข้านั้นเปรียบเสมือนแรงดึงดูด หากเจ้าสามารถโจมตีได้สิบครั้งในการโจมตีเดียวก่อนหน้านี้ เช่นนั้นเจ้าจะโจมตีได้เพียงครั้งเดียวตอนนี้ ค่อย ๆ ฝึกฝนกับต้นไม้เหล่านั้นไป ข้าจะไปพักผ่อนแล้ว!” ทันทีที่กล่าวจบ ผู้อาวุโสมู่หันหลังเดินกลับเข้าไปในกระท่อม

ถึงแม้ชายชราจะจากไป แต่แรงกดดันยังคงอยู่ สิ่งนี้ทําให้หยางเย่ตกตะลึงในความแข็งแกร่งของชายชราอย่างมาก ไม่กี่เดือนที่เขาอาศัยอยู่กับชายชรา เขาพยายามจะหลอกถามความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสมู่ แต่ก็ไม่สามารถทราบคําตอบได้ หลังจากนั้นจึงหยุดถามไปโดยปริยาย อย่างไรก็ตาม เขาทราบว่าชายชราผู้นี้ร้ายกาจเกินคําบรรยายแน่นอน…

หยางเย่ส่ายหัวข่มความคิดฟุ้งซ่านในหัวก่อนจะเริ่มควบคุมดาบในใจ

ด้านบนของหุบเหวมรณะ ร่างลึกลับชุดดํากําลังมองลงไปใต้หุบเหว ร่างชุดดํานั้นไม่ใช่ใครนอกจากมือสังหารขั้นมนุษย์จากสมาคมมือสังหาร

หลังจากที่ล้มเหลวครั้งก่อนหน้า นางทราบดีว่าไม่อาจลอบสังหารหยางเย่ได้หากเขายังอยู่กับยอดฝีมือขั้นปราณราชัน ดังนั้นนางจึงรอจนมาถึงหุบเหวมรณะ

สองเดือนก่อน ชายหนุ่มนามหยางเยได้มาถึงยังหุบเหวนี้ แต่ก่อนที่จะลงมือ ชายหนุ่มได้กระโดดลงไปยังหุบเหว สิ่งนี้ทําให้นางตกตะลึงอยู่นาน

นั่นหุบเหวมรณะนะ? มันเป็นสถานที่ที่แม้แต่ยอดฝีมือขั้นปราณจุตยังไม่กล้าลงไป! แต่ชายหนุ่มนามหยางเย่ได้กระโดดลงไปโดยไม่ลังเล…”

มันต้องมีความลับบางอย่างแน่นอน สัญชาตญาณบอกว่าเขาจะต้องกลับขึ้นมาแน่นอน นางไม่คิดว่าชายหนุ่มคนนั่นจะเบื่อชีวิตและคิดสังหารตนเองโดยการลงไปที่นั่นแน่นอน แต่หลังจากผ่านไปสองเดือน ชายหนุ่มก็ยังไม่ปรากฏตัวขึ้นมา…

จากนั้นไม่นาน ร่างชุดดําได้ถอนสายตาออก สุดท้ายนางหันหลังพุ่งออกจากขุนเขาไม่สิ้นสุดไป

อันที่จริงงานของนางถือว่าสําเร็จแล้วตั้งแต่ที่หยางเย่กระโดดลงไปใต้หุบเหวมรณะ ไม่ว่าหยางเย่จะมีชีวิตอยู่หรือไม่ มันก็ไม่ใช่ปัญหาของนางอีกตั้งแต่ที่เขากระโดดลงไป แต่นางผู้ที่ไม่เคยทํางานล้มเหลวมาก่อนกลับถูกหยางเย่ทําให้พังได้หลายครั้ง และยังเกือบถูกสังหารโดยหยางเยอีกหลายครั้งเช่นกัน

สิ่งนี้ทําให้นางไม่พอใจอย่างมาก ดังนั้นนางจึงต้องการปลิดชีวิตเขาด้วยมือตนเองอย่างแท้จริง หรือกล่าวได้ว่า การกระทําระหว่างมือสังหารกับหยางเย่นั้นไม่ได้เป็นแบบผู้ลอบสังหารกับเหยื่อเท่าไหร่นัก

แต่ท้ายที่สุดมันก็จบลงเรียบร้อย นางกลับไปรายงานว่างานสําเร็จ แต่ก็ไม่สามารถเลิกคิดได้ว่าชายหนุ่มนามหยางเย่นั้นลึกลับและแข็งแกร่งอย่างมาก…