ตอนที่ 260 ดอกห้อมช้างมีพิษ
“ก็เลยสงสัยว่าฉันจะเป็นพี่สาวเธอเหรอ เธอดูนะฉันมีตรงไหนบ้างที่เหมือนเธอกับแม่”
“เอ่อ…ไม่มี หน้าตาไม่เหมือนเลยสักนิด…”
เสี่ยวมู่หน้าแบบตุ๊กตา แม่ของเธอหน้ารูปไข่ เสี่ยวมู่มีดวงตาแบบลูกกวางน้อย แม่ของเธอตาหงส์ เสี่ยวมู่จมูกแบบหยดน้ำ แม่ของเธอจมูกเป็นสันตรง เสี่ยวมู่ริมฝีปากบาง แม่ของเธอปากรูปกระจับ…
พอเทียบกันแบบนี้แล้วไม่มีจุดไหนที่เหมือนกันเลยสักนิด
แต่เสี่ยวมู่อาจเหมือนพ่อแท้ๆ ของตัวเองก็ได้! อย่างเธอก็หน้าคล้ายพ่อมากกว่า!
ดังนั้นตอนนี้ยังฟันธงไม่ได้ว่าเสี่ยวมู่มีความสัมพันธ์เป็นแม่ลูกกับแม่ของเธอหรือเปล่า
อืม เธอเองก็อยากได้พี่สาวที่จิตใจอ่อนโยนและเก่งโดดเด่นแบบนี้เหมือนกัน!
พอได้ฟังคำพูดของลู่หันซูทุกคนก็หัวเราะ
ขนตางอนเป็นแพเหมือนใบพัดของมู่เถาเยาหลุบลง ดวงตาคู่งามเหลือบมอง เปล่งประกายระยิบระยับ
เธอยิ้มพูดกับลู่หันซู “หันซู ฉันแน่ใจได้ว่าไม่ใช่พี่สาวของเธอ”
ลู่จือฉินก็ยิ้ม “ใช่ เสี่ยวเยาเยามีพ่อแม่ มีพี่ชายแท้ๆ”
ลู่หันซูผิดหวังเล็กน้อย แต่ขณะเดียวกันก็แอบดีใจ
เสี่ยวมู่ไม่ใช่ลูกสาวของแม่เธอ ก็แสดงว่าตัวตนไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น
แม่เธอปรากฏตัวในสภาพแบบนี้ก็อธิบายได้หลายเรื่องแล้ว
จิตใต้สำนึกของเธอก็ไม่อยากให้เสี่ยวมู่ไม่รู้ตัวตนของพ่อด้วย
มู่เถาเยายิ้มถาม “หันซูอยากรู้ชาติกำเนิดของแม่ไหม”
“อยาก ฉันอยากรู้ว่าเจ้าหญิงน้อยของแม่คือใคร เกิดแม่ฉัน…ฉันจะได้ช่วยแม่ตามหาได้ต่อ”
ขอบตาของลู่หันซูเริ่มแดงเล็กน้อย
แม่ของเธอมีสภาพแบบนี้แล้วยังเอาแต่คิดถึง ‘เจ้าหญิงน้อย’ แสดงให้เห็นว่าเป็นคนที่สำคัญขนาดไหน!
เธออยากทำให้แม่สมความปรารถนา ไม่ว่าแม่จะหายแล้วหรือยังไม่หาย
แต่ตอนนี้ไม่รู้อะไรเลย ต่อให้เธอมีความตั้งใจแต่ก็จนปัญญา
ทุกคนพลอยสะเทือนใจไปด้วย
สังคมสมัยนี้หาคนแบบนี้ได้ยากจริงๆ แม้แต่มู่เถาเยายังอดระบายความคิดอยู่ภายในใจไม่ได้
ความคิดนี้ของลู่หันซูทำให้เธออยากได้มาเป็นน้องสาวแล้ว
เด็กคนนี้ดีแบบไม่ธรรมดา!
ชนะเลิศการแข่งขันทักษะทางการแพทย์ มีแต่อาจารย์ทั้งในและต่างประเทศอยากรับเธอเป็นลูกศิษย์ แต่เธอเป็นห่วงครอบครัว ไม่อยากทิ้งย่าที่แก่ชรากับแม่ที่ถูกพิษและพิการจากบ้านไปเรียนไกล
ความกตัญญูแบบนี้เป็นสิ่งล้ำค่ามาก
และความตั้งใจนี้ไม่เคยเปลี่ยนไปสักนิด
ต้องทราบก่อนว่า จากเด็กนักเรียนที่ไม่มีชื่อเสียงไปจนถึงสาวน้อยมากพรสวรรค์ที่โด่งดังระดับนานาชาติ สถานะเปลี่ยนไปมาก ถ้าเป็นคนอื่นนิสัยและความตั้งใจก็คงเปลี่ยนไปแล้วไม่มากก็น้อย
แต่เด็กคนนี้ไม่เปลี่ยนเลยสักนิด ถึงขั้นที่ว่าไม่เคยแสดงความอวดดีเลยสักครั้ง
แม้จะมีแม่ที่เป็นตัวถ่วงอนาคต แต่ความกตัญญูของเธอก็ไม่ลดน้อยลง
‘ความกตัญญู’ ของครอบครัวคนธรรมดาไม่เท่ากับ ‘ความกตัญญู’ ของครอบครัวคนร่ำรวย
‘ความกตัญญู’ ของครอบครัวคนร่ำรวย ขอแค่ในใจมี ‘ความกตัญญู’ ก็ลงมือปฏิบัติได้ง่ายดาย แต่ ‘ความกตัญญู’ ของครอบครัวคนธรรมดากลับต้องแบกรับแรงกดดันที่มากกว่า
อย่างเช่น แม่ของครอบครัวคนรวยป่วย ลูกสามารถทิ้งงานกลับไปได้ทันที เพราะไม่ต้องกลุ้มใจเรื่องค่ารักษาและอื่นๆ ส่วนครอบครัวคนธรรมดา อยากไปดูแลปรนนิบัติยังต้องคำนึงถึงหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าผ่อนบ้าน ค่าเทอม ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เป็นต้น มีเหรอที่จะทิ้งงานกลับไปดูแลปรนนิบัติเดือนสองเดือนหรือนานกว่านั้นได้อย่างสบายใจ
ในความเป็นจริงคนส่วนใหญ่คือ ไม่ใช่ไม่กตัญญู แต่ความจำเป็นบีบบังคับ…
ล้มป่วยไร้ลูกดูแลกลายเป็นเรื่องปกติและเป็นปัญหาในชีวิตจริง เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่พบเห็นได้ทั่วไปมานานนับพันปี
ต่างพูดกันว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แต่มู่เถาเยาจับผิดจากตัวลู่หันซูไม่ได้เลยสักนิด
พอได้คลุกคลีมากเข้ายิ่งชวนให้รู้สึกชอบจากใจจริง
มองลู่หันซูอยู่สักพัก รอยยิ้มของมู่เถาเยาก็กว้างมากขึ้น
“อันที่จริงเธอมีความคิดนี้ก็เพียงพอแล้ว ภายใต้ความสามารถที่จำกัดของคนคนหนึ่ง คิดมากไปก็เจอแต่ทางตัน ไม่สู้ปล่อยไปตามธรรมชาติ อะไรที่ควรรู้ไม่นานก็ต้องได้รู้”
ลู่หันซูพยักหน้า “อืม ฉันวางเรื่องนี้ไว้ก่อน มีโอกาสค่อยว่ากัน ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือปัจจุบัน”
ขอแค่แม่ของเธอมีชีวิตอยู่ สักวันความจริงก็ต้องปรากฏ
ตอนนี้คิดเรื่องพวกนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์
ลู่จือฉิน “หันซู ตอนนั้นที่อาจารย์อยู่หมู่บ้านตงจี๋ระยะหนึ่งทำไมถึงไม่เคยเห็นคุณแม่ของเธอเลยล่ะ”
ถ้าเคยเจอกัน ไม่มีทางที่เธอจะไม่รู้ว่าในตัวแม่ลู่ยังมีพิษประหลาดอีกชนิดหนึ่ง
ลู่หันซูอธิบาย “ตอนนั้นย่าพาแม่ไปบ้านอาค่ะ อาแต่งไปอยู่เมืองเจียงตู หลังจากกลับมาแม่ก็ไปอยู่ที่บ้านเก่า…”
เนื่องจากระยะทางไกล ออกไปข้างนอกทีหนึ่งไม่ง่าย จึงพักอยู่หลายวันหน่อย
ย่าพาแม่ไปประการแรกคือเพื่อรักษาอาการป่วย ประการสองเพราะกลัวรบกวนการเรียนของเธอ
แม่ของเธอไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องห่วงนอกจากเรื่อง ‘เจ้าหญิงน้อย’ ดังนั้นพาออกไปก็ไม่ต้องกลัว
ลู่จือฉินพยักหน้าเข้าใจ
“…อาจารย์ลู่คะ เสี่ยวมู่ แม่ของฉันเหมือน…เด็กน้อย…”
หลายวันมานี้พฤติกรรมเหมือนเด็กน้อย…ชัดเจนมาก…
ย่าลู่ไม่อยู่ตรงนี้ สุดท้ายลู่หันซูจึงพูดออกมา
ลู่จือฉินพยักหน้า “เธอสังเกตเห็นแล้วสินะ”
“เดิมทีหนูคิดว่าถูกพิษฮ่วนเซี่ยงก็เป็นแบบนี้ ก่อนหน้านี้ก็เลยไม่ได้ถาม ต่อมาได้ฟังอาจารย์ลู่กับเสี่ยวมู่พูดเรื่องอาการของคนถูกพิษ งั้นก็ไม่ควรมีอาการแบบตอนนี้ อาจารย์ลู่ เสี่ยวมู่ ในร่างกายของแม่มีอย่างอื่นอีกนอกจากพิษฮ่วนเซี่ยงเหรอคะ”
ลู่จือฉินมองลูกศิษย์ตัวเองเพื่อบอกให้พูดได้
ลู่หันซูก็หันไปมองมู่เถาเยา
มู่เถาเยาหันไปมองแม่ลู่ที่กำลังนั่งเล่นดอกไม้ป่าริมทางแล้วถึงหันกลับมา “หันซู ในร่างกายของคุณน้าไม่ได้มีแค่พิษฮ่วนเซี่ยง ยังมีพิษประหลาดอีกชนิดหนึ่ง เธอรู้ใช่ไหมว่าตรงเอวด้านหลังของแม่เธอมีจุดแดงๆ”
“รู้ มันคืออะไรเหรอ”
เธอสังเกตเห็นตั้งแต่ช่วยแม่เปลี่ยนเสื้อผ้าครั้งแรกแล้ว ยังคิดว่าเป็นไฝแดงอะไรทำนองนั้นเสียอีก
“จุดแดงเป็นแผลที่เกิดจากถูกหนามดอกห้อมช้างทิ่ม ดอกห้อมช้างเป็นดอกไม้สีแดงที่มีความงดงามมาก แต่บนก้านของมันมีหนามพิษที่ออกฤทธิ์ช้า ออกฤทธิ์แค่กับสมอง ทำให้สติปัญญาเสื่อมถอย…”
มู่เถาเยาบอกข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับดอกห้อมช้างให้ทุกคนฟัง เช่น ลักษณะรูปร่าง แหล่งเจริญเติบโต ความเป็นพิษ
ลู่หันซูถามด้วยความร้อนใจ “เสี่ยวมู่ แล้วพิษนี้มันถอนยังไง”
คงไม่ยากยิ่งกว่าพิษฮ่วนเซี่ยงใช่ไหม
“ตอนนี้ยังถอนไม่ได้ ถ้าถอนพิษห้อมช้างก็จะไม่มีอะไรไปต่อกรกับพิษฮ่วนเซี่ยง คุณน้าก็จะ…ไม่ไหว และก็เพราะมีพิษห้อมช้างที่ช่วยรักษาสมดุล พิษฮ่วนเซี่ยงถึงได้ไม่ลุกลามเร็ว มิฉะนั้นคุณน้าคงตายไปตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนแล้ว…”
โชคดีที่พิษทั้งสองชนิดนี้มีความหยิ่งผยองในตัว ฝังอยู่ในตัวแค่คนคนเดียว ไม่มีทางตกทอดไปสู่รุ่นต่อไป มิฉะนั้นก็ใช่ว่าลู่หันซูจะเกิดมาได้
ลู่หันซูมองแม่ตัวเอง ถามด้วยดวงตาแดงก่ำ “ยาถอนพิษห้อมช้างหายากไหม”
อยู่ๆ ปาอินก็พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“เสี่ยวเยาเยา เสี่ยวเยาเยา ฉันๆๆ…เหมือนจะเคยเห็นดอกห้อมช้าง…”
“เธอเคยเห็นที่ไหน”
มู่เถาเยา ลู่จือฉิน ลู่หันซู เฉิงอันนั่ว ถามขึ้นพร้อมกัน
“ตำราโบราณ ฉันเปิดไปเจอหน้านั้นพอดีก็เลยอ่านดู ยังไม่เริ่มคัดลอกเลย”
ทุกคน “…”
พวกเขาก็คิดว่าปาอินเคยเห็นของจริงที่ไหนมาก่อน
ลู่หันซูดูผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด