บทที่ 211 งอแงจะเอาพ่อ

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

ได้ยินคำนี้ รอยยิ้มที่ใบหน้าวารุณีก็ชะงักไปทันที

อารัณก็ละสายตาลงอย่างเศร้าสลด

วารุณีก้มหน้าลงมองลูกสาวที่ร้องไห้เสียใจก่อน แล้วจึงมองนัทธีที่มีสายตาซับซ้อนอยู่ด้านนอกประตูอีกครั้ง ถามด้วยลำคอที่แห้งเล็กน้อย“ประธานนัทธี เกิดอะไรขึ้นกับไอริณใช่ไหมคะ?”

นัทธีพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ปิดบังเธอ พูดทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโรงเรียนอนุบาลออกมาหมด

วารุณีฟังจบ ก็โกรธจนตัวสั่น

เธอนั่งยองตัวลงไป โอบไอริณกับอารัณมาไว้ในอ้อมแขนแน่นๆ แล้วก็พูดอย่างรู้สึกผิดและเสียใจว่า:“ลูกรัก อย่าเอาคำพูดพวกนี้มาใส่ใจเลย พวกลูกไม่ใช่เด็กที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่ พวกลูกก็มีพ่อนะ”

“งั้นพ่อของพวกเราอยู่ไหนคะ?ทำไมถึงไม่เอาพวกเราล่ะ!”ไอริณเงยใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาขึ้นมาแล้วถาม

นัทธีก็มองไปที่วารุณี อยากรู้คำตอบ

แม้แต่อารัณก็มองวารุณีไม่ไปไหน

ถึงหม่ามี๊จะเคยบอกว่า พ่อแท้ๆของเขากับไอริณจะมีครอบครัวใหม่ในวันข้างหน้า เขาก็เคยรับปากหม่ามี๊แล้วว่าจะไม่รู้จักพ่อ แต่ว่าเขาไม่เคยล้มเลิกความคิดเลย อยากรู้ว่าพ่อคือใคร และอยู่ที่ไหน

เพราะว่าเขาอยากรู้ว่า ทำไมพ่อต้องทิ้งหม่ามี๊ไปด้วย!

เผชิญหน้ากับสายตาที่เฝ้ารอของลูกชายและลูกสาว วารุณีก็อ้าปากออกมา ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี ได้แต่ลูบหัวของไอริณอย่างเสียใจ“หม่ามี๊ก็ไม่รู้”

โกหก!

นัทธีหรี่ตาลง มองออกทันทีว่าเธอไม่ได้พูดความจริง

ไอริณร้องไห้อีกครั้ง มือเล็กๆสองข้างจับคอเสื้อของวารุณีไว้แน่น ซุกหน้าไปในอ้อมแขนของเธอ ร้องไห้เสียงดัง“ฮือฮือฮือ หนูจะเอาพ่อ……หนูจะเอาพ่อ!”

ได้ยินเสียงร้องไห้เสียใจของลูกสาว หัวใจของวารุณีก็เหมือนกับถูกใครดึง เจ็บสุดๆ

ตอนนี้เอง อารัณก็บีบมือเล็กๆ มองวารุณีด้วยสายตานิ่งๆ“หม่ามี๊ หม่ามี๊รู้ไหมทำไมไอริณอยากเจอพ่อขนาดนี้?”

ริมฝีปากแดงๆของวารุณีขยับเล็กน้อย กำลังจะตอบ

อารัณก็แย่งตอบไปก่อนว่า:“เพราะว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกแล้ว ที่ไอริณได้ยินเพื่อนคนอื่นๆบอกว่าพวกเราไม่มีพ่อ”

“อะไรนะ?”สีหน้าวารุณีเปลี่ยนไปอย่างมาก ดวงตาเบิกโตขึ้นมา

รูม่านตานัทธีสั่นคลอนเล็กน้อย ริมฝีปากบางๆเม้มขึ้นมา

อารัณตบหลังของไอริณเบาๆ“ตอนอยู่ต่างประเทศ เพื่อนคนอื่นๆต่างมีพ่อแม่มารับส่ง พวกเราไม่มี เพื่อนคนอื่นๆต่างอวดว่าพ่อของพวกเขาพาพวกเขาไปเที่ยวที่ไหนบ้าง แต่พวกเราไม่มี ดังนั้นเพื่อนพวกนั้นก็เลยบอกว่าพวกเราไม่มีพ่อ”

ร่างของวารุณีสั่น เกือบจะเป็นลมล้มไป

นัทธีเดินไปด้านหลังเธอ ยื่นมือประคองเธอไว้ จึงไม่ทำให้เธอล้มลงไปจริงๆ

“ทำไมพวกนี้ พวกหนูไม่เคยบอกหม่ามี๊พวกหนูเลยล่ะ?”นัทธีมองอารัณแล้วถาม

คำถามนี้ ก็เป็นสิ่งที่วารุณีอยากรู้ เธอดึงมือของอารัณไว้“ใช่อารัณ ทำไมพวกลูกไม่บอกหม่ามี๊?”

อารัณก้มหน้าเล็กๆลง“เพราะว่าหม่ามี๊เลี้ยงพวกเราจนโตก็เหนื่อยมากแล้ว พวกเราไม่อยากให้หม่ามี๊รู้สึกเสียใจเพราะพวกเราอีก”

พอได้ยินเช่นนั้น วารุณีก็ไม่ได้รู้สึกดีใจกับความรู้เรื่องของลูกทั้งสองคน กลับรู้สึกถึงความละอายใจอยู่ลึกๆ

ที่แท้ ตอนที่เธอไม่รู้ว่า ลูกทั้งสองคนของเธอ ถูกรังแกแบบนี้ พวกเขาก็อดทนไม่ยอมพูดเพื่อเธอ

ถ้าไม่ใช่ครั้งนี้ คำที่เด็กพวกนั้นพูด รุนแรงกว่าเมื่อก่อนที่เด็กพวกนั้นพูดตอนอยู่ต่างประเทศ แล้วไอริณทนไม่ไหว ร้องไห้จะเอาพ่อ บางทีตอนนี้เธอก็ยังคงไม่รู้เรื่องที่ลูกทั้งสองคนถูกรังแก

นึกถึงตรงนี้ วารุณีก็โทษตัวเองอย่างมาก ลูกหัวของลูกทั้งสองคน ขอโทษไม่หยุด“ขอโทษนะลูกรัก ขอโทษ……”

เด็กทั้งสองคนได้ยินคำขอโทษของเธอ ความน้อยใจข้างในใจ ก็ระบายออกมาทันที ร้องไห้ออกมาทั้งคู่

อารัณร้องไห้เสียงดังมาก

ถึงแม้เขาจะเป็นเด็กที่รู้เรื่อง แก่แดดมาก แต่สุดท้ายเขาก็เป็นแค่เด็กที่อายุไม่ถึงห้าขวบ ได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจ ก็ต้องร้องไห้

นัทธีมองสามคนแม่ลูกที่กอดกัน ในใจก็รู้สึกแน่นตึงเล็กน้อย อยากจะเอาพวกเขามากอดปลอบใจในอ้อมแขน

แต่เหตุผลได้หยุดเขาไว้ บอกเขาว่าไม่ได้ อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่ได้

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เด็กทั้งสองจึงค่อยๆหยุดร้องไห้ นอนหลับในอ้อมแขนของวารุณี

วารุณีจะอุ้มลูกทั้งสองคนกลับห้อง แต่เธอคนเดียวไม่สามารถอุ้มทั้งสองคนไปพร้อมกันได้,

ตอนที่เธอคิดว่าต้องปลุกคนหนึ่งหรือไม่นั้น ทันใดนั้นนัทธีก็ก้มเอวอุ้มอารัณไป จากอ้อมแขนของเธอ“อุ้มคนละคนละกัน”

วารุณีตะลึงก่อน จากนั้นยิ้มอย่างขอบคุณ“ขอบคุณประธานนัทธีนะคะ”

“นำทางสิ”นัทธีเงยคางขึ้น

วารุณีตอบอือ อุ้มไอริณเดินไปที่ห้องนอนเด็ก

ไปถึงห้อง ทั้งสองก็วางเด็กลงบนเตียงซ้ายคนขวาคน แล้วห่มผ้าอย่างแผ่วเบา

ทำเสร็จ วารุณีจึงส่งสายตาให้นัทธี บอกว่าเขาออกไปได้แล้ว

นัทธีพยักหน้าเบาๆ ตามหลังเธอออกไปจากห้อง

ออกไปแล้ว นัทธีก็มองวารุณีที่กำลังนั่งบนโซฟา ถูขมับอย่างเหนื่อยล้า“ทำไมคุณต้องปิดบังพวกเขาล่ะ ไม่ให้พวกเขารู้ว่าพ่อแท้ๆของพวกเขาเป็นใคร?”

มือวารุณีที่ขยับอยู่นั้นชะงักไป ไม่กี่วินาทีถัดมาถึงละสายตาลงตอบกลับว่า:“เพราะว่าฉันไม่อยากให้อารัณกับไอริณลำบากใจ”

“หมายความว่าไง?”นัทธีขมวดคิ้ว

วารุณีเงยหน้า มองเขาด้วยสายตาที่ซับซ้อน“พ่อแท้ๆของพวกเขา ข้างกายยังมีผู้หญิงที่รัก ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องสร้างครอบครัวใหม่กับอีกฝ่าย ต้องมีลูกที่เป็นของพวกเขาเอง ถึงตอนนั้นลูกของฉันจะกลายเป็นลูกนอกสมรส สำหรับอารัณกับไอริณแล้ว ไม่ใช่เรื่องดีเลย!”

ริมฝีปากบางๆของนัทธีขยับเล็กน้อย“คุณพูดถูก!”

อย่าคิดว่าเด็กๆไม่เข้าใจอะไรเลย ถึงไม่เข้าใจ สายตาแปลกๆของผู้คนรอบๆ ก็จะทำให้พวกเขารู้ ว่าพวกเขากับลูกที่ชอบด้วยกฎหมายนั้นต่างกัน

ไม่ว่าจะเป็นสังคมชั้นสูง หรือว่าคนทั่วไป ลูกนอกสมรสจะถูกคนประณาม และไม่ชอบเสมอ

“ยิ่งไปกว่านั้น ฉันเคยลองหยั่งเชิงพ่อของพวกเขาแล้ว เขาบอกว่า ถ้าเขารู้ว่ามีลูกสองคนอยู่ข้างนอก ก็จะเอาตัวลูกไป”พูดถึงตรงนี้ วารุณีก็กำฝ่ามือแน่น

นัทธีกลับเลิกคิ้วขึ้น รู้สึกว่าคำนี้คุ้นๆหู

เหมือนว่าเมื่อก่อนเธอก็เคยถามเขาแบบนี้ จากนั้นเขาก็ตอบแบบนี้

ดังนั้นตอนนั้นที่เธอถามเขา เพราะอยากเห็นคำตอบของผู้ชายว่าเหมือนกันไหมเหรอ?

วารุณีกัดริมฝีปาก“และฉันให้เขาเอาลูกของฉันไปไม่ได้ พอเอาไปแล้ว อย่าเพิ่งพูดถึงสถานะที่น่าอับอายของลูกทั้งสองของฉันเมื่ออยู่บ้านเขาเลย แต่ภรรยาในอนาคตของเขา ก็คงรับไม่ได้หรอก แต่ถึงรับได้ ฉันก็ไม่อาจจะรับประกันได้ว่า เธอจะปฏิบัติกับลูกของฉันได้ดีนัก”

นัทธีพยักหน้าโดยไม่ปริปากพูด

ไม่มีผู้หญิงที่ไหนจริงๆ ที่จะรับได้ว่าสามีในอนาคตของตัวเอง มีลูกนอกสมรส

“ดังนั้น ฉันจึงไม่บอกอารัณกับไอริณ ว่าพ่อของพวกเขาเป็นใคร และก็ไม่บอกพ่อของพวกเขาว่า เขายังมีลูกชายลูกสาวอยู่ด้วย”วารุณีถูแก้มแล้วสูดหายใจลึกๆพูดออกไป

นัทธีกอดอกมองเธอ“แต่คุณปิดบังไม่ได้ไปตลอดหรอก พวกเขาจะต้องรู้”

วารุณีก้มหน้าลง ปกปิดสายตาในดวงตา“ฉันเข้าใจ แต่ว่าปิดได้นานเท่าไหนก็เท่านั้นเถอะ”

“พ่อของเด็กคุณยังปิดบังไปได้อีกสักพัก แต่ว่าอารัณกับไอริณก็ไม่แน่หรอก วันนี้คำพูดพวกนั้นทำให้ในใจของไอริณเสียใจเป็นอย่างมาก ต่อไปเธอจะต้องงอแงต้องการพ่อมากขึ้น ถึงตอนนั้นคุณจะทำไง?”

นัทธีหรี่ตาจ้องไปที่วารุณี“อีกอย่างพ่อสำหรับลูกแล้ว ก็ควรจะขาดไม่ได้เช่นกัน”

วารุณีกุมหน้า อย่างทำอะไรไม่ได้“ฉันไม่รู้”