ตอนที่ 231 น้องสะใภ้ผู้เพียบพร้อม
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูจ้าวย่อมใช้พลังช่วยให้เขาหายใจได้สะดวกทันที สะกดอาการไออย่างรุนแรงของเขาลงไปทันที
ก่อนหน้านี้นางได้ยินเรื่องที่เขาโมโหจนไอเป็นเลือดมาจากเซ่าซานเสิ่งแล้ว เวลานี้จึงถือโอกาสตรวจร่างกายให้เขาไปด้วย หลังตรวจอาการเสร็จก็ถอนหายใจ “เจ้าโมโหจนกระทบหัวใจแล้ว ดูเหมือนเจ้าจะถูกหนิวโหย่วเต้าคนนั้นยั่วโมโหไม่เบาเลยจริงๆ พยายามอย่าโมขึ้นมาง่ายๆ อีก หัวใจเจ้าได้รับความเสียหายไปแล้ว โมโหครั้งหนึ่ง เพลิงโทสะก็จะโจมตีหัวใจครั้งหนึ่ง เท่ากับเจ้าจะได้รับบาดเจ็บครั้งหนึ่ง หากเจ้าเป็นเช่นนี้ ต่อให้เป็นโอสถวิเศษก็รักษาอาการบาดเจ็บเรื้อรังที่กำเริบซ้ำๆ ไม่ไหวเช่นกัน”
“ข้าไม่เป็นไร” เซ่าผิงปอส่ายหน้า “หลิ่วเอ๋อร์ถูกพวกเขาล่อลวงไป ผลลัพธ์มีอยู่เพียงสองอย่างเท่านั้น หากไม่ตายในกำมือพวกเขา ก็อาจจะกลายเป็นตัวประกันในมือหนิวโหย่วเต้า เหล่าเซ่า ให้ท่านพ่อออกคำสั่งให้ทหารออกค้นหาในพื้นที่ต่างๆ เดี๋ยวนี้ ในเมื่อนังเด็กคนนั้นรนหาที่ตาย ข้าก็ยินดีให้นางตาย แต่ไม่มีทางให้นางตกไปอยู่ในเงื้อมมือของหนิวโหย่วเต้าเด็ดขาด แจ้งต่อท่านพ่อ หากอีกฝ่ายมุ่งตรงไปยังแคว้นเยี่ยนจะสะดุดตาเกินไป มีความเป็นไปได้สูงที่จะอ้อมไปยังแคว้นจ้าวไม่ก็แคว้นซ่างก่อน ใช้เส้นทางน้ำผ่านเข้าสู่แคว้นซ่งแล้วออกทะเล จากนั้นล่องทะเลอ้อมไปเข้าทางจังหวัดชิงซานก็มีความเป็นไปได้สูงเช่นกัน ให้ท่านพ่อสั่งการทหารเรือที่อยู่ทางแม่น้ำผิงหลานให้ปิดกั้นแม่น้ำผิงหลานไว้ ไม่อนุญาตให้เรือลำใดผ่านทั้งสิ้น!”
ซูจ้าวเอ่ยอย่างร้อนใจ “เจ้าสงบใจพักผ่อนก่อนได้ไหม? ไม่จำเป็นต้องเค้นสมองเปลืองแรงแล้ว เจ้าจะทำลายสุขภาพแบบนี้ไม่ได้นะ มิเช่นนั้นหัวใจที่ได้รับความเสียหายของเจ้าคงยากจะเยียวยาได้ ถือโอกาสตอนที่ถูกคุมตัวอยู่ที่นี่ วางภาระงานราชการอันวุ่นวายลงซะ สงบจิตสงบใจพักฟื้นก่อนเถอะ”
จากนั้นก็หันไปถามเซ่าซานเสิ่งว่า “เหล่าเซ่า หลิ่วเอ๋อร์หนีออกไปตั้งแต่เมื่อไร?”
เซ่าซานเสิ่งใคร่ครวญเล็กน้อย ตอบว่า “ตามที่ยามเฝ้าประตูรายงาน น่าจะไม่เกินสามชั่วยามขอรับ”
“เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา” ซูจ้าวพยักหน้ารับ เอ่ยกับเซ่าผิงปออีกครั้ง “เรื่องนี้เจ้ายกให้เป็นหน้าที่ข้าเถอะ ข้ารับรองว่าหลิ่วเอ๋อร์ออกไปจากมณฑลเป่ยโจวไม่ได้แน่”
เซ่าผิงปอหันมาถามทันที “ท่านมั่นใจหรือ?”
เขาร้อนใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก อีกฝ่ายเป็นน้องสาวของตนนั้นเป็นเพียงสาเหตุหนึ่งเท่านั้น ทางนี้ถูกหนิวโหย่วเต้าเล่นงานจนเป็นเช่นนี้ หากยังปล่อยให้หนิวโหย่วเต้าลักพาตัวน้องสาวของตนไปได้อีกล่ะก็ จะให้เขาทนรับไหวได้อย่างไร!
ซูจ้าวเอ่ยว่า “ได้ยินว่าสถานการณ์ของเจ้าทางนี้คับขัน ข้าจึงพาลูกน้องที่ใช้งานได้บางส่วนมาจากสมาคมด้วยเผื่อไว้สำหรับกรณีฉุกเฉิน มียอดฝีมือด้านการตามรอยอยู่ด้วย เจ้าวางใจเถอะ เพิ่งออกไปได้แค่สามชั่วยาม หนีไม่รอดหรอก”
นางหันไปเอ่ยกับเซ่าซานเสิ่งอีกครั้ง “เจ้าจงไปค้นสถานที่พักของหลิ่วเอ๋อร์เดี๋ยวนี้ หาข้าวของที่มีกลิ่นของหลิ่วเอ๋อร์มาสักชิ้น หากได้เสื้อผ้าที่หลิ่วเอ๋อร์เคยสวมใส่มาจะดีที่สุด รีบไปเร็ว!”
“ขอรับ!” เซ่าซานเสิ่งพยักหน้ารับคำสั่ง
เขาเพิ่งจะก้าวเดินออกไป เซ่าผิงปอก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ให้ท่านพ่อตรวจสอบจวนผู้ว่าการมณฑลอย่างละเอียดสักหน่อย นังเด็กนั่นไปเอายาพิษมาจากไหน? นอกในทำงานประสานกันย่อมต้องมีคนกลางคอยส่งสาร ลากตัวคนนอกออกมาให้ได้!”
พอคิดว่าในจวนผู้ว่าการมณฑลอาจจะถูกหนิวโหย่วเต้าแทรกซึมเข้ามาแล้ว แผ่นหลังเขาพลันเย็นวาบขึ้นมา หากว่าลากตัวคนผู้นี้ออกมาไม่ได้ เกรงว่าเขาคงจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ
“ขอรับ!” เซ่าซานเสิ่งมีสีหน้าเคร่งขรึม รับคำสั่ง ตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องราวได้แล้วเช่นกัน
ซูจ้าวโบกมือไล่ ให้เซ่าซานเสิ่งรีบไปโดยเร็ว จากนั้นเอ่ยปลอบเซ่าผิงปอต่อ “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงน้องสาวคนนั้น เจ้าสงบใจพักผ่อนอยู่ที่นี่เถอะ ข้าจะช่วยพาตัวหลิ่วเอ๋อร์กลับมาหาเจ้าอย่างปลอดภัยแน่นอน”
เซ่าผิงปอเอ่ยเสียงเข้ม “ไปด้วยกัน ข้าจะไปด้วย!”
เขาก็อยากเห็นนักว่าเป็นผู้ใดที่มาสร้างปัญหา เขานึกสงสัยอยู่เล็กน้อยด้วยว่าหนิวโหย่วเต้าอาจจะมาด้วยตัวเอง
ซูจ้าวชี้ออกไปรอบคุก “ด้านนอกมีคนของสำนักเขามหายานเฝ้าอยู่ เจ้าจะออกไปได้อย่างไร? ตอนนี้คนของสำนักเขามหายานไม่มีทางปล่อยตัวเจ้าออกจากที่นี่แน่”
เซ่าผิงปอกล่าวว่า “นับตั้งแต่ที่เข้ามาปกครองมณฑลเป่ยโจว ข้าก็ได้ให้คนขุดอุโมงค์ลับที่ทะลุออกไปด้านนอกไว้ใต้จวนผู้ว่าการอย่างลับๆ แล้ว ในคุกใต้ดินก็มีทางเข้าเช่นกัน พวกเราไปเจอกันนอกเมือง!”
ซูจ้าวพูดไม่ออก คนผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย
……
หลังออกมาจากจวนผู้ว่าการมณฑล ซูจ้าวก็พาผู้ติดตามหลายคนมุ่งหน้าไปยังจวนท่องคลื่น
ภายในโถงห้องหนึ่งของจวนท่องคลื่น มีคนนั่งอยู่สองฝั่งซ้ายขวาฝั่งละสองคน รวมเป็นสี่คน สวมผ้าคลุมสีดำที่มีหมวกคลุมเช่นเดียวกับซูจ้าว มองไม่เห็นใบหน้า นั่งนิ่งเหมือนรูปแกะสลัก
ทันทีที่ซูจ้าวเข้าไปในห้องโถง สองมือเลิกหมวกออก เผยใบหน้าออกมา ทั้งสี่ลุกขึ้นพลางทักทายอย่างนอบน้อม “หัวหน้า!”
ซูจ้าวพยักหน้าให้เล็กน้อย รีบเดินเข้าไปหาคนผู้หนึ่งที่อยู่ทางซ้าย หยิบผ้าเอี๊ยมผืนหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ “ตามหาคนผู้นี้!”
ผ้าเอี๊ยมนั่นเป็นผ้าเอี๊ยมที่เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ถอดเปลี่ยนในวันนี้ เดิมทีในช่วงเช้าของทุกวันข้ารับใช้จะซักผ้าเอี๊ยมให้เซ่าหลิ่วเอ๋อร์เสมอ ทว่าวันนี้ถูกเซ่าหลิ่วเอ๋อร์เรียกไปกินอาหารเสียก่อน จากนั้นก็ถูกพิษตาย
ผมหน้าม้าที่อยู่ภายใต้หมวกผ้าคลุมของคนผู้นี้ค่อนข้างยาว เส้นผมเป็นสีเทาขาว กระทั่งดวงตาก็ยังถูกเส้นผมบดบังเอาไว้
เขายื่นมือไปรับของที่ซูจ้าวยื่นให้ จ่อดมตรงจมูกครู่หนึ่ง จากนั้นเงยหน้าขึ้น ปีกจมูกขยับเคลื่อนไหว คล้ายกำลังค้นหากลิ่นในอากาศ
หลังจากเขาเงยหน้าขึ้นมา ถึงได้เห็นว่าเบ้าตาที่อยู่ภายใต้ผมหน้าม้านั้นกลวงลึกเข้าไป ชวนให้คนรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าจะไม่มีลูกตา
…..
รถม้ายังคงโขยกเขยกอยู่ เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ยังคงซบอยู่ในอ้อมอกถานเย่าเสี่ยนอย่างเงียบๆ
ที่ผ่านมา ทุกเรื่องล้วนมีบิดาและพี่ชายคอยดูแลจัดการ นางไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรเลย ครั้งนี้จากบิดาและพี่ชายมา ซ้ำยังมากับบัณฑิตที่อ่อนแอเช่นนี้ ภายในใจย่อมรู้สึกเป็นกังวลกับสิ่งที่จะต้องเผชิญอย่างไม่อาจเลี่ยงได้
ลึกๆ ภายในใจนางรู้สึกหวาดระแวงในตัว ‘หลี่ซยง’ ที่ถานเย่าเสี่ยนไว้วางใจคนนั้น เดิมทีนางคิดคำพูดที่จะเกลี้ยกล่อมให้ถานเย่าเสี่ยนเปลี่ยนเส้นทางเอาไว้แล้ว
แต่พอถามว่าเป็นผู้ใดที่จัดการเรื่องสารถีรถม้าให้ พอได้ยินว่าเป็น ‘หลี่ซยง’ คนนั้นจัดการให้เช่นกัน นางก็ไม่กล้าวู่วามทำอะไรขึ้นมาทันที
นางพอจะเป็นวิชาหมัดมวยอยู่บ้าง แต่จะใช้ป้องกันตัวได้หรือไม่มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องที่นางกังวลใจที่สุดคือบัณฑิตอ่อนแออย่างถานเย่าเสี่ยนผู้นี้ ลำพังแค่ปกป้องตัวเองก็เต็มกลืนแล้ว แล้วจะให้นางปกป้องถานเย่าเสี่ยนได้อย่างไร
หลังจากใคร่ครวญซ้ำไปซ้ำมา นางไม่กล้านำความปลอดภัยของถานเย่าเสี่ยนมาเสี่ยง จึงได้แต่ต้องแก้ไขปัญหาไปตามสถานการณ์
ทว่าตลอดทางนางกลับเลิกผ้าม่านออกเป็นระยะๆ มองออกไปด้านนอก ฟ้าใกล้มืดแล้ว
จนกระทั่งพบว่ารถม้ามาถึงริมแม่น้ำแล้ว มองเห็นแม่น้ำที่ไหลตัดผ่านขอบฟ้า เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ปล่อยม่านลง กระซิบถามข้างหูถานเย่าเสี่ยน “พี่ถาน ท่านว่ายน้ำเป็นหรือไม่?”
“เอ่อ…” ถานเย่าเสี่ยนผงะไป ส่ายหน้าพลางตอบว่า “ไม่เป็น ถามเรื่องนี้ทำไมหรือ?”
จิตใจเซ่าหลิ่วเอ๋อร์จมดิ่ง ทว่ายิ้มน้อยๆ ตอบไปว่า “ข้าก็ว่ายน้ำไม่เป็น กลัวว่าถ้าขึ้นเรือไป หากพลัดตกแม่น้ำไปจะทำอย่างไร ท่านเองก็ช่วยข้าไม่ได้ด้วย”
ถานเย่าเสี่ยนพลันมีสีหน้าอ่อนโยน ยื่นมือไปลูบใบหน้านางเบาๆ “เรือไหนเลยจะพลิกคว่ำง่ายๆ เช่นนั้น วางใจเถอะ ไม่เป็นอะไรหรอก”
“ก็จริง!” เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ยิ้มเงียบๆ เพลิดเพลินไปกับไออุ่นจากอ้อมกอดของเขา
รถม้ามาถึงริมแม่น้ำแล้ว ในที่สุดก็หยุดลง
ทั้งสองมุดออกมาจากรถม้า ลู่เซิ่งจงที่ล่วงหน้ามาถึงก่อนยืนเอามือไพล่หลังอยู่ที่ท่าเรือ มองดูพวกเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เมื่อเห็นว่าพาเซ่าหลิ่วเอ๋อร์มาถึงที่นี่ได้อย่างราบรื่น ในใจของลู่เซิ่งจงก็ดีใจจนแทบคลั่ง คิดว่าหากไม่เกิดเหตุเหนือความคาดหมายล่ะก็ นี่นับว่าภารกิจประสบความสำเร็จไปกว่าครึ่งแล้ว
หากส่งมอบตัวน้องสาวเซ่าผิงปอให้หนิวโหย่วเต้าได้ คาดว่าหนิวโหย่วเต้าก็คงไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว
ตำแหน่งเจ้าสำนักเบญจคีรี เขาตั้งหน้าตั้งตารอคอยเป็นอย่างยิ่ง!
ถานเย่าเสี่ยนและเซ่าหลิ่วเอ๋อร์จูงมือกันเดินเข้ามา
เมื่อเห็นลู่เซิ่งจง ถานเย่าเสี่ยนก็ยิ้มออกมาเช่นกัน ปล่อยมือเซ่าหลิ่วเอ๋อร์พลางประสานมือกล่าวทักทาย “หลี่ซยง”
ลู่เซิ่งจงประสานมือคำนับกลับ “ในที่สุดถานซยงก็มา ข้ารออยู่นานแล้ว” สายตาเขาเลื่อนไปที่ร่างของเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ เอ่ยถาม “คาดว่าท่านนี้คงเป็นคุณหนูเซ่าที่ถานซยงคะนึงหาทุกคืนวันกระมัง?”
ถานเย่าเสี่ยนยิ้มสดใส จับมือเซ่าหลิ่วเอ๋อร์อีกครั้ง “ใช่แล้ว! หลิ่วเอ๋อร์ หลี่ซยงคือผู้มีพระคุณของพวกเรา รีบทักทายสิ”
หลังมีสัมพันธ์อย่างว่าทำให้ทุกอย่างแตกต่างไปจากเดิม แต่ก่อนแค่จับมือกันก็ใจเต้นแรงกระวนกระวายแล้ว ยามนี้กลับกล้าจับจูงมือกันต่อหน้าคนอื่น
ดวงตากลมโตของเซ่าหลิ่วเอ๋อร์วูบไหวเล็กน้อย ท่าทางไร้เดียงสาเป็นอย่างยิ่ง เอ่ยอย่างเขินอายว่า “คารวะพี่หลี่!”
“ฮ่าๆ ไม่ต้องเกรงใจๆ” ลู่เซิ่งจงหัวเราะร่า ในใจลอบด่าว่านังเด็กโง่ อยู่ในตระกูลเซ่าดีๆ ไม่ชอบ กลับดึงดันจะหนีออกมากับบัณฑิตยากไร้คนหนึ่งเสียให้ได้
แต่คิดก็ส่วนคิด เขาหันหลังชี้ไปยังเรือประทุนลำหนึ่งที่จอดนิ่งอยู่ในน้ำ ขนาดใหญ่กว่าเรือประทุนทั่วไปมากนัก “ถานซยง ข้าเตรียมเรือไว้เรียบร้อยแล้ว อย่าชักช้าเลย ขึ้นเรือเถอะ!”
“ตกลง!” ถานเย่าเสี่ยนพยักหน้า จูงเซ่าหลิ่วเอ๋อร์เดินตามกันไป
ทว่าสายตาของเซ่าหลิ่วเอ๋อร์กลับเหลือบมองกระบี่ที่ห้อยอยู่ตรงเอวของลู่เซิ่งจงอยู่เป็นครั้งคราว จิตใจหนักอึ้งขึ้นมาอีกครั้ง
อันที่จริงถานเย่าเสี่ยนก็สังเกตเห็นเช่นกัน ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นลู่เซิ่งจงพกกระบี่เลย แต่เขาไม่เก็บมาใส่ใจ ในหมู่บัณฑิตที่คบค้าสมาคมกันก็มีหลายคนที่ชอบใช้กระบี่เป็นเครื่องประดับ รู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติอย่างมาก
ทว่าสายตาของเขากลับเทียบกับเซาหลิ่วเอ๋อร์ไม่ได้เลย เพียงมองดูก็ทราบแล้วว่ากระบี่ที่เอวลู่เซิ่งจงมิใช่กระบี่ธรรมดา หากแต่เป็นกระบี่ที่มีน้ำหนักเป็นอย่างมาก คนธรรมดาไม่มีทางยกขึ้นร่ายรำได้ไหว หากฝืนยกข้อมือจะบาดเจ็บได้ง่าย ส่วนใหญ่จะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ใช้กัน
“ระวังหน่อย!” ยามที่ขึ้นเรือ เมื่อเห็นเซ่าหลิ่วเอ๋อร์มีท่าทางเก้ๆ กังๆ ถานเย่าเสี่ยนจึงรีบช่วยประคองนาง
ลู่เซิ่งจงเห็นดังนั้นก็หัวเราะ เอ่ยหยอกเย้าว่า “ถานซยงช่างใส่ใจทะนุถนอมน้องสะใภ้จริงๆ!”
ถานเย่าเสี่ยนที่ประคองเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ขึ้นเรือเอ่ยอย่างเขินๆ ว่า “นางว่ายน้ำไม่เป็น ไม่กล้านั่งเรือ ครั้งนี้ลำบากนางแล้วจริงๆ”
พอได้ยินว่าว่ายน้ำไม่เป็น ลู่เซิ่งจงก็ยิ่งวางใจ ยิ้มน้อยๆ โบกมือส่งสัญญาณให้คนแจวเรือออกเรือได้
เมื่อขึ้นเรือมา เซ่าหลิ่วเอ๋อร์สำรวจสภาพภายในเรืออย่างรวดเร็ว สายตาจับจ้องถุงลมหนังแกะใบหนึ่งที่อยู่ท้ายเรือ
ถุงลมนี้สร้างขึ้นจากการเป่าลมเข้าไปในหนังแกะทั้งผืนให้เต็ม คนที่เดินทางโดยเรือมักจะมีติดเรือไว้ใบหนึ่ง เผื่อไว้สำหรับกรณีเรือพลิกคว่ำจะได้นำมาใช้ได้ บางคนถึงขั้นที่นำสิ่งนี้มาสร้างเป็นแพหนังแกะด้วยซ้ำ
คนแจวเรือแก้เชือกผูกเรือแล้วโยนขึ้นไปบนเรือ ส่วนตัวเองก็กระโดดขึ้นเรือไป ใช้ลำไผ่ยันชายฝั่ง เรือค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากฝั่ง ล่องไปตามกระแสน้ำอย่างช้าๆ
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์หันไปมอง สายตาวนเวียนอยู่ที่คนแจวเรือคนนั้น
ฟ้ามืดแล้ว เมื่อถึงเวลาอาหาร ลู่เซิ่งจงเตรียมพร้อมสำหรับเดินทางไกล บนเรือย่อมต้องมีเสบียงอาหารเตรียมเอาไว้เรียบร้อย
ลู่เซิ่งจงกำลังจะจัดเตรียมอาหาร เซ่าหลิ่วเอ๋อร์กลับรีบลุกมาแย่ง “นี่คือหน้าที่ของสตรีอย่างพวกเรา ให้เป็นหน้าที่ข้าเถอะ”
นางดึงดันจะแย่งไปทำให้ได้ ลู่เซิ่งจงเองก็จนใจเช่นกัน สุดท้ายก็ยิ้มให้แล้วกลับไปนั่งที่ ยกนิ้วเอ่ยชื่นชมกับถานเย่าเสี่ยน “น้องสะใภ้เพียบพร้อมรู้หน้าที่ ถานซยงวาสนาดีจริงๆ!”
ถานเย่าเสี่ยนยิ้มอย่างโง่งม มีความสุขจนหุบปากไม่ลงแล้ว
ขณะที่ทางนี้กำลังกินดื่มพูดคุยกันอย่างมีความสุข เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ก็ลุกขึ้นอีกครั้ง หยิบถ้วยน้ำเดินไปหัวเรือ ประคองส่งให้คนแจวเรือ “ลำบากท่านแล้ว ดื่มน้ำหน่อยเถอะ!”
“ไม่เป็นไรขอรับ!” คนแจวเรือรีบโบกมือปฏิเสธ แต่จนปัญญาที่ยากจะปฏิเสธน้ำใจได้ สุดท้ายจึงรับไปดื่ม
ลู่เซิ่งจงยกนิ้วให้ถานเย่าเสี่ยนอีกครั้ง
ถานเย่าเสี่ยนยิ้มเหมือนคนโง่ขึ้นมาอีกครั้ง สายตาที่มองเซ่าหลิ่วเอ๋อร์เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
พอกลับมานั่งได้สักพัก สายตาของเซ่าหลิ่วเอ๋อร์เคลื่อนไปยังกระบี่พกที่วางอยู่ข้างกายลู่เซิ่งจงอีกครั้ง เอ่ยถามว่า “ท่านพ่อข้าก็ชมชอบข้าวของจำพวกดาบกระบี่ คลุกคลีอยู่ด้วยมาตั้งแต่เล็กน้อย ย่อมได้รับอิทธิพลมาบ้าง พี่หลี่ให้ข้าได้ชื่นชมหน่อยได้หรือไม่?”
ลู่เซิ่งจงยิ้มพลางหยิบกระบี่มาจากด้านข้าง วางไว้บนโต๊ะแล้วดันไปให้ “หนักหน่อยนะ!”
ถานเย่าเสี่ยนถามอย่างแปลกใจ “เจ้าชอบกระบี่หรือ?”
“ท่านดูถูกข้าหรือ? เดี๋ยวข้าจะรำกระบี่ให้ท่านดู!” เซ่าหลิ่วเอ๋อร์คว้ากระบี่แล้วลุกขึ้นมา เดินไปที่ท้ายเรือ ทว่ามือที่ถือกระบี่ไว้กลับกวัดแกว่งไม่ไหว ร้องอุทานอยู่ตรงนั้น “หนักจัง!”
ลู่เซิ่งจงส่ายหน้าพลางอมยิ้ม นึกในใจ ด้วยน้ำหนักของกระบี่เล่มนี้ เจ้าไหนเลยจะยกไหว
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ซวนเซเหมือนจะพลัดตกเรือได้ทุกเมื่อ ทำเอาถานเย่าเสี่ยนเห็นแล้วรู้สึกตกใจขึ้นมา รีบลุกขึ้นไปห้าม “ไม่ต้องรำแล้ว ระวังจะพลัดตกน้ำ รีบหยุดเถอะ”
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ใช้กระบี่ค้ำร่างเอาไว้ ถานเย่าเสี่ยนเข้าไปประคองนาง นางเองก็รั้งถานเย่าเสี่ยนเอาไว้ไม่ยอมให้กลับไป
ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงยืนอยู่ด้วยกันเช่นนี้ที่ท้ายเรือ ชื่นชมทิวทัศน์ตะวันอัสดงบนแม่น้ำ
ตูม! คนแจวเรือที่งัดลำไผ่แจวเรืออยู่ตรงหัวเรือพลันส่ายโงนเงน ก่อนจะล้มหน้าคว่ำลงไปในแม่น้ำ
ลู่เซิ่งจงหันขวับกลับไปมอง รีบเคลื่อนกายไปที่หัวเรือ แววตาเต็มไปด้วยความตกใจระคนสงสัย กวาดสายตาค้นหาคนแจวเรือที่พลัดตกน้ำไป ไม่รู้ว่าคนแจวเรือตั้งใจหรือเปล่า
ในเวลานี้เอง เขาพลันรู้สึกตาลายเล็กน้อย สมองก็ค่อนข้างมึนงง จึงออกแรงสะบัดหน้า
แต่เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ที่รั้งอยู่ท้ายเรือกลับตวัดกระบี่ในมือ ตัดเชือกผูกถุงลมหนังแกะ ถีบถุงลมหนังแกะลงน้ำไปโดยไร้ซึ่งความลังเล
ถานเย่าเสี่ยนกำลังจ้องมองไปยังทิศทางที่คนแจวเรือพลัดตกลงไปในน้ำด้วยความตกใจ ขณะที่ไม่ทันระวังตัวได้ถูกเซ่าหลิ่วเอ๋อร์คว้าคอเสื้อเหวี่ยงลงน้ำไป ละอองน้ำสาดกระเซ็น!
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์โยนกระบี่ที่ใช้สังหารคนของลู่เซิ่งจงลงน้ำ จากนั้นตัวเองก็กระโดดลงไปในน้ำเช่นกัน
“นังตัวดี!” ลู่เซิ่งจงคล้ายจะตระหนักอะไรขึ้นมาได้ พลันชี้นิ้วแล้วตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว ต้องการชักกระบี่เข้าไปสังหาร แต่เมื่อมือคลำไปยังช่วงเอวถึงนึกขึ้นมาได้ว่ากระบี่ไม่อยู่กับตัวแล้ว
เขาข่มความรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว เคลื่อนกายพุ่งมาที่ท้ายเรือ ทว่าร่างกายซวนเซ เท้าอ่อนแรง เกือบจะพลัดตกน้ำไป จึงรีบนั่งขัดสมาธิลงไป ล้วงยาถอนพิษเม็ดหนึ่งออกมาใส่ปาก
ถานเย่าเสี่ยนลอยผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในน้ำ ร้องเสียงหลง
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ที่โผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำลากถุงลมหนังแกะที่ลอยอยู่ว่ายเข้าไปหาถานเย่าเสี่ยน ใครบอกว่านางว่ายน้ำไม่เป็นกันล่ะ
ขณะที่ว่ายเข้าไปหาถานเย่าเสี่ยน นางก็หันกลับไปมองทางลู่เซิ่งจงอย่างระแวดระวัง
ยานอนหลับที่ลู่เซิ่งจงมอบให้นาง นางไม่ได้ใช้จนหมด แต่หนนี้กลับได้ใช้จนหมดแล้ว
…………………………………………………….