ตอนที่ 230 คุณหนูหนีไปแล้ว!

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 230 คุณหนูหนีไปแล้ว!

ซูจ้าวพลันหัวเราะ ‘คิกๆ’ ออกมา คลี่ยิ้มสดใสปานบุปผา ยกมือป้องปากหัวเราะพลางกล่าวว่า “ล้อเล่นน่ะ เจ้าเชื่อจริงๆ หรือ?”

เซ่าผิงปออมยิ้ม “พูดมาตามตรงเถอะ”

“อยากฟังจริงๆ เหรอ? พูดไปกลัวเจ้าจะโกรธเอา ข้าวนเวียนอยู่ในแวดวงคณิกา บุรุษแบบไหนก็ล้วนเคยพบมาหมดแล้ว เวลาสตรีพูดความจริงที่บุรุษยากจะรับได้ บุรุษจะไม่ชอบ”

“พูดได้ไม่เป็นไร ข้ารอฟังอยู่”

รอยยิ้มบนใบหน้าของซูจ้าวค่อยๆ จางลง นางยิ้มบางๆ พลางเอ่ยว่า “ข้าไม่รู้จักเขา แต่ข้ารู้จักเจ้าเป็นอย่างดี ถึงข้าจะฉลาดไม่เท่าเจ้า แต่คนนอกก็มักจะมองเห็นชัดกว่าใช่ไหมล่ะ เท่าที่ได้ฟังเรื่องราวจากเหล่าเซ่ามา นับตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกเจ้าทั้งสองพบหน้ากัน เจ้าก็แพ้เขาแล้ว เขามาอยู่ใต้จมูกเจ้าแล้ว ถูกเจ้าพาตัวมาที่มณฑลเป่ยโจว แต่สุดท้ายก็ยังปล่อยให้เขาหนีรอดไปได้ หรือเจ้าไม่เคยขบคิดถึงสาเหตุที่แฝงอยู่ในเรื่องนี้บ้าง?”

เซ่าผิงปอนิ่งเงียบ

ซูจ้าวถอนใจพลางกล่าว “พวกเจ้าพบหน้ากันครั้งแรก ต่างคนต่างไม่รู้จักกัน ไร้ซึ่งความพยาบาทแค้นเคือง เหตุใดเขาถึงหนีเล่า? เพราะทันทีที่ได้พบกัน เขาก็มองตื้นลึกหนาบางของเจ้าออกแล้วอย่างไรล่ะ เขาตระหนักถึงอันตรายได้แต่เนิ่นๆ ดังนั้นจึงตัดสินใจหนี แล้วเจ้าล่ะ อีกฝ่ายมองเห็นก้นบึ้งของเจ้าชัดเจน แต่เจ้ากลับมารู้ตัวภายหลัง กว่าจะรู้ตัวเขาก็หนีไปเสียแล้ว อันที่จริงเจ้าก็รู้ถึงความต่างชั้นระหว่างเจ้ากับเขาดี แต่จิตใต้สำนึกของเจ้ากลับไม่ยอมเผชิญหน้า ไม่ยอมรับว่าเจ้าสู้เขาไม่ได้”

“เมื่ออีกฝ่ายหนีรอดไปได้ก็ปล่อยเพลงกล่อมเด็กออกมาเล่นงานเจ้าทันที ดูคล้ายไม่อาจทำอะไรเจ้าได้ แต่ความจริงแล้วเป็นแผนการที่ไม่ธรรมดาเลย นี่ไม่ใช่แผนการที่คนธรรมดาจะคิดออกมาได้ง่ายๆ เด็ดขาด สร้างคลื่นลมขึ้นมาจากความว่างเปล่า ทั้งยังโหมกระหน่ำเข้ามาอย่างรวดเร็วและรุนแรง โจมตีจนเจ้าตั้งตัวไม่ทันแม้แต่น้อย ยังดีที่น้าเขยเป็นคนใจกว้างคนหนึ่ง หาไม่แล้วเจ้าก็ลองถามใจตนดูสิเจ้าจะผ่านมาเรื่องนั้นมาได้อย่างราบรื่นหรือไม่? เกรงว่าเจ้าคงต้องจัดการเรื่องความสัมพันธ์กับน้าเขยจนเหนื่อยเลยล่ะ”

“ถูกต้อง เจ้าเองก็แก้แค้นเขากลับไปในทันทีเช่นกัน แต่ผลลัพธ์ล่ะ? ไม่เกิดผลใดๆ ทั้งสิ้น ไม่เพียงแต่จะทำให้ตระกูลซ่งต้องล่มจม แต่ยังส่งกำลังคนของทั้งสามสำนักไปให้เขาอีกต่างหาก หนำซ้ำอีกฝ่ายยังฉวยโอกาสวางกับดักเจ้าได้ด้วย ส่วนเจ้าล่ะ เจ้ากลับมุดเข้าไปในกับดักนี้เสียอย่างนั้น”

“ที่เจ้าตกหลุมพรางเขา มิใช่เพราะเจ้าไม่ฉลาด หากแต่เป็นเพราะเจ้าถูกอีกฝ่ายมองตื้นลึกหนาบางออกตั้งแต่แรก เจ้ากำลังคิดอะไร อีกฝ่ายเขารู้ดี อีกฝ่ายคาดเดาความคิดของเจ้าออก แล้วเจ้ายังจะเล่นงานเขาได้อย่างไรล่ะ? ครั้งนี้กล่าวได้เพียงว่าเจ้าโชคดีที่รอดตัวมาได้ หากมิใช่เพราะพวกอนุหร่วนแม่ลูกโง่เกินจนคาดคิดไม่ถึง ทำให้เจ้าทราบข่าวล่วงหน้า ทำให้เจ้าอุดช่องโหว่นี้ได้ทัน เจ้าคิดว่าพวกเรายังมีโอกาสได้ยืนคุยกันอยู่ที่นี่หรือ? หรือบทเรียนที่น่าเจ็บปวดครั้งนี้ยังไม่ทำให้เจ้ารู้ตัวอีก?”

เซ่าผิงปอขบกรามแน่น

ซูจ้าวที่สวมเสื้อคลุมอยู่เดินไปสูดอากาศที่หน้าต่าง หันหลังให้เขา มองแสงตะวันนอกหน้าต่าง “ได้ยินว่าเขายังอายุน้อยอย่างมาก เพิ่งจะยี่สิบต้นๆ กระมัง”

เซ่าผิงปอเอ่ยเสียงเบา “ใช่ เหมือนจะประมาณนั้น อายุน้อยจริงๆ”

ซูจ้าวส่ายหน้าพลางจุ๊ปาก “แต่ก่อนข้าคิดว่าเจ้านับเป็นคนที่ปราดเปรื่องที่สุดในใต้หล้านี้แล้ว ใครจะไปคิดว่าจะมีเด็กหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ คนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น อายุน้อยกว่าเจ้าราวสิบปี แต่กลับสะกดเจ้าเอาไว้เสียอยู่หมัด.. อายุเพียงเท่านี้ หากบอกว่าฉลาดปราดเปรื่อง ข้าเชื่อ แต่เขากลับสามารถใช้กลยุทธ์ที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ออกมาได้ หากบอกว่าเป็นคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ผ่านร้อนหนาวมาก่อน ข้ารู้สึกยากจะเชื่อได้จริงๆ แต่ความจริงมันก็ปรากฏชัดอยู่ตรงหน้า ทำให้ข้าจำเป็นต้องเชื่อ ดูเหมือนบนโลกนี้จะมีอัจฉริยะอยู่จริงๆ”

นางหมุนตัวกลับมา เผชิญหน้ากับเขา กล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงโน้มน้าว “หากวิเคราะห์จากที่เหล่าเซ่าเล่ามา เจ้ายังไม่รู้จักเขามากเท่าไร รู้เพียงว่าเขาไม่ธรรมดา แต่ตอนนี้เขากลับจับทางเจ้าได้แล้ว แบบนี้ยังจะสู้กันอย่างไร? หากยังสู้กันแบบนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะต้องพลาดท่าครั้งใหญ่แน่”

เซ่าผิงปอถาม “ความหมายของท่านคือปล่อยเขาไป?”

ซูจ้าวเอ่ยว่า “ไม่ใช่ให้ปล่อยเขาไป…ผิงปอ ตอนนี้สภาพจิตใจเจ้าไม่ปกติ ถูกเขายั่วโมโหแล้ว เจ้าต้องใจเย็นลงหน่อย จะเอาแต่สู้กับเขาเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ ตอนนี้เขาจับทางเจ้าได้แล้ว ยิ่งเจ้าลงมือเท่าไร เขาก็ยิ่งจับช่องโหว่ได้มากเท่านั้น ต้องถอยห่างออกมา สังเกตการณ์อย่างใจเย็น รู้เขารู้เราถูกต้องเสมอ จะดันทุรังต่อไปทั้งที่ตนสับสนเลื่อนลอยไม่ได้ ขอเพียงเจ้าอยู่นิ่งๆ ข้าเชื่อว่าตอนนี้เขาก็ไม่มีทางทำอะไรเจ้าได้เช่นกัน”

เซ่าผิงปอเอ่ยเสียงเยียบเย็น “ท่านคิดว่าเขาจะยอมรามือหรือ?”

ซูจ้าวกล่าวว่า “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะกล้าฝืนบุกเข้ามาในมหานครเป่ยโจว! หากเขายังหดหัวไม่ยอมออกมา ข้าก็ทำอะไรเขาไม่ได้ แต่หากว่าเขากล้าออกมา ข้าจะช่วยจัดการเขาให้เจ้า!”

“ท่านจะช่วยจัดการเขาให้ข้าหรือ” เซ่าผิงปอขมวดคิ้ว

ซูเจ้าถอนหายใจ เอ่ยว่า “เจ้ายังไม่รู้ตัวอีกหรือ แผนการของเขายอดเยี่ยม ในเมื่อเขาเชี่ยวชาญในการวางแผนเช่นนี้ แล้วเราจะไปปะทะกับจุดแข็งของเขาตรงๆ ทำไม? จัดการคนประเภทนี้ ง่ายนิดเดียว เล็งไปที่จุดอ่อนของเขา สภาวะของเขาไม่แข็งแกร่งมากพอ ความสามารถในการต่อสู้อ่อนด้อย เช่นนี้ก็ต้องใช้การต่อสู้เข้าจัดการ ทันทีที่หาโอกาสได้ก็ลงมือสังหารเขาซะ ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมอันใดกับเขา มิเช่นนั้นอ้อมไปอ้อมมาไม่ช้าก็เร็วจะกลายเป็นพวกเราเองที่อ้อมเข้าไปติดกับ!”

เซ่าผิงปอเอ่ยอย่างสงสัย “ท่านเตรียมจะใช้คนในสมาคมของพวกท่านหรือ? แบบนี้จะดีหรือ หากเกิดเรื่องขึ้นมาท่านจะไม่สามารถอธิบายกับทางสมาคมของท่านได้นะ ไม่ควรเสียงานใหญ่เพื่อเรื่องเล็กน้อย!”

ซูจ้าวกล่าวว่า “ควรทำอย่างไรข้าย่อมรู้ดี สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเจ้าในตอนนี้คือผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้ จากนั้นทุ่มเทสมาธิทั้งหมดไปที่เรื่องของตัวเอง เรื่องของเจ้าเป็นงานใหญ่ ถ่วงรั้งงานใหญ่ของทั้งมณฑลเป่ยโจวเพื่อไปเล่นกับเขามันคุ้มกันแล้วหรือ? มณฑลเป่ยโจวที่กว้างใหญ่ไพศาลเทียบกับพื้นที่สองจังหวัดเล็กๆ แล้ว เป็นเขาที่เสียเปรียบหรือเป็นเจ้าที่โง่เขลากันแน่?”

“ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียร ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของทั้งสองจังหวัด มีเวลามากมายมาเล่นกับเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นถึงเกิดเรื่องขึ้นมา เขาก็สามารถทิ้งสองจังหวัดแล้วหลบหนีไปได้ทุกเมื่อ แต่ถ้าหากเจ้าก่อเรื่องขึ้นมา เจ้าจะละทิ้งมณฑลเป่ยโจวแล้วหลบหนีไปได้หรือ? ไม่มีมณฑลเป่ยโจวแล้วผู้ใดจะเห็นเจ้าอยู่ในสายตา? ระดับของพวกเจ้าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง! หากเจ้ายังดันทุรังเล่นกับเขาต่อไปจริงๆ เกรงว่าคงต้องพลาดท่าให้เขาเข้าจริงๆ…ผิงปอ เรื่องของผู้บำเพ็ญเพียร ให้พวกเราจัดการด้วยวิธีการของผู้บำเพ็ญเพียรดีกว่า ยกเรื่องนี้ให้ข้าจัดการเถอะ เจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว!”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เซ่าผิงปอพลันได้สติขึ้นมา เมื่อย้อนมองกลับไป ก็พบว่าผิดปกติจริงๆ สถานการณ์โดยรวมของมณฑลเป่ยโจวต้องกลายเป็นเช่นนี้เพราะหนิวโหย่วเต้าเพียงคนเดียว มันคุ้มกันแล้วหรือ? หากมิใช่เพราะเขาเอาแต่หมกมุ่นคิดจัดการหนิวโหย่วเต้า หนิวโหย่วเต้าไหนเลยจะมีโอกาสมาเล่นงานทางนี้จนกลายเป็นเช่นนี้ได้? ทำให้มณฑลเป่ยโจววุ่นวายจนเกือบพังพินาศได้

เซ่าผิงปอพยักหน้าพลางเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ตกลง ทางสำนักเขามหายานข้าไม่คาดหวังแล้ว ทั้งสองสำนักอยู่ห่างไกลกัน หากไม่มีการแย่งชิงผลประโยชน์กัน พวกเขาคงไม่มีทางผลีผลามไปเปิดศึกกับสำนักหยกสวรรค์ เรื่องหนิวโหย่วเต้ายกให้ท่านจัดการ เพียงแต่พี่จ้าว อย่าให้ถ่วงรั้งจนเสียงานของท่านทางนั้นล่ะ”

“เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ได้รีบร้อนเหมือนเจ้า เอาไว้หาโอกาสได้ค่อยลงมือ หรือเจ้าคิดว่าข้าจะวิ่งโร่ไปถึงจังหวัดชิงซานด้วยตัวเอง? เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าคิดตกแล้ว เช่นนั้นก็ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว เดี๋ยวข้าคิดหาทางจัดการเอง” ซูจ้าวโบกมือ เปลี่ยนประเด็นไปว่า “คุยเรื่องเจ้าเถอะ ข้าได้ยินว่าเจ้าสั่งลดอาหารจำกัดอาภรณ์ ต้องการหยุดกระแสความฟุ้งเฟ้ออันใดนั่น ทำไมล่ะ เงินขาดมือหรือ? เงินที่ข้าเก็บสะสมเอาไว้หลายปีมานี้ เจ้านำไปใช้ก่อนได้นะ”

เซ่าผิงปอส่ายหน้า “เงินนั่นแตะต้องไม่ได้ รอให้จัดการทางนี้เรียบร้อยแล้ว จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อซื้อม้าศึก ส่วนทางสำนักเขามหายานก็กำลังขยายอิทธิพลอยู่เช่นกัน กำลังรับศิษย์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขอเงินจากทางนี้อยู่เรื่อยๆ ข้าเองก็บอกพวกเขาไปตรงๆ เสมอว่าไม่มีเงิน ในเมื่อความเป็นจริงมันก็เป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่อาจทำอะไรข้าได้เช่นกัน แต่ถ้าจู่ๆ ท่านโยนเงินมาให้ พอพวกเขาเห็นว่าข้ามีเงิน พวกเขาจะต้องมาขอเงินอีกแน่ แล้วข้าจะไม่ให้ได้หรือ? หากพวกเขาเอาเงินส่วนใหญ่ไปแล้ว แล้วจะเหลือให้มณฑลเป่ยโจวได้ใช้เท่าไรกัน?”

ซูจ้าวพยักหน้ารับ “มันก็ใช่”

เมื่อคลายความกังวลไปเรื่องหนึ่งแล้ว ในที่สุดความคิดของเซ่าผิงปอก็กลับมาอยู่กับงานหลักอื่นๆ “ใช่แล้ว ลิ่งหูชิวที่ท่านพูดถึงเมื่อคราวก่อนคนนั้น เป็นอย่างไรบ้าง?”

ซูจ้าวขมวดคิ้ว “เรื่องติดต่อน่ะติดต่อไปเล็กน้อยแล้ว แต่จัดการค่อนข้างยาก ถึงแม้นคนผู้นี้จะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก ทว่าเป็นนายหน้าที่มีชื่อเสียงโด่งดังในโลกบำเพ็ญเพียร เชี่ยวชาญการคบค้าผูกมิตร เส้นสายกว้างขวางเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ตัวเขาจะไม่มีใครคอยหนุนหลัง แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าไปทำอะไรเขา ใช้ชีวิตอย่างอิสระ ไม่ยินดีจะเข้าร่วมกับกลุ่มอิทธิพลใดๆ การจะดึงเขามาเป็นพวกเป็นเรื่องยากลำบากอย่างยิ่ง ข้าลองหยั่งเชิงดูแล้ว แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย”

เซ่าผิงปอเอ่ยว่า “ที่ข้าหมายตาก็คือเส้นสายของเขานี่แหละ มีประโยชน์กับข้ามาก”

ซูจ้าวถอนหายใจ “ข้าจะคิดหาวิธีดูอีกที”

ในเวลานี้เอง มีเสียงฝีเท้าที่ร้อนรนแว่วเข้ามาจากด้านนอก เซ่าซานเสิ่งเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาในห้องขัง เอ่ยด้วยสีหน้าร้อนใจ “คุณชายใหญ่ แย่แล้วขอรับ เกิดเรื่องแล้วขอรับ”

เอาอีกแล้ว หัวใจของเซ่าผิงปอตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มอีกครั้ง

ซูจ้าวขมวดคิ้ว “มีเรื่องอะไรถึงได้ร้อนใจขนาดนี้?”

เซ่าซานเสิ่งกล่าวอย่างร้อนใจ “คุณหนูหลิ่วเอ๋อร์หนีไปแล้วขอรับ!”

ซูจ้าวตะลึงงัน จับต้นชนปลายไม่ค่อยถูก

เซ่าผิงปอเอ่ยเสียงขรึม “มีคนจับตามองมากมายขนาดนั้น หูหนวกตาบอดกันหมดหรือไง?”

เซ่าซานเสิ่งกระทืบเท้าพลางกล่าวว่า “คุณหนูใช้อุบาย เรียกคนที่คอยจับตามองนางไปกินอาหาร ผลปรากฏว่าคุณหนูวางยาพิษไว้ในอาหาร คนใช้ที่จับตามองนางเหล่านั้นล้วนถูกวางยาพิษจนตาย เป็นผู้คุ้มกันในละแวกนั้นที่สังเกตเห็นว่าคนใช้กลุ่มนั้นหายหน้าไปพักใหญ่ รู้สึกผิดสังเกต จึงเข้าไปดู ถึงได้พบว่าเกิดเรื่องแล้วขอรับ”

อันที่จริงสิ่งที่ลู่เซิ่งจงมอบให้มิใช่ยานอนหลับ หากแต่เป็นยาพิษที่ออกฤทธิ์คล้ายคลึงกับยานอนหลับ เขากลัวว่าฤทธิ์ยานอนหลับจะไม่แรงพอ หากพวกบ่าวไพร่ฟื้นตัวขึ้นมาก่อนเวลาจะทำให้เสียเรื่องได้ เพื่อที่จะยื้อเวลาให้ได้มากที่สุด เขาจึงปิดบังถานเย่าเสี่ยนและเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ มอบยาพิษที่ทำคนสิ้นชีพได้ให้ บ่าวไพร่ที่ล้มลงไปเหล่านั้นไม่มีวันจะฟื้นขึ้นมาได้อีก

ซูจ้าวมีสีหน้าพูดไม่ออก มองไปทางเซ่าผิงปอทันที ก่อนหน้านี้คนเป็นพี่ชายเพิ่งก่อเรื่องวางยาพิษฆ่าคนไป ตอนนี้ผู้เป็นน้องสาวก็ใช้วิธีการนี้อีก สมกับเป็นพี่น้องกันจริงๆ โหดเหี้ยมเหมือนกัน!

เซ่าผิงปอเองก็นึกในจุดนี้เช่นกัน กัดกรามจนแก้มตึงเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “นางไปเอายาพิษมาจากไหน? แน่ใจหรือว่านางหนีไป ไม่ใช่ถูกผู้อื่นลักพาตัวไป?”

เซ่าซานเสิ่งรายงานว่า “ท่านผู้ว่าการก็ทราบเรื่องนี้แล้วขอรับ พอทำการสืบดูก็พบว่าทางฝั่งประตูข้างมีข้ารับใช้แปลกหน้าคนหนึ่งถือป้ายอนุญาตผ่านออกไปจริงๆ พอยามเฝ้าประตูทางด้านนั้นลองคิดๆ ดู ถึงจะนึกขึ้นมาได้ว่าค่อนข้างคล้ายคลึงกันจริงๆ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นคุณหนูปลอมตัวออกไป ยามเฝ้าประตูยืนยันแล้ว ออกไปแค่คนเดียว ไม่มีผู้ใดออกไปด้วย! ส่วนเรื่องยาพิษนั่นไม่ทราบจริงๆ ขอรับว่าคุณหนูไปเอามาจากไหน”

“ยามพวกนั้นมันทำงานประสาอะไร?” เซ่าผิงปอพลันโมโหขึ้นมา จากนั้นยกกำปั้นป้องปากไอโขลกๆ ขึ้นมาทันที ใบหน้าหดเกร็งพร้อมปิดตา พยายามผ่อนลมหายใจลง จากนั้นก็พรูลมหายใจออกมายาวๆ ลืมตาขึ้นพร้อมกัดฟันเอ่ยถาม “คนที่ทำให้นางแอบหนีออกไปแบบนี้ได้คงไม่มีใครอื่น ถานเย่าเสี่ยน สั่งให้คนไปค้นหาที่บ้านของเขาเดี๋ยวนี้!”

“ขอรับ!” เซ่าซานเสิ่งหันหลังก้าวออกไป

“เดี๋ยวก่อน!” เซ่าผิงปอเรียกอีกครั้ง

เซ่าซานเสิ่งชะงักเท้าหันกลับมา มองดูเขา

เซ่าผิงปอเอ่ยด้วยสีหน้าอึมครึม “ไม่ต้องไปแล้ว ไปบ้านสกุลถานก็เสียเวลาเปล่า คนน่าจะออกจากเมืองไปแล้ว เด็กนั่นต่อให้ไม่รู้ความแค่ไหนก็ไม่มีหนีออกไปในเวลาที่ในบ้านเกิดเรื่องแบบนี้แน่ นางน่าจะถูกคนล่อออกไป เหยื่อที่สามารถล่อนางออกไปได้ เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นถานเย่าเสี่ยนคนนั้น…คนแซ่ถานไม่มีหัวคิดขนาดนั้น มีคนอยู่เบื้องหลังเขา ข้าสมควรฆ่าคนแซ่ถานนั่นเสียแต่แรกซะ จะได้ตัดปัญหาที่จะตามมาภายหลัง ความใจอ่อนชั่วขณะทำให้ถูกคนฉวยโอกาสได้!”

ซูจ้าวเอ่ยเสียงขรึม “เป็นผู้ใดที่ล่อออกไป?”

เซ่าผิงปอจ้องนางแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเยียบเย็น “ข้าบอกแล้วว่าเขาไม่มีทางรามือง่ายๆ”

ซูจ้าวพลันมีสีหน้าตกใจ โพล่งออกมา “หนิวโหย่วเต้าหรือ?”

“นอกจากเขายังจะมี…แค่กๆ…” เซ่าผิงปอไออย่างรุนแรงขึ้นมาทันที ไอจนร่างกายขดงอลงไปเหมือนกุ้ง สีหน้าแดงซ่านกว่าเดิม

ซูจ้าวและเซ่าซานเสิ่งเข้ามาพยุงเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเห็นในฝ่าที่คลายออกของเซ่าผิงปอมีคราบโลหิตแดงฉานสะดุดตา

………………………………………………………………