บทที่ 259 เพื่อนเก่าพบหน้า ต่างฝ่ายต่างเดือดดาล

เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย

บทที่ 259 เพื่อนเก่าพบหน้า ต่างฝ่ายต่างเดือดดาล

ผู้หญิงคนนั้นคิดไปคิดมา “ทำไมข้าต้องบอกพวกเจ้าด้วย?”

เซียวเย่เจ๋อเงยหน้าขึ้นมองด้วยความโมโห และขี้เกียจจะสนใจนางอีก ไม่แน่นางอาจเป็นคนที่สมองมีปัญหาก็เป็นได้ ม้าสองตัววิ่งมาเร็วเพียงนั้นนางกลับเดินออกมาทั้ง ๆ ที่เห็น พูดกับนางไปก็เสียเวลาเปล่า

เซียวเย่เจ๋อเพิ่งจะขึ้นหลังม้า ไป๋จิ่นก็ดึงจางปาเหลี่ยงขึ้นม้าและมุ่งหน้าไปต่อ แต่เซียวเย่เจ๋อกลับรู้สึกว่าด้านหลังมีบางอย่างแปลก ๆ จึงหันกลับไปมองอีกครั้ง

สตรีคนเมื่อครู่กลับขึ้นมานั่งซ้อนหลังเขาตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบได้!

เซียวเย่เจ๋อเองก็เป็นคนมีวรยุทธ์ สามารถขึ้นมาโดยที่เขาไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อยได้เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าวรยุทธ์ของสตรีผู้นี้สูงส่งมาก

“เจ้าจะทำอะไร?!” เซียวเย่เจ๋อดวงตาเบิกโพลงพลางเอ่ยถามออกมา

หญิงสาวเอนตัวไปด้านหลังพลางแคะหูไปด้วย “เจ้าเสียงดังเกินไปแล้ว จะรบกวนบรรดาลูก ๆ ของข้าได้”

“ข้าไม่สนใจลูก ๆ อะไรของเจ้าหรอก ตอนนี้ข้ากำลังรีบไปช่วยคน เจ้าอย่ามาสร้างความวุ่นวายให้ข้า ลงไปซะ” เซียวเย่เจ๋อร้อนใจจริง ๆ ไม่อย่างนั้นคงสามารถโต้เถียงกับนางได้ทั้งวัน

“ไม่ ข้าเดินเหนื่อยแล้ว” หญิงสาวไม่ยอมลง สายตาก็มองต่ำลง ทันใดนั้นก็จ้องไปที่เอวของเซียวเย่เจ๋อ ก่อนเอื้อมมือไปที่ท้องของเขา

เซียวเย่เจ๋อเกือบจะกระโดดขึ้นมา “มารยาทมีบ้างหรือไม่!! เจ้าลูบอะไรของเจ้ากัน!”

ก่อนจะเห็นว่าสตรีผู้นั้นจับถุงหอมของเขา และดึงมันกับห่อพัดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามให้ห้อยลงมาเท่ากัน ก่อนนางจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และเงยหน้าขึ้นพลางพูดว่า “สบายแล้ว”

“…”

“เจ้าประสาทหรืออย่างไร?!” เซียวเย่เจ๋อร้อนใจจนลิ้นแทบจะพันกัน

“ข้าไม่ได้ประสาท ข้าแค่เดินเหนื่อยแล้ว นี่ชาวจงหยวน พวกเรามาเจรจากันดีกว่า เจ้าให้ข้านั่งไปด้วยพักหนึ่ง หรือเจ้าจะขายม้าให้ข้า?”

เซียวเย่เจ๋อกลอกตามองบน “ข้านับหนึ่งถึงสาม หากเจ้ายังไม่ลงไปอีก ข้าจะไม่เกรงใจแล้วนะ!”

“เจ้าสู้ข้าไม่ได้หรอก” หญิงสาวเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง

“…” เซียวเย่เจ๋อขี้เกียจจะพูดกับนางแล้ว เมื่อเห็นว่าไป๋จิ่นใกล้จะลับสายตาไปแล้ว เซียวเย่เจ๋อก็สะบัดแส้ตามไปทันที ส่วนหญิงสาวด้านหลังผู้นี้ วรยุทธ์ของนางต่อให้ถูกสะบัดตกหลังม้า ก็คงมีความสามารถปกป้องตัวเองได้กระมัง

ไป๋จิ่นนำทางอยู่ด้านหน้า แต่เมื่อไปถึงป่าทึบก็ไม่แน่ใจเส้นทางขึ้นมา ส่วนจางปาเหลี่ยงยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขาหาต้นไม้คอหักได้ต้นหนึ่งก็อาเจียนอยู่ตรงนั้น

ตอนที่เซียวเย่เจ๋อตามมาทันนั้น ไป๋จิ่นก็เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เจ้าพานางมาด้วยทำไมกัน?”

เซียวเย่เจ๋อกำลังจะบอกว่าสตรีผู้นี้เกาะเขาไม่ยอมปล่อยและจะตามมาให้ได้ แล้วเขาจะไปทำอะไร ไม่แน่อีกเดี๋ยวอาจจะขโมยม้าของพวกเขาแล้วหนีไปก็เป็นได้

ทว่าหญิงสาวกลับลงจากหลังม้าไปเอง สายตาของนางสบกับไป๋จิ่นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นท่าทีของไป๋จิ่นก็เปลี่ยนไป

“เป็นเจ้า”

“ข้าเอง”

“เมื่อครู่กลับไม่กล้าบอกว่ารู้จัก”

“อืม ใครจะคิดว่าเจ้าก็มาที่นี่เหมือนกัน”

เซียวเย่เจ๋อเห็นพวกเขาพูดคุยกัน จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือนสติขึ้นมา “ท่านผู้มาจากต่างถิ่นทั้งสอง ยังมีชาวจงหยวนคนหนึ่งรอพวกเราไปช่วยอยู่ พวกเจ้าช่วยสนใจสิ่งนี้ก่อนได้หรือไม่?”

ไป๋จิ่นปรายตามองสตรีผู้นั้นเล็กน้อย “เจ้าคงได้ยินแล้ว ตอนนี้ข้ายุ่งมาก”

“พวกเจ้ากำลังตามหาสตรีผู้หนึ่งอยู่อย่างนั้นหรือ พวกเจ้ามีของอะไรของนางหรือไม่” หญิงสาวไม่รีบเข้าไปกระชากหัวไป๋จิ่น แต่กลับถามคำถามสำคัญขึ้นมา

ขณะที่พูดนั้น นางก็จับก้านของหญ้าหางจิ้งจอกสองก้านที่มีความยาวเท่า ๆ กัน ให้พวกมันตั้งตรงขึ้นไปด้วย

ไป๋จิ่นกับเซียวเย่เจ๋อจะมีของติดตัวของฮวาเซียงเซียงได้อย่างไรกัน แต่กลับเป็นจางปาเหลี่ยงที่กำลังอาเจียนอยู่ล้วงผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมา “เมื่อครู่ตอนที่เถ้าแก่เนี้ยฮวาถูกลักพาตัวไป ข้าเก็บเอาไว้ได้ เพียงแต่สกปรกไปหน่อยเท่านั้น”

ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นตกลงบนพื้นในตลาดปลา จึงเลอะไปด้วยดินโคลนและกลิ่นอาหารทะเล

สตรีผู้นั้นพึมพำอะไรบางอย่าง จากนั้นไม่นานก็มีเพียงพอนสีขาวราวหิมะตัวหนึ่งมุดออกมาจากหลังคอของนาง มันดมกลิ่นบนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเสร็จ ก็จับทิศทางได้และกระโดดออกไปทันที

“ยังไม่รีบตามไปอีก? รออะไรกันเล่า”

เอ่ยจบ นางก็ไล่ตามเพียงพอนตัวนั้นไปทันที

เซียวเย่เจ๋อรู้สึกตกตะลึงกับการกระทำเมื่อครู่ของนางเป็นอย่างมาก เขาตบหน้าอกของไป๋จิ่น “นางเป็นใครกัน เจ้ารู้จักหรือ เหตุใดเมื่อครู่ถึงไม่บอกเล่า?”

“ครั้งสุดท้ายที่ข้าเจอนาง นางเพิ่งจะสี่ขวบ ข้าจะจำนางได้อย่างไรกัน” ไป๋จิ่นสะบัดมือของเขาออก ก่อนจะปัดสาบเสื้อตรงหน้าอกเล็กน้อย

เซียวเย่เจ๋อวิ่งไปพูดไป “ไม่ใช่สิ เมื่อครู่พวกเจ้าก็จำกันได้แล้วไม่ใช่หรือ?”

“ที่พวกเราจำได้ไม่ใช่เพราะใบหน้าของกันและกัน แต่เป็นลมหายใจที่ทำให้อีกฝ่ายรังเกียจเมื่อเข้าใกล้กันต่างหาก”

“เจ้าจะพูดให้ดูลึกล้ำเช่นนั้นทำไมกัน เจ้าบอกมาดีกว่าว่าพวกเจ้าเป็นอะไรกัน!?”

“ข้าอยู่สำนักพิษ นางอยู่สำนักกู่ พวกเราเป็นศัตรูคู่อาฆาต หนอนกู่บนกายของนางได้กลิ่นพิษบนกายข้า นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการระบุตัวกันและกัน” ไป๋จิ่นพูดราวกับเป็นเรื่องธรรมดาทั่ว ๆ ไป

เซียวเย่เจ๋อเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว เขามักได้ยินไป๋จิ่นพูดว่าตัวเองจะโค่นสำนักกู่ให้ได้ “แต่ข้าเห็นนางดูเข้ากับคนได้ง่าย ไม่เหมือนคนที่อยากจะทะเลาะกับเจ้าเลย ก่อนหน้านี้พวกเจ้าเคยมีความแค้นอะไรกันมาก่อนหรือไม่?”

ไป๋จิ่นชะงักฝีเท้าลงทันที “มี”

“อะไร?”

“ตอนที่เจอกันครั้งแรก ข้าถอดกางเกงนาง”

“…”

“ทั้งยังตีก้นนางไปหนึ่งทีด้วย”

???

“…”

พี่ชาย ท่านก็มีของเหมือนกันนี่นา

เซียวเย่เจ๋อคิดว่าหากตอนเด็ก ๆ เขาเกิดไปถอดกางเกงเด็กผู้หญิงเข้า ทั้งยังตีก้นไปอีกหนึ่งที กลับมาพ่อของเขาต้องลากเขาไปสู่ขอนางอย่างแน่นอน ตอนนี้ลูกคงเดินได้แล้วกระมัง

เซียวเย่เจ๋อรู้สึกราวกับตัวเองกุมความลับของไป๋จิ่นเอาไว้ก็มิปาน และเมื่อแหวกพงหญ้าออกก็เห็นแม่นางผู้นั้นกำลังขยับเห็ดขนาดเท่า ๆ กันสองดอกไปมา ราวกับของทุกอย่างบนโลกใบนี้ต้องเรียบร้อย เป็นคู่ถึงจะดี

เมื่อเห็นพวกเขามาแล้ว นางจึงลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้น “ที่นี่มีทางบนภูเขาที่ตรงไปด้านบน ไปกันเถอะ”

อีกด้านหนึ่ง

จี้จือฮวนกับเผยยวนมองดูเกวียนวัวเหล่านั้นเข้าไปในตำบล จากนั้นก็วกไปวนมาจนเข้าไปยังเขตที่อยู่อาศัย

เผยยวนลงจากหลังม้า โอบจี้จือฮวนแล้วกระโดดเข้าไปในบ้านที่ทรุดโทรมหลังนั้น

ลานด้านหน้าปิดประตูเอาไว้ มีชายฉกรรจ์สองสามคนลงมาลากคนจากในเกวียนวัวลงไป แน่นอนว่าเป็นสตรีทั้งหมด บางคนไว้ผมมวยแบบสตรีที่แต่งงานแล้ว บางคนยังเป็นเด็กอยู่เลย

พวกนางถูกแบ่งไปตามห้องต่าง ๆ เป็นกลุ่ม ๆ หลังจากหญิงชราท่าทางเฉลียวฉลาดเมื่อครู่นับจำนวนคนอีกครั้ง จึงได้ลงกลอนประตูและคนในห้องต่างก็เข้ามารุมล้อม

สตรีที่ถูกพามาเหล่านั้นต่างก็สลบกันอยู่ ตอนที่ขนย้ายถูกลากไปกับพื้นก็ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ คิดว่าคงถูกวางยาที่มีฤทธิ์รุนแรงเป็นแน่

เผยยวนพาจี้จือฮวนไปแอบฟังที่ข้างกำแพง

ด้านในเริ่มดื่มกันแล้ว

“ครั้งนี้ชุนเหนียงลำบากแล้ว ข้าเห็นหน้าตาของสินค้ารอบนี้ดีกว่าครั้งก่อนเสียอีก”

“สตรีจากซีเป่ยมีนิสัยดุร้ายไปสักหน่อย แต่มีคนชอบแบบนี้แน่” สตรีที่มีชื่อว่าชุนเหนียงเอ่ยเสียงเรียบ

“เช่นนั้นเหตุใดไม่เอาคนเจียงหนาน? รูปร่างบอบบาง ผิวพรรณขาวเนียน เจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนต่างก็อยากจะเลี้ยงไว้ข้างนอกทั้งนั้น ได้ยินมาว่าเก่งกาจทั้งการดีดพิณ หมากล้อม อักษรพู่กัน และวาดภาพ”

“เจ้าไม่รู้อะไรเสียแล้ว พวกคนเจียงหนานเหล่านั้นต้องการเงิน แต่พวกซีเป่ยเหล่านี้ไม่ต้องใช้เงิน”

“เพราะเหตุใดกัน?”

“เจ้าเพิ่งมาได้ไม่นานคงยังไม่รู้วิธีการภายใน เจ้าคิดว่าสตรีเหล่านี้เป็นใครกัน?”

“เรื่องนี้ข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า”

“ครอบครัวของทหารกองทัพทหารเกราะเหล็กน่ะสิ มาจากครอบครัวที่บริสุทธิ์ พวกนางไม่สามารถติดต่อกับผู้ชายในครอบครัวได้ จึงยอมมาทำการค้าที่เมืองหลวงกับพวกเรา แม้ว่าสาว ๆ จากเจียงหนานจะดูดี แต่สตรีไม่ได้มีแค่ประเภทเดียว”

จี้จือฮวนได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นทันที ส่วนคนข้าง ๆ กลับพุ่งไปที่ประตูแล้ว

.

.

.