บทที่ 262 ผู้ร้ายตัวจริงที่อยู่เบื้องหลัง

เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย

บทที่ 262 ผู้ร้ายตัวจริงที่อยู่เบื้องหลัง

ฮวาเซียงเซียงดวงตาเป็นประกาย แม้ว่าตัวจะยังสั่นเทาอยู่เล็กน้อย แต่นางก็ยืดอกขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ “ใช่หรือไม่ ข้าบอกแล้วว่าเจ้าต้องเคยได้ยินชื่อมาก่อน”

เซียวเย่เจ๋อรู้สึกอับอายเล็กน้อยที่จะบอกว่าเขาจำฮวาเส้าจงได้ หากต้องทำการค้าไม่ว่าจะเหนือหรือใต้ของแม่น้ำแยงซีก็จำเป็นต้องผ่านกองเรือทั้งหมด ซึ่งฮวาเส้าจงนั้นนับว่าเป็นคนที่ไม่ธรรมดา เดิมทีเขาเป็นชาวประมงตามชายฝั่งทะเลตะวันออก เขาอาศัยเรือประมงก่อตั้งพรรคพวกขึ้นมาและขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ในเจียงหนานแทบไม่มีผู้ใดที่ไม่รู้จัก

มังกรที่ยิ่งใหญ่ก็ไม่อาจข่มงูเจ้าถิ่นได้* ต่อให้ราชสำนักมาเองเขาก็ไม่สนใจ

* มังกรที่ยิ่งใหญ่ก็ไม่อาจข่มงูเจ้าถิ่นได้ (强龙不压地头蛇) หมายถึง แม้จะเป็นคนที่มีพลังแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่สามารถข่มอำนาจท้องถิ่นได้

ต่อมาเขาก็ได้ส่งคนไปที่จ้าวอัน เดิมทีเขาเป็นคนหัวแข็ง ทว่าต่อมาได้แต่งงานและมีลูก จึงกลัวว่าจะทำให้คนในครอบครัวลำบาก เขาจึงได้เปลี่ยนจากกองเรือมาทำการค้าแบบจริงจัง กลุ่มพ่อค้าที่เดินทางเหนือจรดใต้ล้วนอาศัยกองเรือในการช่วยขนส่งสินค้า แม้ว่าฮวาเส้าจงตอนนี้จะยังเป็นหัวหน้ากองเรืออยู่ แต่ลูกน้องของเขาก็ไม่เคยทำเรื่องผิดกฎหมาย ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเหล่าเจ้าหน้าที่ก็ไม่มีปัญหาใด ๆ จึงเป็นบุคคลที่น่านับถือคนหนึ่ง

สองปีก่อนมีโจรสลัดสร้างปัญหาตามแนวชายฝั่ง ก็ได้คนของกองเรือที่นำกองทัพเรือไปช่วยปราบ เมื่อก่อนตอนที่เซียวเย่เจ๋อได้ยินคำว่า ‘แซ่ฮวา’ ยังคิดว่าเป็นชื่อของสตรีด้วยซ้ำไป

คิดไม่ถึงว่าฮวาเซียงเซียงจะเป็นลูกสาวของเขา มิน่าเล่าถึงเล็กพริกขี้หนูเช่นนี้

“เคยได้ยินมาก่อน แต่คิดไม่ถึงเท่านั้นเอง และพ่อของเจ้าก็ถือเป็นเจ้าพ่อของเจียงหนานแล้ว ส่วนเจ้าเองก็เป็นถึงองค์หญิงน้อยของกองเรือ แต่กลับวิ่งโร่มาเปิดภัตตาคารในตำบลเล็ก ๆ ที่ห่างไกลเช่นนี้ เจ้าต้องการอะไรกันแน่?” ทั้งยังอันตรายถึงเพียงนี้ แค่ไปซื้อปลาที่ตลาดก็ยังถูกคนลักพาตัวได้

ฮวาเซียงเซียงไม่เห็นด้วย “ก็เพราะอยู่เจียงหนานมันน่าเบื่อ ข้าจึงอยากออกมาผจญภัย เมื่อก่อนข้าก็เคยเปิดร้านในเจียงหนาน การค้าดีมาก ข้ามีความสุขก็จริง แต่ต่อมาถึงได้รู้ว่านั่นล้วนเป็นเพราะพ่อข้าให้คนมาช่วยดูแล

เดินไปที่ใดก็มักจะมีคนคอยตาม ข้าก็เลยอยากออกมาใช้ชีวิตเอง ดังนั้นข้าจึงทำข้อตกลงกับเขาไว้สามข้อ หากข้าอยู่ข้างนอกแล้วไม่สามารถสร้างชื่อเสียงได้ ไม่มีข้าวกินเมื่อไร ข้าก็จะกลับไปแต่โดยดี แต่หากข้าสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง เขาก็จะไม่มีสิทธิ์มาควบคุมข้าได้อีกต่อไป”

เซียวเย่เจ๋อก็เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน แต่เขาเป็นซื่อจื่อ ดังนั้นท่านพ่อของเขาจึงไม่ให้โอกาสนี้กับเขา เมื่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจนางขึ้นมา

“ข้าเข้าใจ เช่นนั้นที่ครั้งนี้เจ้าถูกลักพาตัวเกี่ยวอะไรกับพ่อของเจ้าด้วย? โจรภูเขาเหล่านี้มีความแค้นกับพ่อเจ้าหรือ”

“ก่อนหน้านี้ลูกน้องของพ่อข้าจับเรือสินค้าจำนวนหนึ่งที่ทางราชสำนักได้ประทับตราแล้วที่ท่าเรือ พ่อข้ากลัวว่าจะมีคนฉวยโอกาสกอบโกยผลประโยชน์ในช่วงที่บ้านเมืองเกิดความสับสนวุ่นวาย ทุกวันนี้คนของกรมขนส่งเองก็เชื่อถือไม่ได้ เจ้าหน้าที่เหล่านั้นจึงถือโอกาสสร้างความวุ่นวาย เมื่อเกิดเรื่องก็จะโยนให้กองเรือของพวกเรา

พ่อข้าไม่สนใจพวกเขา แต่เขามีคำสั่งอย่างเคร่งครัดว่าทุกอย่างที่ต้องผ่านกองเรือของพวกเรา จะต้องตรวจสอบทีละชิ้นอย่างละเอียด แม้แต่ข้าวหนึ่งกระสอบก็ต้องตรวจสอบ สุดท้ายหลังจากตรวจสอบแล้วเจ้าเดาสิว่าเกิดอะไรขึ้น ด้านบนแม้จะเป็นข้าวสารที่ขนมาจากทางตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ด้านล่างกลับซ่อนคนเอาไว้”

เซียวเย่เจ๋อดวงตาเบิกโพลง “คน? มีคนลักพาตัวโดยใช้เรือขนส่งไปเจียงหนานอย่างนั้นหรือ?”

“ใช่แล้ว โจรที่ลักพาตัวเหล่านี้มองว่ากองเรือของเราเป็นพวกเดียวกันกับพวกเขา เมื่อถูกจับได้พวกเขายังเสนอเอาเงินให้เพื่อติดสินบนอีกด้วย ลูกน้องของพ่อข้าจึงยึดเรือสินค้าลำนั้นไป และคนที่รับผิดชอบส่งสินค้าก็คือหัวหน้าโจรที่อยู่บนภูเขานี้ แต่ไม่รู้ว่าพวกเขารู้ตัวตนของข้าได้อย่างไร

เมื่อสองวันก่อนมีคนไปหาข้าที่ภัตตาคาร ให้ข้าไปบอกท่านพ่อว่าช่วยผ่อนผันให้หน่อย ทั้งยังเอาของขวัญมามอบให้อีกสี่หีบ แน่นอนว่าข้าไม่ตกลง ข้าไม่เคยเข้าไปยุ่งกับกิจการภายในของกองเรือ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่ไร้มโนธรรมเช่นนี้จะให้ข้ารับปากได้อย่างไร แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้พวกมันจะมาดักรอข้าที่นี่!”

ฮวาเซียงเซียงคิดถึงตรงนี้ก็สั่นไปทั้งตัว

หากพวกเซียวเย่เจ๋อไม่ตามมา มิเท่ากับว่านางต้องประสบกับหายนะ ชาตินี้ก็อย่าหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอีก

จู่ ๆ เซียวเย่เจ๋อก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “เมื่อครู่พวกจี้จือฮวนก็บอกว่าจะไปจับโจรลักพาตัว ใช่โจรที่อยู่บนภูเขานี้หรือไม่?!”

“ฮวนฮวนก็มาด้วยหรือ?”

“นางไปจับโจรลักพาตัวแล้ว ดูเหมือนว่าคนที่จับเจ้ามากับโจรลักพาตัวกลุ่มนั้น น่าจะเป็นพวกเดียวกันหมด!”

ฮวาเซียงเซียงเอ่ยอย่างดูแคลนขึ้นมา “หัวหน้าโจรบนภูเขานี้มีชื่อว่า เป่ยป้าเทียน เดิมก็ไม่ใช่คนที่นี่และอาศัยการลักเล็กขโมยน้อยในการเริ่มต้นชีวิต ตอนที่ข้ารู้จักกับเขา เขายังกินของเน่าเหม็นอยู่ทางเหนืออยู่เลย อ่อ เป็นโจรปล้นสุสานน่ะ

ต่อมาเขาได้รับลูกน้องมาจำนวนหนึ่ง และเริ่มออกปล้นบ้านคน สมรู้ร่วมคิดกับคนเบื้องบน และต่อมาก็ได้ข่าวว่าเขาไม่ได้ดักปล้นคนระหว่างทางแล้ว พ่อข้าบอกว่าคงจะมีคนหนุนหลังเขาแล้ว”

เซียวเย่เจ๋อไม่เคยสัมผัสกับเรื่องเหล่านี้ แต่ก็เคยได้ยินเกี่ยวกับการสมรู้ร่วมคิดระหว่างเจ้าหน้าที่กับพวกโจรมาบ้าง ดังนั้นจึงเกิดความสนใจขึ้นมาทันที “เหตุใดเจ้าถึงรู้เรื่องพวกนี้ได้?”

“อย่างไรซะข้าก็เป็นลูกสาวของคนที่อยู่ในยุทธภพ คำพูดวงในเช่นนี้ข้าย่อมเข้าใจได้ดีกว่าลูกผู้ลากมากดีอย่างพวกเจ้า แต่ข้อเสียของข้าคือไม่เป็นวรยุทธ์ อีกทั้งยังปล่อยให้คนรู้ตัวตนที่แท้จริงของข้าได้อีก”

เซียวเย่เจ๋อไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ แต่เป็นใครในราชสำนักกันแน่ที่สมคบคิดกับโจรภูเขา

“เจ้าว่าขบวนเรือขนส่งผู้หญิงจำนวนมากเหล่านี้มีตราประทับของราชสำนัก? เช่นนั้นระหว่างทางก็ต้องมีการผ่านด่านมากมาย เกรงว่าฐานะของคนผู้นั้นต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน”

ฮวาเซียงเซียงเป็นคนในยุทธภพ ดังนั้นสิ่งที่นางคิดมีเพียงใครเป็นคนทำลายการค้าของนาง หากให้คิดไปอีกนางจะรู้ได้อย่างไรว่ามีเจ้าหน้าที่ตำแหน่งอะไรและทำอะไรบ้าง

แต่เซียวเย่เจ๋อนั้นคลุกคลีกับราชสำนักมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเขาย่อมไตร่ตรองว่าใครกันที่กล้าทำเรื่องอุกอาจเช่นนี้

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครที่เป่ยป้าเทียนนั่นสนิทสนมด้วยเป็นการส่วนตัว?”

ฮวาเซียงเซียงตอนนี้จิตใจสงบลงแล้ว ไม่ได้ตัวสั่นเทาเหมือนก่อนหน้านี้อีก นางจัดเสื้อผ้าและผมเผ้าของตัวเองเล็กน้อย พลางคิดถึงเรื่องของเป่ยป้าเทียนในหัวไปด้วย

เซียวเย่เจ๋อเองก็กำลังคิดว่าในราชสำนักใครกันที่กินดีหมีหัวใจเสือเข้าไป ถึงได้กล้าทำเรื่องเช่นนี้

ทันใดนั้นฮวาเซียงเซียงก็ตบต้นขาตัวเองหนึ่งฉาด “ข้านึกออกแล้ว เป่ยป้าเทียนผู้นี้ถูกปิดล้อมอยู่พักหนึ่ง ต่อมาได้ยินว่าเขายังไม่ตาย หลังจากที่ออกมาได้ยังมีอาวุธและเงินเพิ่มขึ้นอีกด้วย ก่อนจะไปสร้างฐานที่มั่นบนภูเขาแห่งใหม่ที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม ตอนนั้นอาสามของข้ายังเคยบอกด้วยว่า วันหน้าเขาต้องทำงานให้คนอื่นเป็นแน่ คนผู้นั้นเหมือนว่าจะแซ่เยี่ยน? เยียน? หรือเหยียนนี่แหละ”

ขณะที่ฮวาเซียงเซียงยังครุ่นคิดอยู่นั้น เซียวเย่เจ๋อก็เข้าใจได้ทันที “ปราบโจร? เยี่ยน? ต้องเป็นแซ่เยี่ยนอย่างแน่นอน ไม่กี่ปีก่อนตระกูลเยี่ยนซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ขุนศึกหลักได้ทำการปราบปรามกลุ่มโจร ได้ยินมาว่าพวกโจรถูกปราบปรามอย่างราบคาบ และพวกเขายังได้รับพระราชทานรางวัลจากราชสำนักอีกด้วย ที่แท้ก็จัดการด้วยวิธีเช่นนี้นี่เอง!

ลับหลังก็แอบเลี้ยงโจรเอาไว้ โยนเรื่องสกปรกทั้งหมดให้พวกเขาทำ ภายนอกก็สร้างภาพราวกับเป็นตระกูลที่เคร่งครัด ถุย!”

ฮวาเซียงเซียงเองก็นึกรังเกียจเรื่องเช่นนี้เหมือนกัน “สี่ขุนศึก เป็นตระกูลที่แบ่งกองทัพทหารเกราะเหล็กไปไม่ใช่หรือ?”

พูดถึงเรื่องนี้แล้วเซียวเย่เจ๋อก็มีเรี่ยวแรงขึ้นมาทันที “กองทัพทหารเกราะเหล็กตอนนี้หนีไปหมดแล้ว”

ไปอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเฉินอย่างไรเล่า!

“หนีไปแล้ว? หนีไปแล้วก็ดี ไม่ได้ หากพวกเรายังนั่งอยู่ตรงนี้ ถ้าพวกนั้นลงมาลาดตระเวนต้องเจอพวกเราแน่” ฮวาเซียงเซียงทำท่าทางจะลุกขึ้น

“แต่…แต่เหล่าไป๋ยังไม่กลับมาเลยนะ”

“เช่นนั้นก็ไม่สามารถนั่งรอตรงนี้ได้ ที่นี่โจ่งแจ้งเกินไป” ฮวาเซียงเซียงเอามือมาลากเขา “ไป พวกเราไปหาที่ที่ลับตากว่านี้หน่อยดีกว่า”

เซียวเย่เจ๋อมองไปที่มือขาวนุ่มของนางที่จับเขาเอาไว้ ก็ไม่เหมาะที่จะดึงกลับ จึงกระแอมไอเบา ๆ เป็นการเตือนสองครั้ง สุดท้ายนางกลับเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังขึ้นมา “อย่าส่งเสียงดัง เกิดแหวกหญ้าให้งูตื่นขึ้นมาเล่า!”

ได้ แม้ลูกสาวของหัวหน้ากองเรือจะล่วงเกินไม่ได้ แต่ข้าไม่ได้เป็นฝ่ายกินเต้าหู้เจ้าก่อนนะ เพราะเจ้าเป็นฝ่ายมาจับข้าเอง!

.

.

.