ตอนที่ 258 จะสะเทือนใจได้
เวลาตีสี่กว่าของวันรุ่งขึ้น หลังตื่นนอนมู่เถาเยาก็หยิบโทรศัพท์มือถือมาดับกล้องวงจรปิดของสวนด้านหลังโรงแรม เมื่อคืนเธอบอกน้าเล็กอวิ๋นไว้แล้ว
เพราะพวกเธอต้องฝึกยุทธ์ ป้องกันคนทั่วไปแตกตื่น อย่าให้กล้องวงจรปิดจับภาพได้ดีกว่า
วางโทรศัพท์มือถือลง มู่เถาเยาออกจากห้อง ลู่จือฉินกับพวกพ่อบ้านจงก็ออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน
เริ่มฝึกเวลาตีห้าเหมือนยามปกติ
เดิมทีทางเขตตงจี๋ก็เป็นพื้นที่กว้างขวางมีคนอยู่น้อย โรงแรมจึงมีพื้นที่ขนาดใหญ่ ด้านหลังอาคารหลักเป็นสวนที่กว้างมาก
พวกมู่เถาเยาฝึกยุทธ์กันที่นั่น
หนึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว เวลานี้หกโมงตรง ท้องฟ้าสว่างโล่งแล้ว เริ่มมีคนทยอยตื่นมาเดินเล่นและทำอย่างอื่น พวกเขาจึงฝึกต่อไม่ได้อีก จำต้องเลิก พากันเดินกลับ
ขณะเดียวกันก็กังวลว่าพอแม่ลู่ตื่นแล้วหามู่เถาเยาไม่เจอจะร้องไห้โวยวาย
อย่างไรเสีย ‘เด็กน้อย’ ก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น
ห้องของพวกเขาพักอยู่ชั้นเดียวกันหมด เป็นห้องแบบมาตรฐาน พักห้องละสองคนค่อนข้างสะดวก
เมื่อไปถึงหน้าห้อง ประตูห้องข้างๆ ก็เปิดออกพอดี
“อาจารย์ลู่ เสี่ยวมู่ กลับมากันแล้วเหรอ”
ลู่จือฉินพยักหน้ายิ้มพูด “จ้ะ พวกเราไปออกกำลังกายข้างนอกมา หันซูล้างหน้าแปรงฟันหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“งั้นเธอกลับห้องพร้อมเสี่ยวเยาเยาไปดูแม่เธอก่อนนะ”
“ได้ค่ะ”
เมื่อมู่เถาเยากับลู่หันซูเข้าห้องไป แม่ลู่ก็ลุกขึ้นมานั่งบนเตียง
พอเห็นเจ้าหญิงน้อยของตัวเองแม่ลู่ก็ฉีกยิ้ม
รอยยิ้มนั้นคล้ายเด็กน้อยที่เห็นแม่หลังจากตื่นนอน เต็มไปด้วยความออดอ้อน
ความสงสัยภายในใจลู่หันซูมีมากขึ้นเรื่อยๆ
นับตั้งแต่รู้ว่าเป็นอาการของพิษฮ่วนเซี่ยง เธอก็เกิดความรู้สึกแปลกๆ ในใจมาตลอด
ดูเหมือนแม่จะ…คล้ายเด็กน้อยเข้าไปเรื่อยๆ แล้วหรือเปล่า
แต่เธอก็เชื่อใจอาจารย์ลู่กับเสี่ยวมู่มาก จึงไม่เคยถามออกไป
มู่เถาเยาก็ยิ้มให้แม่ลู่ “คุณน้าตื่นแล้ว งั้นลุกไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนนะคะ”
“เจ้าหญิงน้อย”
แม่ลู่ยิ้มกว้างกว่าเดิม
ลู่หันซูดึงสติกลับมา เข้าไปประคองแม่ลุกจากเตียง
แม่ลู่มองมู่เถาเยาด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
“แม่คะ ล้างหน้าแปรงฟันก่อน เดี๋ยวเสี่ยวมู่ต้องใช้ห้องน้ำต่อ”
มู่เถาเยาอมยิ้มพยักหน้าให้แม่ลู่
หลังจากที่แม่ลู่แน่ใจแล้วว่าเจ้าหญิงน้อยไม่มีทางหายไปไหน เธอถึงยอมให้ลู่หันซูพาเข้าห้องน้ำ
มองตามหลังสองแม่ลูก มู่เถาเยาขมวดคิ้วเล็กน้อย
ดูเหมือนลู่หันซูก็สังเกตเห็นความผิดปกติของแม่แล้ว รอดูต่อไปว่าเธอจะอดทนได้นานแค่ไหนถึงจะถาม
พอสองแม่ลูกเข้าห้องน้ำไปแล้ว มู่เถาเยาก็หยิบโทรศัพท์มือถือมาปรับให้กล้องวงจรปิดตรงสวนด้านหลังทำงานตามเดิม จากนั้นก็ส่งข้อความไปหาพี่ชายทั้งสองคน
เมื่อคืนพวกเขาเห็นว่าดึกแล้วจึงอดทนรอ วันนี้ต้องถามแน่นอน ไม่สู้เธอส่งข้อความหาก่อน
พอสองแม่ลูกออกมาจากห้องน้ำ มู่เถาเยาถึงวางโทรศัพท์มือถือลง หยิบเสื้อผ้าที่เมื่อคืนเปลี่ยนออกไปซักในห้องน้ำ
ครึ่งชั่วโมงต่อมาทุกคนก็รวมตัวกันที่ห้องโถงใหญ่เพื่อกลับหมู่บ้านตงจี๋
ประมาณแปดโมงครึ่งไปถึงบ้านครอบครัวลู่
ย่าลู่กำลังยกโจ๊กที่หอมข้าวออกมาตั้งในห้องรับแขกทั้งหม้อ
“มาได้เวลาพอดี อาหารเช้าเพิ่งทำเสร็จ”
ทุกคนพูดขอบคุณย่าลู่แล้วไปล้างมือกินอาหารเช้า
โจ๊กหอมเหนียวข้น ข้าวโพดหวานนุ่ม ไข่ต้ม ผัดผักบุ้ง หัวไชเท้าแห้ง…อาหารธรรมดาแต่หลากหลาย
ลู่จือฉินยิ้มพูด “คุณน้าคะ คราวหน้าไม่ต้องทำเยอะขนาดนี้หรอกค่ะ คุณน้าทำคนเดียวเหนื่อยแย่ กินง่ายๆ ก็พอค่ะ”
“ไม่เหนื่อย ทำจนชินแล้ว ทุกคนกินให้อร่อยก็พอ ครอบครัวชาวไร่ชาวสวนไม่ได้มีของดีมากมาย ก็แค่วัตถุดิบจะสดใหม่มาก”
ปาอินเคี้ยวแก้มตุ่ย ทำได้เพียงพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของย่าลู่ที่บอกว่าวัตถุดิบสดใหม่
ไม่ใช่แค่สดใหม่ ยังมีกลิ่นหอมของสมุนไพรด้วย
ทุ่งสมุนไพรของหมู่บ้านตงจี๋มีมากมายนับไม่ถ้วน แม้แต่ในอากาศยังมีกลิ่นหอมสดชื่นของสมุนไพร
ทุกคนกินกันอย่างเอร็ดอร่อย
กินเสร็จก็ช่วยกันเก็บล้าง ลู่หันซูไปต้มน้ำชงชาดอกเก๊กฮวยป่า เพื่อที่ทุกคนจะได้เอาใส่ขวดไปดื่มในป่า
ทุกคนมีกระบอกน้ำเป็นของตัวเอง
มู่เถาเยา “วันนี้พวกเราเดินตรงภูเขาใกล้ๆ ก่อน ทุกคนไปด้วยกันได้ ส่วนวันที่เหลือนับแต่พรุ่งนี้ไปฉันกับอาจารย์สามจะเข้าไปหาสมุนไพรถอนพิษที่หุบเขาลึกด้านใน ตอนเที่ยงไม่กลับมา”
ย่าลู่รีบพูดขึ้น “งั้นอาหารกลางวันจะทำยังไง ในเขามีผลไม้ป่าก็จริง แต่กินผลไม้แทนข้าวก็ไม่ได้”
“พวกเราจะซื้อขนมปังกับนมจากโรงแรมค่ะ ย่าลู่เด็ดแตงกวาให้พวกเราอีกสองผลก็พอแล้วค่ะ”
“เสี่ยวมู่อยู่ในวัยเติบโต จะกินแค่นี้ได้ยังไง” ย่าลู่ไม่เห็นด้วย
“แค่ไม่กี่วันเองค่ะ ไม่ส่งผลอะไร ย่าลู่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
“…งั้นเดี๋ยวย่าจะลองดูว่าพอมีของอะไรให้พกกันไปกินได้ไหม” ตัดสินใจอยู่ในใจแล้วว่าเย็นนี้จะเชือดไก่
ต้มน้ำหนึ่งหม้อ ใส่ไก่ลงไปตุ๋น เช้าวันรุ่งขึ้นก็สุกได้ที่แล้ว
พกน่องไก่กันคนละน่องเข้าไปในหุบเขา
ส่วนเรื่องที่ผู้หญิงสองคนขึ้นเขา ย่าลู่ไม่เป็นห่วงเท่าไร
เดิมทีหมอลู่ก็เข้าป่าบ่อยอยู่แล้ว ตอนนี้มีเพิ่มอีกคน เธอยิ่งวางใจ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อวานยังเห็นสองคนนี้ช่วยกันยกโถสัมฤทธิ์ด้วย!
อีกทั้งภูเขาด้านนี้ก็ไม่มีสัตว์ร้ายอะไร
มู่เถาเยายิ้มบาง “ขอบคุณค่ะย่าลู่”
ลู่หันซูใส่ชาดอกเก๊กฮวยลงในกระบอกน้ำของทุกคนและของตัวเอง จากนั้นทั้งคณะก็ใส่หมวกเตรียมตัวออกเดินทาง
แม่ลู่วิ่งไปหาย่าลู่เพื่อขอกระบอกน้ำกับหมวก
ย่าลู่อยู่กับแม่ลู่มานานกว่า มากกว่าเวลาที่แม่ลู่ใช้กับลู่หันซู แม่ลู่จึงถามหาของกับย่าลู่ ไม่ใช่ถามลู่หันซู
ย่าลู่ลูบศีรษะของสะใภ้ “เหมียวเหมียว อยู่บ้านไม่ต้องใส่หมวก”
แม่ลู่ไม่ยอม จะเอาให้ได้
ลู่หันซู “แม่คะ ย่าจะดูโทรทัศน์เป็นเพื่อนแม่ พวกเราจะเก็บดอกไม้มาฝากแม่ดีไหมคะ”
แม่ลู่ส่ายหน้ารัวๆ เหมือนป๋องแป๋ง
“ฉันจะเก็บดอกไม้ให้เจ้าหญิงน้อย”
มู่เถาเยายิ้มมุมปากให้แม่ลู่ “คุณน้าคะ งั้นวันนี้ออกไปกับพวกเรา แต่พรุ่งนี้ต้องอยู่ดูโทรทัศน์ที่บ้านเป็นเพื่อนย่าลู่นะคะ”
ลู่หันซูรีบเตือน “เสี่ยวมู่ แม่ฉันเข้าป่าไม่ได้นะ เดี๋ยวจะไปกระตุ้น…”
ถึงแม้เสี่ยวมู่กับอาจารย์ลู่จะเอาแม่เธออยู่ แต่เธอไม่อยากรบกวน
มู่เถาเยายิ้ม “ไม่เป็นไร มีพวกเราอยู่”
ลู่จือฉิน “วางใจเถอะ มีเจ้าหญิงน้อยอยู่ข้างๆ คงไม่สะเทือนใจเท่าไร”
ย่าลู่กับลู่หันซูครุ่นคิด รู้สึกว่ามีเหตุผล
เดิมทีแม่ลู่เข้าป่าก็เพื่อตามหา ‘เจ้าหญิงน้อย’ ตอนนี้ ‘เจ้าหญิงน้อย’ อยู่ข้างกายแล้ว เธอไม่น่าจะคลุ้มคลั่งวิ่งเข้าป่าหรือเปล่า
ครั้นแล้วย่าลู่จึงพยักหน้า “เสี่ยวซู ไปเปลี่ยนให้แม่ใส่กางเกงขายาวไป ย่าจะเตรียมหมวกกับกระบอกน้ำให้”
“ค่ะย่า”
แม่ลู่ดีใจมาก
ทุกคนพลอยอดยิ้มตามเธอไม่ได้
คนอายุสี่สิบกว่ามีสีหน้าที่ไร้เดียงสา แต่กลับไม่ดูติดขัดเลยสักนิด
ย่าลู่เตรียมกระบอกน้ำกับหมวกเสร็จ สองแม่ลูกก็ลงมาจากชั้นบน
ลู่หันซูยังได้สะพายเป้ผ้าสีดำอีกด้วย
กระบอกน้ำของผู้หญิงเป็นแบบมีสายคาดยาว คาดสะพายบนตัวได้ ส่วนกระบอกน้ำของเฉิงอันนั่วกับพ่อบ้านจงเอาใส่กระเป๋าสะพายหลังของตัวเองได้
ภายในกระเป๋าของผู้ชายทั้งสองนอกจากมีกระบอกน้ำของตัวเองแล้วยังมีขนมสารพัด เช่น ช็อกโกแลต
กล่องยาใบน้อยของมู่เถาเยาย่อมอยู่ในมือของเฉิงอันนั่ว
ลู่จือฉินไม่พกกล่องยาไป วันนี้พวกเขาไม่ได้เข้าไปในหุบเขาลึก ตอนเที่ยงก็ต้องกลับมา เพราะตอนบ่ายจะเข้าโดยใช้อีกช่องทางหนึ่ง เส้นทางไม่เหมือนเดิม
ทุกคนร่ำลาย่าลู่แล้วขึ้นรถมุ่งหน้าไปยังทางขึ้นเขาที่อยู่ใกล้บ้านหลังเก่าของครอบครัวลู่
ลงจากรถ ลู่หันซูเดินนำพลางแนะนำภูเขาสมุนไพรทุ่งสมุนไพร
ที่นี่มีหมดไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรทั่วไปหรือสมุนไพรล้ำค่า แต่ละทุ่งแต่ละแปลงเพาะปลูกกว้างขวางมาก
สมุนไพรบางอย่างที่เพาะปลูกให้สรรพคุณเหมือนกับสมุนไพรป่า
เห็นสมุนไพรเจริญเติบโตได้ดีขนาดนี้ ก็ไม่แปลกใจที่หมู่บ้านตงจี๋จะร่ำรวย
ปาอินยิ้มกว้าง “ทำไมฉันรู้สึกว่าหมู่บ้านตงจี๋คล้ายหมู่บ้านเถาหยวนซานเลยนะ”
เฉิงอันนั่ว “นั่นสิ แตกต่างตรงที่หมู่บ้านเถาหยวนซานมีผลผลิตหลากหลาย แต่ที่นี่ผลิตอยู่อย่างเดียว”
เหลียงจี “ผู้คนก็เรียบง่ายมาก”
จุดนี้ค่อนข้างคล้ายหมู่บ้านเถาหยวนซาน
แต่บ้านเรือนกระจัดกระจาย ไม่ได้กระจุกตัวแบบหมู่บ้านเถาหยวนซาน
แน่นอนว่าถึงแม้หมู่บ้านตงจี๋จะดี แต่ก็ไม่ได้ให้บรรยากาศแบบครอบครัวเดียวกันทั้งหมู่บ้านเหมือนหมู่บ้านเถาหยวนซาน
แต่เมื่อเทียบกับที่อื่นก็ถือว่าดีมากแล้ว
ลู่หันซูยิ้มพูด “ผู้คนที่นี่น่ารักมาก บ้านไหนมีเรื่องอะไรก็จะมีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือ ไม่เคยขัดแย้งกันเรื่องผลประโยชน์ด้วย”
ลู่จือฉินยิ้ม “เท่าที่อาจารย์เคยสัมผัสนะ อันที่จริงผู้คนที่อยู่ในหมู่บ้านกลางเขาจะดีกว่าคนในหมู่บ้านชนบทหน่อย”
ไม่ว่าจะชาติที่แล้วหรือชาตินี้ก็เป็นแบบนี้
พ่อบ้านจงยิ้มพูด “หมู่บ้านชนบทสมัยนี้มีหลายแห่งที่กลายเป็นหมู่บ้านกลางเมืองไปแล้ว ไม่ใช่ชาวบ้านชาวสวนที่ใสซื่อบริสุทธิ์ ความคิดความรู้สึกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง มีแค่หมู่บ้านกลางหุบเขาที่ยังคงเป็นเหมือนเดิม”
ทุกคนอดระบายความรู้สึกไม่ได้
คนสมัยนี้รายได้สูงแล้ว ยากที่จะรักษาปณิธานแรกเริ่มไว้ได้ คนที่ปณิธานไม่แน่วแน่จะถูกโลกภายนอกล่อลวงได้ง่ายจนกลายเป็นคนเลวร้ายแบบที่เขาว่ากัน
เดินเท้าสองชั่วโมงผ่านภูเขาสมุนไพรลูกแรก เข้าสู่ภูเขาสมุนไพรลูกสองที่ใหญ่กว่า
มู่เถาเยามองภูเขาสมุนไพรตรงหน้าพลางพูด “บุกเบิกที่นี่ต้องทุ่มเทไม่น้อยเลยนะ”
ลู่หันซู “มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่ฉันจำความได้ บ้านฉันก็มีที่ดินบนเขา แต่ปล่อยเช่าให้เพื่อนบ้านปลูกสมุนไพรตั้งแต่พ่อฉันตายไป”
ลู่จือฉิน “หันซู อาจารย์เห็นพวกบ้านของเพื่อนบ้านใหญ่โต พวกเขามีสมาชิกในครอบครัวเยอะเหรอ มีห้องว่างให้พวกเราอยู่บ้างไหม”
พักโรงแรมสุขสบายก็จริง แต่ไปกลับต้องเดินทางโดยรถยนต์สองชั่วโมง สิ้นเปลืองเวลา
“ทุกคนอยากมาพักในหมู่บ้านเหรอคะ ที่พักในหมู่บ้านสู้โรงแรมไม่ได้เลยนะคะ”
ถึงแม้ลู่หันซูจะไม่รู้ภูมิหลังของทุกคน แต่ก็พอมองออกว่าฐานะทางบ้านดี ใช่ว่าจะทนพักในบ้านของหมู่บ้านชนบทได้
ปาอินยิ้มกว้าง “พวกเราไม่ใช่คนแสวงหาความสุขสบาย แค่มีที่ให้พักก็พอแล้ว”
คนที่อยู่ตรงนี้ต่างเคยเข้าไปเก็บสมุนไพรบนเขา ยกเว้นพ่อบ้านจงกับเหลียงจี มีเหรอจะไม่เคยเจอกับความเหน็ดเหนื่อยความลำบาก
เหลียงจีเป็นทหาร ไม่มีทางกลัวความลำบาก แม้แต่พ่อบ้านจงก็เป็นทหารเกษียณ
มีคนไหนบ้างที่ทนความลำบากไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ในหมู่บ้านจะไม่ได้สุขสบายเหมือนโรงแรม แต่ก็ไม่ถือว่าลำบาก
มู่เถาเยาอธิบายให้ลู่หันซูฟัง “ตอนเช้าพวกเราต้องฝึกยุทธ์ ในโรงแรมมีกล้องวงจรปิด ไม่สะดวก พวกเราสองคนหนึ่งห้อง ขอแค่สามห้องก็พอแล้ว”
จะให้ปิดกล้องวงจรปิดทุกวันก็ไม่ได้ เกิดมีเรื่องยุ่งยากขึ้นมาจริงจะวุ่นวาย
ลู่หันซูพยักหน้าเข้าใจ
“บ้านฉันมีห้องว่างสองห้อง บ้านเพื่อนบ้านก็มีสองห้อง พอให้อยู่ห้องละสองคน เดี๋ยวกลับไปฉันจะขอลุงผิงป้าผิงว่าขอพักไม่กี่วัน”
พวกผ้าปูที่นอนผ้าห่มตอนเที่ยงกลับไปค่อยซัก ตากแดดสองสามชั่วโมงก็แห้งแล้ว ไม่เสียเวลา
ลู่จือฉิน “อืม เดี๋ยวกลับไปลองขอเพื่อนบ้านดูนะ ถ้าได้พรุ่งนี้พวกเราจะขนของมากันเลย”
“ค่ะ”
ทุกคนเดินเข้าไปอีกหน่อยแล้วออกมาจากอีกทางหนึ่ง
ตอนที่กลับถึงบ้านครอบครัวลู่เป็นเวลาประมาณเที่ยงครึ่ง
ย่าลู่กำลังตุ๋นอาหารอย่างสุดท้าย
“กลับมาแล้วเหรอ เหมียวเหมียวอาละวาดหรือเปล่า”
“ย่าคะ แม่ไม่งอแงเลยสักนิดค่ะ ก็แค่อยากไปเก็บดอกสมุนไพรของคนอื่น…” ลู่หันซูแอบอยากหัวเราะ
“อยากเก็บดอกไม้ไปให้เจ้าหญิงน้อย”
แม่ลู่เบ้ปาก ฟ้องย่าลู่ด้วยความน้อยใจ “ไม่มีดอกไม้ ซูซูไม่ให้เก็บ”
ย่าลู่ “…เดี๋ยวแม่จะไปเก็บดอกกะหล่ำในแปลงมาให้เธอ”
“ดีค่ะ” แม่ลู่ตอบทันที
ทุกคนหันไปมองมู่เถาเยาเป็นสายตาเดียวกัน เพราะดอกกะหล่ำนี้จะเก็บมาให้ ‘เจ้าหญิงน้อย’
มู่เถาเยา “…”
ย่าลู่กลั้นขำ “ทุกคนรีบไปล้างมือเถอะ กับข้าวอย่างสุดท้ายจะขึ้นจากเตาแล้ว”
ทุกคนล้างมือ ล้างกระบอกน้ำ…สิบนาทีต่อมาก็มานั่งที่โต๊ะอาหาร กินไปคุยไป
“ย่าคะ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จหนูจะไปถามลุงผิงดูว่าให้พวกอาจารย์ลู่พักห้องว่างที่บ้านพวกเขาได้ไหม”
ย่าลู่ถามด้วยความแปลกใจ “อาจารย์ลู่จะมาพักในหมู่บ้านเหรอ”
ลู่จือฉินยิ้มพูด “ในหมู่บ้านสะดวก ทุ่นเวลา ครั้งนี้ไม่ได้เอาเต็นท์มา ไม่อย่างนั้นกลางคืนพวกเรานอนบนเขาได้ค่ะ”
ไปๆ กลับๆ เดินย้ำเส้นทางเดิมก็เปลืองเวลาเหมือนกัน
แต่ที่นี่ก็ไม่ใช่หมู่บ้านเถาหยวนซาน ใช้กำลังภายในตามอำเภอใจไม่ได้
ย่าลู่ “ถึงแม้จะไม่เคยได้ยินว่าบนเขามีสัตว์ดุร้าย แต่พักบนเขาตอนกลางคืนก็ไม่ปลอดภัย”
“คุณน้าลืมแล้วเหรอคะว่าฉันนอนค้างในป่าบ่อยๆ”
“…”
เธอลืมแล้วจริงๆ !
มู่เถาเยา “ย่าลู่ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ หนูกับอาจารย์สามเข้าออกป่าเป็นว่าเล่นแล้วค่ะ”
“ต่อให้พวกเธอพักในหมู่บ้าน แต่เส้นทางไปกลับก็ใช้เวลามากเหมือนกัน”
ยังไงก็ต้องยอมเสียเวลา ให้ค้างแรมบนเขาไม่ได้
“พวกเราจะขึ้นเขาจากช่องทางที่แตกต่างกัน พอถึงตอนนั้นต่อให้เลยเวลากินข้าวไม่กลับมาทุกคนก็ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ พวกเราอาจเดินไปไกลหน่อย แต่ไม่มีปัญหาแน่นอนค่ะ”
ลู่จือฉินพยักหน้า “ต่อให้ตอนเย็นพวกเราไม่กลับมาทุกคนก็กินข้าวเข้านอนตามปกติได้ ไม่ต้องคิดมากค่ะ”
ลู่หันซู “อาจารย์ลู่ เสี่ยวมู่ ฉันไปด้วยได้ไหม”
“หันซู ร่างกายเธออาจจะไม่ไหว”
“ฉันไหว ฉันเดินติดต่อกันแปดชั่วโมงได้”
มู่เถาเยา “พวกเราไปหาสมุนไพร ไม่ต้องเดินต่อเนื่องแปดชั่วโมง เพียงแต่เวลาที่ใช้รวมกันอาจถึงสิบกว่าชั่วโมง”
“ฉันไหว!”
นี่เป็นการหายาให้แม่เธอ เธอก็อยากร่วมด้วย
ลู่จือฉิน “งั้นพรุ่งนี้ลองดูวันนึงก่อน ถ้าไม่ไหว วันมะรืนอาจารย์จะไปกับเสี่ยวเยาเยาแค่สองคน”
เหลียงจี “ฉันช่วยแบกของไปด้วยได้ไหมคะ”
พละกำลังของเธอแข็งแกร่งมาก!
มู่เถาเยาส่ายหน้า “พี่เหลียงจีอยู่กับอันนั่ว เสี่ยวอิน และลุงจงดีกว่าค่ะ มีอะไรจะได้ช่วยเหลือได้”
มีเหลียงจีกับพ่อบ้านจงที่เคยเป็นทหารอยู่ มู่เถาเยายิ่งลดความเป็นห่วงเฉิงอันนั่วกับปาอิน
เด็กสองคนนี้เติบโตมาอย่างสุขสบาย ยอดเยี่ยมก็จริง แต่กลับไม่เคยต้องลำบากอะไรมาก
เหลียงจีกับพวกปาอินไม่คัดค้านอะไร
พอเห็นทุกคนจัดแจงกันลงตัวแล้ว ย่าลู่ก็ไม่พูดมากอีก แค่บอกว่าเดี๋ยวจะไปทำความสะอาดห้อง เอาผ้าปูที่นอนกับผ้าห่มไปซัก
พวกมู่เถาเยาพากันขอบคุณย่าลู่
ย่าลู่แกล้งดุ “พวกเธอมาช่วยแม่ของเสี่ยวซู จะพูดขอบคุณพวกเราทำไม”
ทุกคนพากันหัวเราะ
“กินข้าวก่อนเถอะ เดินกันมาค่อนวัน เหนื่อยแย่ คงหิวกันนานแล้ว”
ทุกคนพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง เริ่มตั้งหน้าตั้งตากินข้าว