บทที่ 260 ความลับที่สกปรก

ชุนเหนียงที่ดื่มน้ำแกงสีเหลืองไปสองอึก กำลังจะคุยโวว่าการค้าครั้งนี้ใหญ่เพียง ใด ถึงเวลาจะสามารถทำเงินได้เพียงใด แต่จู่ ๆ ประตูใหญ่ถูกคนถีบจนเปิดออก

แม้แต่คนก็ยังไม่ทันมองว่าเป็นใคร ก็ถูกเตะจนกระเด็นออกไปแล้ว

ชุนเหนียงไม่มีแม้แต่เวลาจะเรียกให้คนมาช่วย ส่วนอันธพาลในห้องก็ไม่มีใครหนีไปได้ ทั้งหมดต่างล้มลงไปกองกับพื้น มือและเท้าบ้างก็บิดงอ บ้างก็ถูกตีจนสลบไป กลิ่นคาวเลือดผสมกลิ่นเหล้าคละคลุ้งอยู่ในอากาศอบอวลไปทั่วห้อง

ชุนเหนียงหรี่ตาลง จากนั้นก็ถูกคนบีบคอเอาไว้ ก่อนจะจับแขวนไว้บนขื่อ

นางอยู่ในวงการนี้มาหลายสิบปี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางเจอคนร้ายกาจที่มาถึงก็ตีเอา ๆ เช่นนี้!

หลังจากมองเห็นคนที่บุกเข้ามาอย่างชัด ๆ ก็พบว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามที่มีร่างกายสูงใหญ่ และสตรีชุดเขียวที่เพิ่งจับคนทุ่มไปด้านหลัง นางจำได้ เป็นแม่นางที่มีใบหน้างดงามที่นางสบตาด้วยตรงทางแยกเมื่อครู่

ดูเหมือนว่าสองคนนี้ที่มาที่นี่ก็เพื่อต้องการจะเป็นวีรบุรุษกระมัง!

ชุนเหนียงกำลังคิดจะเอ่ยปาก จี้จือฮวนกลับเหวี่ยงมีดทหารในมือ ตัดหูข้างหนึ่งของนางออกแล้วเอายัดเข้าไปในปากของนาง

คนที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ไม่เสียเวลาแม้แต่จะเจรจาด้วย ทำให้คนที่เจนโลกอย่างชุนเหนียงก็ยังรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย

จี้จือฮวนเอามือไพล่หลัง “ตอนนี้ข้ายังจะไม่ฆ่าเจ้า แต่หลังจากนี้หากข้าถามเจ้า แล้วเจ้าปิดบังแม้เพียงครึ่งคำ ข้าจะเฉือนเนื้อของเจ้าออกมาทีละชิ้น”

ชุนเหนียงตอนนี้เจ็บจนในหัวมีแต่เสียงวิ้ง ๆ นางพยักหน้ารับคำพร้อมกับร้องไห้ออกมา

“ข้าขอถามเจ้า ผู้หญิงที่พวกเจ้าพาตัวลงมาเมื่อครู่ใช่ครอบครัวทหารของกองทัพทหารเกราะเหล็กที่อยู่ที่ซีเป่ยหรือไม่ พวกเจ้าคิดจะทำอะไร? ส่งพวกนางไปที่ใด? ใครเป็นคนให้พวกเจ้าทำเรื่องเช่นนี้”

ดวงตาที่ราบเรียบของชุนเหนียงส่องประกายเล็กน้อย จนกระทั่งเห็นมีดเล่มเล็ก ๆ ในมือของจี้จือฮวนที่มีเลือดหยดลงมา นางจึงได้คายหูที่อยู่ในปากออก “ข้าไม่รู้…โอ๊ย!!!”

จี้จือฮวนแทงเข้าไปที่ท้องของนางอีกครั้ง “ที่นี่ยังมีอีกหลายคน หากเจ้าไม่พูดความจริง ย่อมมีคนพูดแทนเจ้าเอง”

ชุนเหนียงมองไปยังเลือดที่ไหลออกมา ก่อนจะยอมพูดอย่างหมดท่า “ข้าจะพูด ๆ คนพวกนี้เป็นครอบครัวของทหารกองทัพทหารเกราะเหล็กที่อยู่ที่ซีเป่ย แต่พวกนางล้วนลงชื่อและประทับลายนิ้วมือกับข้าแล้ว ก่อนจะตามข้ามาที่เมืองหลวงเพื่อทำการค้า มีตราประทับของทางการเป็นหลักฐาน ข้าเป็นคนค้าขายที่ซื่อสัตย์นะ!”

“เจ้าเห็นว่าข้าหลอกง่ายอย่างนั้นหรือ?” จี้จือฮวนจึงแทงลงไปอีกครั้ง แทงที่เดิมที่มีเลือดไหลออกมาอย่างแรง ชุนเหนียงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เจ็บจนตัวงอ “ต่อให้พวกเจ้ารู้แล้วจะทำอะไรได้ นี่ไม่ใช่เวลาที่พวกเจ้าจะมาทำตัวเป็นวีรบุรุษ คนที่อยู่เบื้องหลังข้าไม่มีทางปล่อยพวกเจ้าไปอย่างแน่นอน!”

ขวับ

จี้จือฮวนใช้มีดคว้านไปหนึ่งรอบ ราวกับได้ยินเสียงเนื้อที่ถูกคว้าน

“โอ๊ย!!!” ชุนเหนียงเจ็บจนตาพร่ามัว ใกล้จะสลบเต็มที

“เจ้ายังมีโอกาสอีกหนึ่งครั้ง คิดให้ดีว่าควรจะพูดอะไร”

ชุนเหนียงกัดฟัน “เจ้าหาเรื่องข้าเช่นนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ข้าทำงานแทนคนอื่น ผู้หญิงเหล่านี้ล้วนเต็มใจประทับลายนิ้วมือให้ข้าเอง ต่อให้ฟ้องศาลข้าก็ไม่กลัว”

“เจ้าเสียโอกาสครั้งสุดท้ายไปแล้ว” จี้จือฮวนดึงมีดออกมาและหมุนข้อมือหนึ่งที ขณะที่กำลังจะควักลูกตาของชุนเหนียงออกมานั้น

จู่ ๆ ชุนเหนียงก็หลับตาลงแล้วตะโกนออกมา “กองทัพทหารเกราะเหล็กถูกแยกออกไปหมดแล้ว พวกเขาไม่สามารถกลับไปซีเป่ยได้อีก ครอบครัวทหารที่เหลือทางนั้นก็ถูกตัดเงิน ทำได้เพียงออกไปหางานทำ ที่นาเหล่านั้นก็ถูกยึดคืน พวกเราจึงเอาเรื่องนี้มาหลอกพวกนางให้ยอมลงชื่อเพื่อไปทำงานที่อื่น ดูแลพวกขุนนางและคนชนชั้นสูง ที่เหลือข้าไม่รู้แล้ว ข้ารู้เพียงว่าเป็นคำสั่งของเบื้องบน เป็นคำสั่งของขุนนางระดับสูง”

หางตาของเผยยวนแดงก่ำ เขากัดฟันพลางเอ่ยออกมา “เจ้ารับคำสั่งจากใครที่บอกให้ไปเอาคนซีเป่ยมา?”

จากซีเป่ยไปเมืองหลวงอยู่ห่างออกไปนับพันลี้ ระหว่างนั้นสตรีเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนมือกี่ครั้ง!? กองทัพทหารเกราะเหล็กปกป้องชายแดนและต่อสู้กับศัตรูด้วยกำลังทั้งหมดของพวกเขา แต่ภรรยาและลูกสาวของพวกเขากลับถูกมดปลวกของราชสำนักเหล่านี้ย่ำยี หากเรื่องนี้ไม่สืบสวนให้กระจ่าง วันหน้าไหนเลยยังจะมีคนยอมปกป้องชายแดนอีก!

เขาจะเอาหน้าที่ไหนกลับไปพบพี่น้องกองทัพทหารเกราะเหล็กของเขากัน!?

จี้จือฮวนเดินไปตรงหน้าเขา และตบบ่าของเขาเบา ๆ “ข้าถามเอง เจ้าออกไปตามหมอมารักษาบาดแผลให้พวกนางก่อน”

เผยยวนตอนนี้คิดแค่อยากจะฆ่าคน จี้จือฮวนจึงบีบมือของเขาแรง ๆ หนึ่งที

เผยยวนจึงได้หมุนกายออกไป

ประตูด้านหลังถูกปิดลง จี้จือฮวนหันไปมองเล็กน้อย ทำให้ชุนเหนียงสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว

“คนอย่างข้าไม่ชอบพูดมาก พวกเราเลือกพูดเฉพาะเรื่องที่สำคัญดีกว่า”

ส่วนเผยยวนก็ไปแสดงตัวที่ที่ทำการของตำบล จากนั้นก็ให้เจ้าหน้าที่ไปโรงหมอเพื่อตามหมอและหมอหญิงมาหลาย ๆ คน และย้ายสตรีเหล่านั้นออกมา

เมื่อเข้าไปในลานเล็ก ๆ แต่ละห้องมีสตรีมากกว่ายี่สิบคน หลังจากท่านหมอเห็นก็สั่งให้คนรีบไปจัดยาทันที บางคนถูกแส้ฟาด บางคนถูกตีที่ศีรษะแต่กลับไม่มีการพันแผลให้แต่อย่างใด พวกนางทั้งหมดล้วนถูกวางยาสลบ และถูกนำตัวมาที่นี่ด้วยความงุนงง

ตอนที่จี้จือฮวนออกมาจากห้องด้านใน เผยยวนก็ยืนรออยู่ที่หน้าประตูแล้ว

“ชุนเหนียงถูกคนสั่งมาอีกที นางทำงานลักพาตัวคนมาหลายสิบปีแล้ว เมื่อสามเดือนก่อนมีคนมาหาชุนเหนียงบอกให้นางไปที่ซีเป่ย หลอกครอบครัวของกองทัพทหารเกราะเหล็กให้มาที่เมืองหลวง มีคนในราชสำนักคอยช่วยเปิดทางให้นาง และที่นี่เป็นหนึ่งในที่พักของนาง วันนี้เป็นวันที่นางจะแลกเปลี่ยนสินค้ากับคนติดต่อ สตรีเหล่านี้จะถูกส่งไปยังฐานที่มั่นบนภูเขาใกล้ ๆ กับบริเวณนี้ และพวกเขาจะส่งลงไปที่เจียงหนาน เป็นการสมรู้ร่วมคิดระหว่างขุนนางและโจรชั่ว มีการเดินทางอย่างเปิดเผยและมีการคุ้มกันอยู่ลับ ๆ ความโชคดีเดียวก็คือนี่ยังเป็นแค่กลุ่มที่สองเท่านั้น ส่วนกลุ่มแรกตอนนี้ยังอยู่บนเรือ เรายังมีเวลาที่จะสกัดกั้น”

เผยยวนยังคงนิ่งเงียบ จี้จือฮวนจึงเอ่ยขึ้นมา “จากที่ข้าสันนิษฐานเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับขุนศึกหลักทั้งสี่เป็นแน่ หากพวกเขาต้องการปราบกองทัพทหารเกราะเหล็ก ก็ต้องใช้จุดอ่อนของพวกเขามาบีบ”

พวกเขาล้วนหัวแข็งไม่เชื่อฟังมาโดยตลอด ดังนั้นคนเหล่านั้นจึงหันมาบีบคนที่ไม่มีทางสู้เหล่านี้แทน

เผยยวนกำหมัดแน่น เลือดสด ๆ ไหลลงมาตามง่ามนิ้วของเขา

ครอบครัวของทหารกองทัพทหารเกราะเหล็ก จะขาดใครไปไม่ได้แม้แต่คนเดียว

แม้จางปาเหลี่ยงจะนับว่าเป็นผู้ชายที่มีร่างกายกำยำในตำบลฉาซู่ แต่ก็สู้คนที่มีวรยุทธ์ทั้งสามคนไม่ได้ ไม่นานก็นั่งหอบแฮก ๆ อยู่ที่ใต้ต้นไม้ ขยับตัวไม่ไหวอีก

เซียวเย่เจ๋อทำได้เพียงวิ่งตามชายเสื้อผ้าของไป๋จิ่นไป สุดท้ายหลังจากไล่ตามไปได้ระยะหนึ่ง ก็เห็นว่าเขายืนอยู่ตรงนั้นคนเดียว

“เจ้า…เจ้ายืนอยู่ตรงนี้ทำไมกัน สตรีที่ถูกเจ้าถอดกางเกงเล่า?”

ไป๋จิ่นปรายตามองเขาด้วยสายตาเย็นชา “นางชื่อเยว่พั่วหลัว เป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในสำนักกู่”

“ข้าไม่สนใจหรอกว่านางจะชื่อหลัวอะไร เจ้าบอกข้ามาก่อนว่าคนอยู่ที่ใด!”

ไป๋จิ่นยักไหล่ “ตามไม่ทันแล้ว”

“ไม่ทัน! ไม่ทันแล้ว! เหตุใดเจ้าถึงพูดประโยคนี้ออกมาได้หน้าด้าน ๆ เช่นนี้กัน?”

“ก็เพราะเป็นเรื่องจริง มีอะไรที่พูดไม่ได้กัน”

เซียวเย่เจ๋อชี้ไปที่เขาพลางครุ่นคิดในใจว่าควรดุด่าเขาว่าเป็นคนไม่ได้เรื่องเช่นไรดี ทว่าก็ได้ยินเสียงต่อสู้ดังขึ้นเสียก่อน

“เจ้าได้ยินอะไรหรือไม่?”

ไป๋จิ่นพุ่งตัวไปทางนั้นทันที “เจ้ายังได้ยินแล้วข้าจะไม่ได้ยินได้อย่างไร”

บัดซบ ถูกเขายอกย้อนอีกแล้ว!

เซียวเย่เจ๋อเองก็ตามไปสุดชีวิต

ก่อนจะพบว่าบนทางเดินเล็ก ๆ ตรงทางแยก ร่างอ้อนแอ้นของเยว่พั่วหลัวกำลังนั่งอยู่บนกิ่งไม้ รองเท้าปักสีน้ำเงินเข้มแกว่งไปมาอย่างสบายอารมณ์ กระดิ่งเงินบนข้อเท้าส่งเสียงตลอดเวลา ใต้ต้นไม้มีกลุ่มชายร่างกำยำนอนอยู่ และบนกิ่งไม้อีกด้านหนึ่งก็คือฮวาเซียงเซียงที่ถูกเยว่พั่วหลัวหิ้วขึ้นมาด้วย

.

.

.