ตอนที่ 141 จักรพรรดิดาบ!
เจ็บปวดทรมานอย่างมาก!
นี่คือสิ่งที่หยางเย่รู้สึกตอนนี้ เขาต้องการจะกระโดดออกจากถังอาบน้ํา แต่เมื่อนึกถึงมารดาที่ทุกข์ทนอยู่ในราชวังบุปผา จึงทําได้เพียงข่มความคิดนั้นไว้
ไม่นาน ผิวหนังของหยางเยเริ่มลอกออกเป็นชิ้น ๆ ตอนนี้เขาราวกับงที่กําลังลอกคราบ และมันยังหลุดต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด ภาพของหยางเย่ตอนนี้น่าสะพรึงอย่างมาก
ขณะผิวหนังของเขาลอกออก น้ํามรกตเองก็เริ่มออกฤทธิ์ พลังงานบางอย่างได้ไหลเข้าสู่ร่างกายหยางเย่ และเริ่มฟื้นฟูบาดแผลไหม้จากเพลิงภูตนรก มันเป็นเพราะพลังนี้ที่ทําให้ร่างของหยางเย่ไม่ถูกเผา แต่มันก็ยังทําให้หยางเย่ทรมานอยู่ดี เพราะความรู้สึกถูกเผาไหม้จากเพลิงภูตนรกนั้นรุนแรงมาก!
หนึ่งชั่วยามผ่านไป
ใบหน้าหยางเย่ยังคงบิดเบี้ยวเช่นเดิม มันไม่ได้บิดเบี้ยวจากการถูกเผาไหม้ แต่มันเกิดจากความเจ็บปวดที่เขาได้รับ แต่ถึงแม้จะเจ็บปวด หยางเย่ก็ไม่เปล่งเสียงออกมาแม้แต่น้อย
การกระทําหยางเย่ทําให้ผู้อาวุโสมู่พยักหน้าเล็กน้อย แต่เดิมเขามีความสนใจในตัวหยางเย่เพียงเล็กน้อย และยังห่างไกลจากคําว่าน่าชื่นชม เพราะไม่ว่าพรสวรรค์ของหยางเย่จะเยี่ยมเพียงใด เขาก็ยังไม่คิดว่ามันสําคัญ แต่หลังจากอาศัยอยู่กับหยางเยู่ในเวลาไม่กี่วันมานี้ การกระทําของหยางเย่ทําให้เขาสนใจมากขึ้นจนอยากจะรับหยางเย่เป็นศิษย์
แต่หยางเย่นั้นฝึกฝนวิชาดาบ และมันทําให้เขารับหยางเย่เป็นศิษย์ไม่ได้ เพราะวิถีแห่งดาบไม่ใช่สิ่งที่เขาคุ้นเคย
ขณะมองหยางเย่ที่อยู่ในถังอาบน้ํา ผู้อาวุโสมู่ทําได้เพียงถอนหายใจเสียงต่ก่อนจะเดินเข้าไปในกระท่อม
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ เกือบสามชั่วยามตั้งแต่หยางเยเริ่มเข้าไปในถังอาบน้ํา สามชั่วยามที่ผ่านมานี้กล่าวได้ว่าทําให้หยางเย่เจ็บปวดทรมานที่สุดในชีวิต เพราะร่างกายของเขาได้รับผลกระทบอย่างมากก่อนจะได้รับการฟื้นฟู แต่หลังจากนั้นหยางเย่เริ่มเพลิดเพลินไปกับกระบวนการนี้ขึ้นทุกที
ปัจจุบันมีเพียงเหตุผลเดียวที่ทําให้เขายังอยู่ในถังอาบน้ํานี้ นั่นคือความเชื่อมั่นที่จะต้องแข็งแกร่งขึ้นจนได้เทียมทาน!
เมื่อรุ่งอรุณมาถึง แสงแดดยามเช้ได้สาดส่องขึ้นมาตามเส้นขอบฟ้า มันส่องกระทบโดนตัวหยางเย่ที่อยู่ในถังอาบน้ํา และมันราวกับผ้าคลุมสีทองปกคลุมร่างหยางเย่อยู่
แครก!
ประตูกระท่อมเปิดออกอย่างช้า ๆ จากนั้นผู้อาวุโสม่ได้เดินออกมาพร้อมไม้เท้าในมือ เขาเดินมาอยู่ตรงหน้าหยางเย่ ผู้อาวุโสมู่พยักหน้าเล็กน้อยเมื่อเห็นน้ําในถังกลายเป็นสีดําสนิทพร้อมเอ่ย “สมุนไพรวิญญาณทั้งหมด ในถังน้ําได้ถูกเจ้าดูดซับหมดแล้ว ออกมาได้ หากยังอยู่ต่อร่างกายเจ้าจะต้องถูกเผาจนเป็นขี้เถ้า และจะไม่มีการฟื้นฟูจากสมุนไพรวิญญาณอีก!”
เมื่อได้ยินผู้อาวุโสม่ หยางเย็บเปิดตาและกระโจนออกมาจากถังน้ําอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นหยางเย่เอนตัวลงนอนบนพื้นพร้อมหอบหายใจขณะที่แสงแดดกระทบกับร่างกาย
ถึงแม้จะออกมาจากถังแล้ว เขาก็ยังรู้สึกแสบร้อนจากการแผลถูกลวกอยู่ แต่มันก็ไม่ได้รุนแรงเท่าที่อยู่ข้าง
ใน!
ผู้อาวุโสขยับมือเล็กน้อย ท่าให้เพลิงสีขาวภายในถังอาบน้ําขยับกลับมาอยู่ในฝ่ามือ ชายชราเก็บเพลิงภูตนรกไว้ก่อนจะมองหยางเย่ “จากนี้ไปเจ้าจะต้องไปยืนต้านรับแรงกระแทกของน้ําตกตอนกลางวัน และตอนกลางคืนมาอยู่ในถังน้ําต่อ สิ่งนี้จะดําเนินต่อไปจนกระทั่งร่างกายเจ้าเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์!”
ข้าต้องทําแบบนี้ทุกคืนเลยงั้นหรือ?” หยางเยรีบลุกขึ้นนั่งก่อนจะมองไปที่ชายชราพร้อมเอ่ยอย่างไม่รู้ตัว
“ถูกต้อง!” ผู้อาวุโสมู่พยักหน้าเล็กน้อย “เจ้าคิดว่าการทําแค่ครั้งเดียวจะทําให้ร่างกายพัฒนามากงั้นหรือ? หากมันเปลี่ยนแปลงได้ง่ายเช่นนั้น อาชีพผู้กลั่นพลังกายคงไม่หายสาบสูญไปหรอก!”
“ผู้กลั่นพลังกาย?” ความสนใจของหยางเย่ถูกกระตุ้นขึ้น “พวกเขาเป็นยอดฝีมือในการบ่มเพาะพลังกา ยงั้นหรือครับ?”
ผู้อาวุโสมู่พยักหน้า “ผู้กลั่นพลังกายนั้นร้ายกาจมากเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน แต่พวกเขาก็ต้องทุกข์ทนกับเหตุผลบางประการ จนทําให้พวกเขามีจํานวนน้อยลงเรื่อย ๆ ประกอบกับมันเป็นอาชีพที่ผู้ฝึกนั้นต้องทนทุกข์เจ็บปวด ดังนั้นผู้คนที่บ่มเพาะพลังนี้จึงลดน้อยลงไปอีก”
หยางเย่เอ่ยถามอย่างสงสัย “ผู้อาวุโสมู่ ผู้กลั่นพลังกายร้ายกาจแค่ไหนกัน?”
เหตุผลที่เขาบ่มเพาะพลังกายนั่นคือเขาเห็นว่าร่างกายของสัตว์อสูรแข็งแกร่งมาก รวมกับที่เขาเองมีพลังปราณทองคําที่สามารถฟื้นฟูร่างกายตนเองได้ เช่นนั้นเขาจึงคิดจะบ่มเพาะพลังกาย มิเช่นนั้นคงไม่คิดจะบ่มเพาะมันแม้แต่น้อย เพราะนอกจากสัตว์อสูรก็แทบไม่มีผู้ใดในเขตแดนใต้ที่ฝึกฝนวิชาบ่มเพาะพลังกาย!
“ร้ายกาจอย่างมาก!” ประกายแห่งความแปลกประหลาดปรากฏขึ้นใดดวงตาชายชรา หลังจากผ่านไปชั่วครู่ “ครั้งหนึ่งเคยมีคนที่บ่มเพาะพลังกายจนถึงขั้นทนทานต่อทุกวิชา ในเวลานั้นแม้แต่จักรพรรดิดาบที่ฝึกฝนวิชาจนสามารถทําลายวิชาทุกอย่างได้ด้วยการโจมตีเดียว เขาก็ยังทําอะไรกับผู้กลั่นพลังกายไม่ได้ เพราะร่างกายของเขาเสมือนกับวัตถุแห่งเทวะ!”
“ทนทานต่อทุกวิชา!” หยางเย่กลืนน้ําลายพร้อมกล่าวอย่างตกตะลึง “นั่นไม่ได้หมายความว่าร่างกายเขาแข็งแกร่งจนถึงขั้นคงกระพันใช่หรือไม่?”
“คงกระพัน?” ผู้อาวุโสมู่ชะงักก่อนจะส่ายหัว “ไม่จริงทั้งหมด ถึงแม้จักรพรรดิดาบคนนั้นจะไม่สามารถทําอะไรเขาได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจักรพรรดิดาบในชั่วอายุอื่นจะไม่สามารถสู้กับเขาได้ ทั้งหมดที่ข้าจะสื่อคือ ผู้กลั่นพลังกายนั้นร้ายกาจมาก มันจะน่าสะพรึงเมื่อบ่มเพาะจนถึงขั้นสุดยอด!”
หยางเย่พยักหน้าก่อนจะเอ่ยถาม “ผู้อาวุโส ท่านบอกว่ามีจักรพรรดิอยู่หลายชั่วอายุ จักรพรรดิดาบเป็นคนหรือ…?”
“มันคือฉายา!” ผู้อาวุโสมู่เหมือนจะครุ่นคิดบางอย่างก่อนจะมองไปที่หยางเย่พร้อมยิ้ม “ฮ่าฮ่า! ข้าลืมไปเลยว่าเจ้าเองก็คู่ควรที่จะเป็นจักรพรรดิดาบ!”
“ข้าคู่ควรที่จะเป็นจักรพรรดิดาบ?” หยางเย่สับสนเล็กน้อย
ผู้อาวุโสบู่กล่าว “มีขุนเขาที่เรียกว่าขุนเขาจักรพรรดิดาบ และมันตั้งอยู่ในใจกลางของเขตแดนใต้ บนนั้นมีปลอกดาบโบราณอยู่ สําหรับต้นกําเนิดของปลอกดาบโบราณนั้นไม่มีผู้ใดทราบค่าตอบ แต่ปลอกดาบโบราณมันเป็นวัตถุสวรรค์ มันมีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตนเอง สําหรับฉายาจักรพรรดิดาบนั้น มันมีความเกี่ยวข้องกับปลอกดาบนี้ เพราะผู้ที่สามารถครอบครองปลอกดาบโบราณนั้นได้ ผู้นั้นก็คือจักรพรรดิดาบ ในการที่จะถูกยอมรับจากปลอกดาบโบราณ ผู้นั้นจะต้องเข้าใจเจตจํานงแห่งดาบ และมีเพียงผู้ที่เข้าใจเจตจํานงแห่งดาบเท่านั้นที่จะถูกยอมรับให้เป็นผู้สมัครอันเหมาะสมที่จะเป็นจักรพรรดิดาบ แต่เจ้าไม่เพียงแต่จะมีเจตจํานงแห่งดาบ เจ้ายังมีดาบแห่งการรู้แจ้งด้วย เข้าใจหรือไม่?”
“วัตถุสวรรค์..” หยางเย่กลืนน้ําลาย วัตถุสวรรค์นั้นอยู่เหนือกว่าวัตถุเต่า ยิ่งกว่านั้นมันยังมีจิตสํานึกเป็นของมันเอง หากเราสามารถครอบครองปลอกดาบนั้นได้ เช่นนั้นความแข็งแกร่งในการต่อสู้คงพุ่งขึ้นอย่างมาก!
“ผู้อาวุโส ในเขตแดนใต้ตอนนี้มีจักรพรรดิดาบอยู่หรือไม่?” หยางเย่เอ่ยถาม
ผู้อาวุโสมู่ส่ายหัว “ตั้งแต่ที่จักรพรรดิดาบถูกสังหารไปเมื่อสามพันปีก่อน เขตแดนใต้ก็ไร้ซึ่งจักรพรรดิดาบอีก ดังนั้นปลอกดาบโบราณจึงอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาสามพันปีแล้ว แต่…” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ผู้อาวุโสมู่มองไปที่หยางเย่ก่อนจะกล่าว “มันคงไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้วเพราะการมีตัวตนของเจ้า ข้าไม่ได้กล่าวเกินจริง เจ้าสามารถเชื่อมต่อกับมันเพื่อสมัครประลองเป็นจักรพรรดิดาบได้!”
“การประลองเพื่อเป็นจักรพรรดิดาบ?” หยางเย่สับสนเล็กน้อย และตระหนักได้ว่าความรู้ของตนเองนั้นช่างเล็กจ้อยนัก
“หลังจากการตายของจักรพรรดิดาบแต่ละคน ปลอกดาบโบราณจะกลับไปอยู่ขุนเขาจักรพรรดิดาบทันที และเริ่มต้นจําศีลเพื่อรอการมาของจักรพรรดิดาบคนต่อไป เพื่อที่จะได้รับการยอมรับจากปลอกดาบโบราณ ผู้นั้นจะต้องปลุกจิตวิญญาณดาบภายในนั้นให้ได้ก่อน หลังจากจิตวิญญาณดาบถูกปลุก มันจะแจ้งข่าวสารไปทั่วเขตแดนใต้เพื่อเรียกอัจฉริยะแห่งวิถีดาบมายังขุนเขาจักรพรรดิดาบ และทําการจัดประลองกับผู้ที่ปลุกมันขึ้น ผู้นั้นจะถูกยอมรับจากปลอกดาบโบราณหลังจากเอาชนะอัจฉริยะดาบทั่วปฐพี และกลายเป็นจักรพรรดิดาบในที่สุด! แน่นอนว่ากฎนี้ขั้นพลังของผู้ทําชิงต้องไม่สูงเกินสองขั้นของผู้รับคําท้า!” ผู้อาวุโสมู่กล่าวช้าๆ
“เอาชนะบรรดาอัจฉริยะแห่งวิถีดาบทั่วปฐพี…” หยางเย็บ่นพึมพํา ไม่จําเป็นต้องกล่าวคําใด จักรพรรดิดาบนั้นน่าสะพรึงอย่างมาก มีคนฝึกฝนวิชาดาบมากมายแค่ไหนในโลกนี้? ถึงแม้การเอาชนะบรรดาอัจฉริยะวิถีดาบนั้นจะไม่ได้หมายถึงเอาชนะทุกคนในโลก มันก็ยังยากอย่างมากที่จะทําให้สําเร็จ ยิ่งกว่านั้นผู้ท้าชิงยังมีพลังขั้นเหนือกว่าได้ถึงสองขั้นของผู้รับคําทํา…
ผู้อาวุโสมู่ยิ้มเมื่อเห็นอาการตกตะลึงของหยางเย่ “เจ้าหนู ข้าคิดว่าเจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะปลุกจิตวิญญาณดาบในปลอกดาบโบราณ และประลองดาบกับบรรดาอัจฉริยะดาบทั่วโลก เลือดของเจ้าเดือดพล่านเมื่อได้ยินสิ่งนี้หรือไม่?”
หยางเยยิ้มอย่างขมขึ้น “ข้าไม่ได้คิดถึงมันมากมายขนาดนั้น ข้าต้องการเพียงแค่ความแข็งแกร่งเพื่อช่วยมารดา ใช่แล้ว ผู้อาวุโสทราบต้นกําเนิดของปลอกดาบโบราณหรือไม่?”
“ข้าทราบเพียงเล็กน้อย!” ผู้อาวุโสมู่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “มันเป็นวัตถุที่น่าสงสารนัก… เอาล่ะเลิกสนทนาเรื่องนี้กัน หรือไปบ่มเพาะพลังเร็วเข้า มันยังเร็วเกินไปที่เจ้าจะมาหาคําตอบเรื่องนี้ เจ้าควรจะบ่มเพาะพลังกายให้แข็งแกร่งจนทัดเทียมกับสัตว์อสูรราชันให้ได้ก่อน!”
หยางเย่หยุดคิดทันที่ที่ได้ยิน เขาโค้งคํานับผู้อาวุโสมู่ก่อนจะวิ่งไปที่น้ําตก
ขณะมองไปที่หยางเย่ ผู้อาวุโสมู่หัวเราะเล็กน้อยพร้อมเอ่ย “จักรพรรดิดาบ…”