บทที่ 261 ความแค้นของกองเรือ

เซียวเย่เจ๋อเหลือบมองไปที่กลุ่มคนบนพื้น ใบหน้าของพวกเขาเหมือนถูกขีดข่วนด้วยบางสิ่ง และมีบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ใต้ผิวหนังของพวกเขา

“เป็นหนอนกู่ อีกเดี๋ยวคนเหล่านี้ก็จะเหลือแค่โครงกระดูก” ไป๋จิ่นเอ่ยช้า ๆ

เซียวเย่เจ๋อค่อย ๆ ชักเท้ากลับอย่างเงียบ ๆ

“กลัวหรือ?”

เซียวเย่เจ๋อกดเสียงต่ำลง “พี่ชาย เจ้า…เจ้าไม่กลัวหรือ ข้าเคยเห็นภาพเช่นนี้ที่ใดกัน”

“ไม่ได้เรื่อง”

เซียวเย่เจ๋อกวาดตามอง “นางคงไม่ได้จำเรื่องที่ตอนเด็ก ๆ เจ้าถอดกางเกงนางได้หรอกกระมัง?”

“ไม่แน่ใจ แต่อีกเดี๋ยวคาดว่าข้ากับนางคงจะได้สู้กัน ทางที่ดีเจ้าถอยไปให้ไกลจะดีกว่า”

เซียวเย่เจ๋อกลืนน้ำลายลงคอ “เช่นนั้นเจ้าสู้ได้หรือไม่?”

“ข้าใช้พิษ นางใช้กู่ บอกได้ยาก”

สายลมพัดผ่านป่า มีเสียงหนอนแทะซากศพที่อยู่บนพื้นดังขึ้นมา และมีเสียงกระดิ่งเงินที่แกว่งไกวไปตามการเคลื่อนไหวดังอยู่ข้างหู

“พวกเจ้ามาช้าจริง ๆ” เยว่พั่วหลัวหมุนกระดิ่งในมือไป “พวกลูก ๆ ของข้าใกล้จะกินอิ่มอยู่แล้ว”

เซียวเย่เจ๋อตอนนี้ไม่กล้าสบตานางอีก เอาแต่จ้องไปที่ไป๋จิ่น “ไม่ใช่ว่าเถ้าแก่เนี้ยตายไปแล้วหรอกกระมัง”

ไป๋จิ่นส่ายหน้า “ยังขยับได้ ยังไม่ตาย”

ก็ใช่น่ะสิ ขัดขืนอยู่ข้าง ๆ เยว่พั่วหลัวแรงถึงเพียงนั้น

“หนอนกู่กินอิ่มแล้ว” ไป๋จิ่นจ้องมองบนพื้น ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง

เซียวเย่เจ๋อก้มมองอีกครั้ง ชายที่เมื่อครู่ยังมีรูปร่างสูงใหญ่บัดนี้กลับเหลือแค่เพียงโครงกระดูก และมีเสื้อผ้าห่อหุ้มเอาไว้เท่านั้น

ส่วนเยว่พั่วหลัวเวลานี้ก็ได้กระโดดลงจากบนต้นไม้ ลงมาตรงหน้าของไป๋จิ่นพอดี ก่อนจะเอ่ยกับเซียวเย่เจ๋อ “ไปดูสิ นั่นใช่คนที่พวกเจ้าตามหาหรือไม่?”

แน่นอนว่าเซียวเย่เจ๋อต้องช่วยคนลงมาก่อน

รอจนกระทั่งเซียวเย่เจ๋อจากไปแล้ว ไป๋จิ่นก็จ้องสตรีตรงหน้าเขม็ง ภายในป่ามีสายลมพัดผ่าน ในดวงตาของนางก็มีไฟสังหารลุกโชนขึ้นเช่นกัน

“เฮ้อ เจ้าพามาไว้ที่สูงเช่นนี้ทำไมกัน” เซียวเย่เจ๋อเอ่ยถามออกมา เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้ง คนสองคนที่เมื่อครู่ยังอยู่ตรงนั้น กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว

???

“เหล่าไป๋! หลัวอะไรนั่นน่ะ เหตุใดถึงทิ้งข้าแล้วหนีไปเช่นนี้เล่า!”

เซียวเย่เจ๋อโมโหอย่างมาก ทำได้เพียงเหน็บชายเสื้อคลุมไว้ที่สายคาดเอว ก่อนจะออกแรงกระโดดและปีนขึ้นไปบนกิ่งไม้ จากนั้นจึงกอดฮวาเซียงเซียงไว้ในอ้อมแขนแล้วโรยตัวลงมาสู่พื้นอย่างมั่นคง

“ฮือ ฮือ ฮือ ฮืออออ!!!” ทันทีที่ฮวาเซียงเซียงลงมาถึงพื้น ก็ส่งสัญญาณให้เซียวเย่เจ๋อช่วยเอาผ้าอุดปากออกให้นาง

“เป็นเช่นไรบ้าง? ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่!” เซียวเย่เจ๋อเพิ่งจะเอ่ยจบ ฮวาเซียงเซียงที่เพิ่งหลุดจากพันธนาการกลับวิ่งตรงไปที่ศพเหล่านั้น

“กล้าจับข้าอย่างนั้นหรือ ข้าจะฆ่าพวกเจ้าซะ!” ฮวาเซียงเซียงเพิ่งยกชายกระโปรงขึ้นกำลังจะเหยียบลงไป ร่างกายก็เกิดไร้น้ำหนัก เนื่องจากถูกเซียวเย่เจ๋อกอดจากด้านหลังแล้วพาถอยหลังมา

“ห้ามแตะนะ ในศพเหล่านี้อาจมีของที่ทำให้ถึงแก่ชีวิตอยู่ก็เป็นได้!” เซียวเย่เจ๋อตะโกนออกมา

ฮวาเซียงเซียงตกตะลึง มองเขาพลางหอบหายใจ “ของที่ถึงแก่ชีวิตอะไร?”

เซียวเย่เจ๋อส่งเสียงชิชะออกมา “เจ้ามองดูให้ดีสิ นั่นใช่ศพธรรมดาทั่วไปอย่างนั้นหรือ”

ใบหน้าของศพคว่ำลง มีผมปกคลุมเล็กน้อย ฮวาเซียงเซียงจึงชะโงกหน้าออกไปดูเล็กน้อย ก่อนจะกรีดร้องและกระโดดเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเซียวเย่เจ๋อด้วยความตกใจ

“แม่เจ้า นี่ข้าเจอนางปีศาจกินคนหรืออย่างไร?”

ก็นางปีศาจกินคนน่ะสิ ปล่อยหนอนออกมานิดหน่อยก็สามารถแทะคนจนแห้งได้แล้ว!

ฮวาเซียงเซียงอยู่ในอ้อมแขนของเขาไม่ยอมขยับเขยื้อนอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งเซียวเย่เจ๋อรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เขาจึงได้กระแอมและพูดขึ้นมา “เถ้าแก่เนี้ยฮวา พวกเราทำเช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะกระมัง”

ฮวาเซียงเซียงเอ่ยเสียงอ่อนขึ้นมา “ข้าก็ไม่อยากทำ แต่ขาข้าไม่มีแรงแล้ว”

เหตุใดฟังเสียงของเถ้าแก่เนี้ยตัวน้อยผู้นี้แล้ว ถึงได้อ่อนปวกเปียกเช่นนี้เล่า เซียวเย่เจ๋อรู้สึกว่าน่าขันยิ่งนัก “เอาล่ะ ข้าจะปิดตาให้เจ้า เจ้าเดินตามข้ามา พวกเราหาที่นั่งพักกันสักครู่เถอะ”

รองเท้าปักของฮวาเซียงเซียงขยับเล็กน้อย ‘กร๊อบ’ เสียงกิ่งไม้หัก ในป่าที่เงียบสงัดแห่งนี้ทำให้เสียงชัดขึ้นไปอีก

“ไม่ได้! ข้าขยับไม่ได้…”

ปกติแล้วนางจะเสียงดังอย่างมาก เพราะครั้งแรกที่ไปกินอาหารที่ร้านนาง ก็เรียกได้ว่าเสียงของนางนั้นทั้งดังทั้งดุดัน แต่เมื่อยามที่เข้าตาจนเช่นนี้นางก็ยังคงต้องพึ่งเขาอยู่ดี

เซียวเย่เจ๋อจับแขนทั้งสองข้างของนางเอาไว้แน่น และนั่งยอง ๆ ลงตรงหน้านางอย่างช้า ๆ “ขึ้นมาเถอะ ที่นี่อาจมีของสกปรกหลงเหลืออยู่ พวกเรารีบไปกันเถอะ”

ฮวาเซียงเซียงแทบรอที่จะไปจากที่นี่ไม่ไหวแล้ว เมื่อครู่นางต้องการสะสางบัญชีกับพวกที่ลักพาตัวนางมา ทว่าตอนนี้นางกลับไม่กล้าขยับแม้แต่นิดเดียว

ก่อนจะพุ่งเข้าใส่หลังของเซียวเย่เจ๋ออย่างทำอะไรไม่ถูก

เซียวเย่เจ๋อจึงสอดมือเข้าไปที่ข้อพับขาของนาง และแบกนางไว้บนหลัง “เจ้าไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่ทั้งคน”

“อืม!” ฮวาเซียงเซียงตอนนี้รู้จักเขาเพียงคนเดียว ดังนั้นจึงต้องพึ่งพาเขา

“หากเจ้ากลัวเจ้าก็หลับตาซะ”

ความจริงแล้วเซียวเย่เจ๋อเองก็กลัวเช่นกัน แต่เขาไม่สามารถทำตัวขายหน้าได้

ฮวาเซียงเซียงกลัวก็ส่วนกลัว แต่ก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นอยู่ นางจึงหรี่ตาและมองลงไป ก่อนจะตกใจกลัวจนต้องเอาหน้าซุกเข้ากับหลังคอของเขา ทำให้เซียวเย่เจ๋อรู้สึกคันไม่น้อย

ทันใดนั้นเขาจึงเอ่ยปากขึ้นมา “เจ้าพูดอะไรหน่อยดีกว่า ในป่านี้ไม่มีเสียงคน ข้ากลัวว่าจู่ ๆ จะมีโจรโผล่มา”

ฮวาเซียงเซียงได้สติขึ้นมา “เอ๊ะ พวกเจ้ามาเพื่อช่วยข้าอย่างนั้นหรือ? หรือว่าแค่ผ่านมา”

นางยังคิดว่าตัวเองต้องตายแน่แล้ว หากอาศัยคนในร้านเหล่านั้น กว่าจะไปตามฮวนฮวนมา มิหนำซ้ำนางยังโดนพามาในป่าลึกเช่นนี้ กว่าพวกเขาจะตามมาทัน เกรงว่านางคงตายไปก่อนแล้ว

“เจ้าอย่าพูดไป ข้าเองก็ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งข้าจะต้องไล่ตามพวกลักพาตัวและมาช่วยคนเช่นนี้ ข้าว่านี่เป็นวาสนานะ วันนี้จี้จือฮวนบอกว่าจะเอาขนมมาส่ง ทว่าเพิ่งจะมาถึงร้านของเจ้า จางปาเหลี่ยงก็บอกว่าเจ้าถูกคนลักพาตัวไป เจ้าเคยล่วงเกินใครมาก่อนหรือไม่?”

ฮวาเซียงเซียงจึงเอ่ยด้วยความโมโหขึ้นมาทันที “ถุย ข้าใช่คนที่จะไปล่วงเกินผู้อื่นที่ใดกันเล่า แต่เป็นเพราะพ่อของข้าต่างหาก!”

เซียวเย่เจ๋อพยักหน้ารับรู้ “ข้าคงต้องพาเจ้าเหาะแล้ว ศพทางนั้นข้าก็ไม่กล้าเดินผ่าน เจ้ากอดให้แน่น ๆ ล่ะ”

ฮวาเซียงเซียงไม่เคยเหาะมาก่อน เมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบกอดเซียวเย่เจ๋อแน่นขึ้น เซียวเย่เจ๋อรู้สึกถึงสัมผัสนุ่ม ๆ ที่แผ่นหลังของเขา ลำคอก็แดงเถือกขึ้นมา เขาออกแรงกระโดดขึ้นไปเหยียบบนยอดหญ้าและต้นไม้ ร่างกายของเขาขึ้น ๆ ลง ๆ เสียงลมข้างหูผสมกับเสียงกิ่งไม้และใบไม้ที่กระทบกับเนื้อผ้า เมื่อเงยหน้าขึ้นก็สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นของไม้กฤษณาจากตัวของเซียวเย่เจ๋อ

ผมของฮวาเซียงเซียงถูกพัดจนยุ่งเหยิง ตอนนี้นางเบิกตากว้าง สัมผัสกับทุกสิ่งที่นางไม่เคยรู้มาก่อน มันน่าตื่นเต้นจนทำให้นางอยากจะกรีดร้องออกมา และอยากจะทำเช่นนี้อีกครั้ง

ตอนที่เซียวเย่เจ๋อถลาลงมา ฮวาเซียงเซียงก็กอดคอของเขาเอาไว้แน่น ด้วยกลัวว่าตัวเองจะถูกเหวี่ยงลงไป เป็นเรื่องค่อนข้างยากที่จะต้านทานต่อความงามเช่นนี้ได้ เซียวเย่เจ๋อหัวเราะเบา ๆ และในที่สุดก็ลงมาบนพื้นที่ค่อนข้างกว้าง

“เอาล่ะ ไกลจากตรงนั้นพอสมควรแล้ว พวกเราพักที่นี่กันเถอะ ยังไม่รู้ว่าเหล่าไป๋จะสามารถรอดออกมาได้หรือไม่”

หากว่าตายขึ้นมาจริง ๆ เขาก็ไม่สามารถล้างแค้นให้ได้ และพวกเซียวผิงก็ไม่ได้ตามมาด้วย!

ฮวาเซียงเซียงตอนนี้นอกจากเสื้อผ้ายับยู่ยี่แล้ว ผมเผ้าก็ยังยุ่งเหยิงด้วย นางถูกเซียวเย่เจ๋ออุ้มมานั่งบนก้อนหินอย่างมั่นคง ส่วนเขาก็นั่งยอง ๆ ลงตรงหน้า “เป็นเช่นไรบ้าง เจ้าไหวหรือไม่?”

ฮวาเซียงเซียงมองตรงไปข้างหน้า เม้มปากเล็กน้อย “ไม่ค่อยดีเท่าไร ตกใจจนขวัญหนีดีฟ่อ ข้าจะให้พ่อข้ามาทลายรังโจรนั่นซะ”

เซียวเย่เจ๋อฟังแล้วรู้สึกน่าขัน “พ่อเจ้า? พ่อเจ้าจะทำอะไรได้กัน ช่างคุยโวเสียจริง”

“ซื่อจื่อ เจ้าอย่าว่าไปนะ เพราะไม่ว่าฝ่ายไหนล้วนเคยได้ยินชื่อของพ่อข้ากันทั้งนั้น เขามีชื่อว่า ฮวาเส้าจง”

เซียวเย่เจ๋อได้ยินดังนั้นก็เกือบจะสำลักน้ำลาย “พ่อเจ้าเป็นหัวหน้ากองเรือ? คนที่ตอนนั้นราชสำนักบอกว่าจะแต่งตั้งตำแหน่งให้ก็ไม่เอาผู้นั้นน่ะหรือ?”

.

.

.