ตอนที่ 259 แม่น้ำคือเส้นกั้นพรมแดน
หลังอาหารเที่ยง ย่าลู่ไปถามบ้านลุงผิงเรื่องขอห้องพักให้แขก
ลู่หันซูต้มน้ำชงชาดอกเก๊กฮวยตามเดิม
ตอนบ่ายจะเข้าไปในภูเขาที่ยังไม่ได้บุกเบิก ทางนั้นมีต้นไม้สูงให้ร่มเงา ไม่ร้อนเท่าตอนเช้า
พอรินน้ำชาใส่กระบอกน้ำของทุกคนเสร็จ ย่าลู่ก็กลับมาจากบ้านเพื่อนบ้าน
ลู่หันซูถาม “ลุงผิงมีห้องว่างให้พักไหมคะย่า”
ย่าลู่ยิ้มพลางพยักหน้า “ลุงผิงบอกว่าเดี๋ยวจะทำความสะอาด ซักผ้าปูที่นอนกับผ้าห่มให้บ้านเขามีห้องว่างให้พักได้สองห้อง เตียง แอร์ ห้องน้ำ มีครบหมด ถึงจะเรียบง่ายไปหน่อย แต่ก็พักได้ไม่มีปัญหา”
ครอบครัวลุงผิงพอรู้ว่าเป็นคณะของหมอลู่อยากมาพักก็ดีใจกันทั้งครอบครัว พากันพูดยินดีๆ ไม่หยุด
พวกมู่เถาเยาพร้อมใจกันขอบคุณย่าลู่
ย่าลู่พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เป็นเรื่องที่ย่าควรทำอยู่แล้ว”
ลู่จือฉินยิ้มมุมปาก “งั้นพรุ่งนี้เช้าพวกเราจะเอาสัมภาระมาที่นี่ พ่อบ้านจงกับอันนั่วพักที่บ้านลุงผิง”
ในเมื่อสถานการณ์เอื้ออำนวย งั้นก็ให้ผู้ชายสองคนพักกันคนละห้องสบายหน่อย
ผู้หญิงสองคนนอนเตียงเดียวกันเป็นเรื่องปกติ แต่ผู้ชายสองคนนอนเตียงเดียวกันออกจะดูแปลกๆ
ห้องพักของคนชนบทไม่ค่อยวางสองเตียงในห้องเดียว เว้นเสียแต่เด็กจะเล็กมาก ต้องนอนห้องเดียวกันเพื่อเฝ้าระวัง
ผู้ชายสองคนที่ถูกเรียกชื่อต่างพยักหน้า
ริมฝีปากของมู่เถาเยามีรอยยิ้มบาง “ย่าลู่คะ งั้นพวกเราทำความสะอาดก่อนดีกว่า คนเยอะ เสร็จเร็ว”
ย่าลู่ส่ายมือ “ย่าคอยทำความสะอาดอยู่ตลอด ไม่ได้สกปรกมาก พวกผ้าปูที่นอนกับผ้าห่มก็ซักแล้วถึงเก็บ เดี๋ยวย่าจะเอาใส่เครื่องซักผ้าซักอีกรอบ ตากแดดสักหน่อย พวกเธอพักเสร็จก็ออกไปขึ้นเขาเถอะ”
ลู่หันซูพูดต่อจากย่า “อันที่จริงพอรู้ว่าทุกคนจะมา ฉันกับย่าก็ทำความสะอาดห้องทุกซอกทุกมุมไปแล้วรอบหนึ่ง ก็แค่เกรงใจไม่กล้าเอ่ยปากให้ทุกคนมาพักที่บ้าน” อย่างไรเสียบ้านก็ค่อนข้างเก่า
ย่าลู่ยิ้มให้ทุกคนอย่างอ่อนโยน
เด็กกลุ่มนี้ถูกครอบครัวเลี้ยงดูสั่งสอนมาอย่างดี!
ลู่จือฉินยิ้มดวงตาโค้งมน “พวกเราเข้าป่าจนชินกันแล้วทั้งนั้น ไม่เรื่องมากหรอกค่ะ”
สองย่าหลานพยักหน้า
ลู่หันซู “งั้นพวกเราออกไปตอนนี้เลยหรือรอแดดเบาลงหน่อยค่อยไปกัน”
มู่เถาเยา “ออกไปตอนนี้ดีกว่า ในเขามีร่มไม้ ไม่โดนแดดเผา”
ทุกคนไม่แย้งอะไร
หยิบกระบอกน้ำของตัวเอง สวมหมวกแล้วออกจากบ้าน
เส้นทางขึ้นเขาอีกเส้นทางหนึ่งอยู่ในทิศทางตรงกันข้ามกับบ้านเก่าของครอบครัวลู่ ขับรถประมาณสิบนาที
ใช่ว่าจะไม่มีช่องทางอื่นแล้ว ก็แค่ทุกคนชินกับการเข้าตามช่องทางใหญ่ๆ
ไม่ใช่เพียงเพราะทางเข้านี้มีที่จอดรถใกล้ๆ ยังเพราะภูเขาลูกนี้เป็นภูเขาธรรมชาติที่อยู่ใกล้ภูเขาสมุนไพรมากที่สุด
เข้าไปจากทางนี้ก็จะเป็นภูเขาเขียวชอุ่มต่อเนื่องกัน แต่จะผ่านไปกี่ชั่วอายุคนก็ยังไม่เคยมีใครเดินไปจนสุด
หากดูจากแผนที่ สุดปลายเขาคือแม่น้ำ เป็นแม่น้ำที่กว้างมาก มีชื่อว่าแม่น้ำสายเขียว
ที่น่ามหัศจรรย์คือ น้ำในแม่น้ำสายเขียวเป็นสีเขียวด้านหนึ่ง สีเขียวเหลืองด้านหนึ่ง
เหมือนกับสำนวนที่ว่า น้ำบ่อไม่รวมกับน้ำในแม่น้ำ ต่างไหลอย่างเงียบๆ ไม่ข้องเกี่ยวกัน
อีกด้านหนึ่งของแม่น้ำเป็นอีกประเทศหนึ่ง
แม่น้ำสายนี้จึงเป็นเหมือนพรมแดนระหว่างประเทศ
ลู่หันซูยิ้มพูด “ฉันอยากไปดูด้านนั้นมาตลอด แต่ก็ไปไม่ถึง”
มู่เถาเยา “ต้องมีโอกาสแน่”
“อืม”
ปาอินยิ้มพูด “ในเขาเย็นสบายดีจัง”
เหลียงจี “นั่นสิ ในป่าเขาที่มีแมกไม้เขียวชอุ่มไม่ร้อนเลย ถ้ามีแหล่งน้ำจะยิ่งเย็นสบายกว่านี้”
ลู่หันซู “มีแหล่งน้ำ ข้างในมีน้ำตกเล็กๆ มีหนองน้ำตื้นอยู่หลายแห่ง คนในหมู่บ้านเราชอบไปแช่น้ำคลายร้อนที่นั่นตอนช่วงเดือนกรกฎาเดือนสิงหา”
ลู่จือฉิน “ในเขาลูกนี้น่าจะมีสมุนไพรไม่เท่าไร”
ลู่หันซูพยักหน้า “ค่ะ มีแต่พวกสมุนไพรที่พบเจอได้บ่อย พวกเราเลยไม่ค่อยมาเก็บ”
มู่เถาเยา “นักท่องเที่ยวสายลุยส่วนใหญ่น่าจะชอบภูเขาแบบนี้ เดินง่าย แถมยังมีแหล่งน้ำกับผลไม้ป่า”
“ใช่ บางช่วงจะมีหนุ่มสาวจากเมืองใกล้ๆ ตั้งใจขับรถมาขึ้นเขาลูกนี้”
ทุกคนเดินขึ้นเขาพลางพูดคุยกัน
เดินๆ หยุดๆ เก็บผลไม้ป่า ไม่มีใครรู้สึกเหนื่อย
แม่ลู่ยิ่งดูมีความสุข เห็นดอกอะไรก็อยากเก็บให้มู่เถาเยา
เวลานี้มู่เถาเยาหอบดอกไม้สารพัดชนิดอยู่เต็มอก มีทั้งดอกจื่อเวย ตู้อิง จื่อซุ่ยไหว นั่วหมี่เถียว…หรือแม้กระทั่งดอกกล้วยไม้ ดอกลิลลี่แมงมุม!
แม่ลู่วิ่งไปนั่นมานี่เหมือนลูกนกที่เริงร่า เจอดอกไม้ก็เด็ด
มู่เถาเยาดึงแม่ลู่ที่ยังอยากไปเด็ดดอกคอสมอส “วันนี้เยอะแล้วค่ะคุณน้า พวกเราเหลือไว้เก็บครั้งหน้าบ้างค่ะ”
แม่ลู่คิดแล้วพยักหน้า “พรุ่งนี้”
“คุณน้าคะ พรุ่งนี้เปลี่ยนเป็นหนูเก็บไปให้คุณน้าบ้างดีไหมคะ คุณน้าอยู่บ้านช่วยงานหนูหน่อยได้ไหมคะ”
มู่เถาเยาอยากหางานให้แม่ลู่ทำหน่อย จะได้ไม่อยากตามเธอขึ้นเขา
ก็พอดี ทุกคนเดินขึ้นเขาพลางเก็บดอกเก๊กฮวยเดือนกรกฎาคม เดี๋ยวค่อยให้แม่ลู่เอาใส่กระด้งหรืออุปกรณ์อย่างอื่นไปตากให้แห้ง
“จ้ะ ฉันช่วยงานเจ้าหญิงน้อยได้”
“อืม คุณน้าเก่งมากเลยค่ะ”
แม่ลู่พยักหน้าหงึกๆ
มู่เถาเยามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลของแม่ลู่อยู่สักพักแล้วหันไปบอกลู่หันซู “หันซู อีกครึ่งปีฉันจะทำยาลบรอยแผลเป็นให้เธอไปทาให้แม่ทั้งตัวนะ”
“ได้ ขอบใจนะเสี่ยวมู่”
ลู่หันซูรู้ดีว่าทำไมต้องรออีกครึ่งปี
หากอีกครึ่งปีแม่เธอยังอยู่ ก็แสดงว่าถอนพิษได้แล้ว ลบรอยแผลเป็นได้จะดีที่สุด
หากว่า…แม่เธอไม่อยู่แล้ว ลบรอยแผลเป็นไปจะมีความหมายอะไร
หลักๆ คือการลบรอยแผลเป็นที่มีมานานต้องใช้เวลานานกว่า มิฉะนั้นพอกลับไปมู่เถาเยาก็คงทำยาให้เธอได้เลย
ต่อให้สุดท้ายไม่มียาถอนพิษ แต่จากไปทั้งที่สวยงามก็เป็นเรื่องดี
แต่ถ้าได้หญ้าไป๋หลิงมาผสมในยา ลบรอยแผลเป็นในสามเดือนก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
แม่ลู่ไม่สนใจเรื่องพวกนี้
เธอมัวแต่ดีใจที่ตัวเองช่วยงานเจ้าหญิงน้อยได้
ลู่หันซูมองแม่ตัวเองที่มีท่าทางดีอกดีใจ อยู่ๆ ก็คิดได้ว่า ‘เจ้าหญิงน้อย’ คนนี้จะเป็นลูกสาวที่แม่เธอเคยคลอดไว้หรือเปล่า ไม่อย่างนั้นอาการหนักขนาดนี้แล้วทำไมถึงยังจำเรื่อง ‘เจ้าหญิงน้อย’ ได้
งั้น…เสี่ยวมู่เป็น ‘เจ้าหญิงน้อย’ จริงเหรอ หรือว่าจะเป็น…พี่สาวแท้ๆ ของเธอ
พอลู่หันซูคิดได้แบบนี้ก็ตั้งใจมองมู่เถาเยาอย่างจริงจัง เพื่อหาจุดที่เหมือนกับตัวเองหรือแม่
มู่เถาเยากะพริบตาปริบๆ แล้วถาม “หันซูมองอะไรเหรอ”
“ฉันกำลังคิดเรื่องประวัติของแม่…พ่อฉันก็ไม่รู้ เคยตั้งใจไปสืบเหมือนกัน ไม่ได้ข้อมูลอะไรเลย…”
ตอนนั้นที่พ่อเก็บแม่ได้ แม่บาดเจ็บสาหัสมาก ก็เลยไปแจ้งตำรวจ
หลังจากบาดแผลหายดีพากลับบ้านก็ได้รับความเห็นชอบจากทางสถานีตำรวจ อย่างไรเสียจะทิ้งไว้คนเดียวก็ไม่ได้
ถ้าเป็นคนปกติยังพอว่า อย่างน้อยก็ช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่มีทางอดตาย
แต่แม่ของเธอไม่ใช่
มู่เถาเยายิ้มถาม “มันตั้งสิบกว่าปีมาแล้ว ทำไมเธอมาคิดเรื่องนี้ตอนนี้ล่ะ”
ลู่หันซูพูดด้วยความเขินอายเล็กน้อย “ฉันแอบสงสัยว่าเจ้าหญิงน้อยที่แม่พูดถึงจะเป็นลูกสาวที่แม่ฉันเคยคลอดไว้ ก็เลย…”