เจียงซื่อเข้าใจสัญญาณมือเหล่านี้ของอวี้จิ่น และเพราะว่าเข้าใจว่าหมายความถึงได้รู้สึกราวกับว่าถูกเอ้อร์หนิวทำร้ายจิตใจ ท้ายที่สุดแล้ว ในใจของเอ้อร์หนิวนางก็มิอาจสู้กระดูกสามกะละมังได้ เปล่าหรอก นั่นมิใช่ความผิดของเอ้อร์หนิว มันเป็นตัวเลือกที่ยากลำบากที่อวี้ชีบีบบังคับให้เอ้อร์หนิวต้องทำตามสัญชาตญาณเท่านั้น
ครั้นคิดมาได้ถึงตรงนี้ อารมณ์ของเจียงซื่อก็ดีขึ้นมากแล้ว
เมื่อมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในจวนโหว ความครื้นเครงจากงานเฉลิมฉลองก็พลันหายวับเข้าไปในกลีบเมฆ ราวกับว่าท้องฟ้าที่เคยสดใส รวมถึงจวนทั้งหลังถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกหนาทึบ บรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมงานก็พากันแยกย้ายกลับไป
เจียงอันเฉิงพาเจียงซื่อและพี่สาวไปกล่าวลาสองสามีภรรยาแห่งอี๋หนิงโหวและเดินออกจากจวนไป
รถม้าของจวนตงผิงปั๋วและรถม้าของตระกูลจูจอดอยู่ในบริเวณเดียวกัน แต่เนื่องจากรถม้าจำนวนมากที่จอดอยู่ก่อนหน้านี้ทยอยกลับไปหมดแล้ว ทำให้ในบริเวณนั้นดูโล่งไปถนัดตา
เหล่าฉินยืนพิงกำแพงด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่สุงสิงกับผู้ใด คนขับรถม้าตระกูลจูพยายามชวนสนทนาหลายคราทว่าไม่สำเร็จ
ครั้นเห็นเจียงซื่อและคนอื่นๆ เดินมา เหล่าฉินก็รีบยืดตัวขึ้นตรงและไปยืนเฝ้าข้างๆ รถม้าจนปั๋วทันที
เจียงอันเฉิงมองไปรอบๆ และถามขึ้นด้วยความสงสัย “ม้าล่ะ”
เหล่าฉินตอบ “คุณชายรองให้สหายขี่ม้าของนายท่านไปแล้วขอรับ”
“ไอ้ลูกเวร!” เจียงอันเฉิงโกรธจนตาแทบถลน
เจียงซื่อรีบบอก “ท่านพ่อ ลูกกะว่าจะไปนั่งกับพี่ใหญ่พอดี ท่านพ่อก็นั่งรถม้าของลูกกลับจวนแล้วกันเจ้าค่ะ”
เจียงอันเฉิงพยักหน้าแล้วหันไปกำชับลูกสาวคนโตว่าให้ดูแลตัวเองให้ดียามอยู่บ้านสามี ครั้นสั่งลาแล้วก็เฝ้ามองลูกสาวทั้งสองเดินไปขึ้นรถม้าตระกูลจู รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปช้าๆ ภาพตรงหน้าเร้าให้เขาเกิดความรู้สึกขมฝาดอย่างบอกไม่ถูก
เหล่าฉินรีบก้าวยาวๆ เดินตามไป เขาเคยแอบสาบานเอาไว้ว่า หากคุณหนูออกจากเรือนเมื่อไหร่ เขาจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบความปลอดภัยของคุณหนู และเหล่าฉินก็เป็นคนมีหลักการ…
เมื่อเห็นว่าเหล่าฉินกำลังวิ่งตามรถม้าของคนอื่นไป เจียงอันเฉิงก็ได้แต่ตะลึงตาค้าง
นี่มันอะไรกัน สารถีไปไหนกันหมด หรือว่าให้เขาขับรถม้ากลับจวนเองงั้นหรือ
เจียงซื่อที่อยู่บนรถม้าของตระกูลจูไม่ทราบเลยว่าบิดาถูกทิ้งให้อยู่กับรถม้าเพียงลำพัง เมื่อนั่งไปได้ครู่หนึ่งก็รับถ้วยน้ำชาที่เจียงอีส่งให้มาดื่ม
“วันนี้เจ้าคงตกใจมากสินะ” เจียงอีถามอย่างอ่อนโยน
เจียงซื่อวางถ้วยชาลงบนโต๊ะตัวน้อยแล้วส่ายศีรษะ เห็นได้ชัดว่าเจียงอียังคงผวากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ริมฝีปากซีดเอ่ยตอบ “ไม่ตกใจก็ดี ทีแรกที่เห็นพวกเขาลากตัวเจ้าเข้าไป หัวใจของข้าก็พลันเต้นแรง”
“พี่ใหญ่มิต้องกังวลไปเจ้าค่ะ ข้าดูแลตัวเองได้” เจียงซื่อเอื้อมมือไปจับมือเจียงอีพลางส่งยิ้มบางๆ
เจียงอีถอนหายใจออกมาเบาๆ “สงสารก็แต่น้องชิงอี้ แม้ว่าเขาจะทำร้ายผู้อื่น แต่ตอนนั้นที่ทำไปก็เพราะยังมิรู้ความ”
“แต่ก็มิใช่ทุกคนที่ยังมิรู้ความจะต้องทำร้ายผู้อื่นนี่เจ้าคะ” เจียงซื่อบ่นเสียงเบา เพราะนางเคยสัมผัสกับความโหดเหี้ยมของฉังซิงโหวซื่อจื่อและเจียงเชี่ยนมาแล้ว ทัศนคติของเจียงซื่อถึงได้แตกต่างไปจากชาติที่แล้วโดยสิ้นเชิง
จากที่นางรับรู้คือมีคนไม่กี่คนบนโลกนี้ที่มีนิสัยชั่วร้ายมาตั้งแต่กำเนิด ซ้ำร้ายคือยาใดก็มิอาจรักษานิสัยเช่นนั้นได้ แม้ในใจนางจะรู้ว่าการคิดเช่นนี้จะฟังดูดื้อรั้นไปบ้าง แต่ชีวิตของนางก็เปรียบเสมือนกระดาษขาวที่ถูกราดด้วยน้ำหมึก นางไม่ใช่เด็กสาวในวัยสิบห้าปีอีกต่อไปแล้ว เพราะรอยเปื้อนเมื่อชาติก่อนมิอาจลบเลือนให้จางหายไปได้
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” เจียงอีไม่ได้ยินที่เจียงซื่อบ่นกับตัวเองจึงถามขึ้น
เจียงซื่อหัวเราะ “เพียงแต่ถอนใจว่าไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน ว่าแต่ ท่านยายเรียกให้พี่ใหญ่กลับไปด้วยสาเหตุใดกัน”
“เปล่าหรอก ท่านยายได้ยินว่ามาเยียนเยียนไม่สบาย จึงเรียกข้าเข้าไปถาม”
“ท่านยายไปได้ยินใครพูดมาหรือ”
เจียงอีมองเจียงซื่อด้วยความสงสัย “น้องสี่ มีเรื่องอะไรงั้นรึ”
เจียงซื่อขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจบอกความจริงออกไป “พี่ใหญ่บอกข้ามาก่อนว่าท่านยายไปทราบความมาจากไหน แล้วข้าถึงจะบอกว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ได้ยินมาจากท่านป้าสะใภ้”
เจียงซื่อหัวเราะเยาะออกมาเหตุเพราะเป็นไปตามคาด
“น้องสี่ สรุปมันเรื่องอะไรกัน” แม้เจียงอีจะมีนิสัยอ่อนโยน ทว่ามิใช่คนซื่อบื้อ ฉะนั้นแค่เห็นท่าทีของเจียงซื่อก็พอจะจับสังเกตได้ว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากล
ในขณะนั้นยังไม่มีเหตุผลใดให้นางต้องว้าวุ่นใจ แต่เมื่อคิดดูแล้วกลับรู้สึกว่าเรื่องที่กำลังจะได้ยินต่อไปอาจทำให้นางรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง
เจียงซื่อเงียบไปครู่หนึ่ง บรรยากาศเงียบงันภายในรถม้าทำให้เจียงอีมีเวลาเตรียมใจ เจียงซื่อจึงเอ่ยต่อ “เรื่องที่ชิงอี้เข้ามาขวางข้าที่ริมทะเลสาบจวีสยามิใช่เรื่องบังเอิญ มีความเป็นไปได้แปดในสิบที่เรื่องทั้งหมดเป็นแผนของท่านป้าสะใภ้เจ้าค่ะ”
นางเริ่มจากให้ชิงอีสาวรับใช้ปล่อยข่าวว่าเจียงอีเป็นลม จากนั้นชิงอีก็หายตัวไปอย่างลับๆ และท้ายสุดก็เป็นข่าวร้ายของซูชิงอี้
เจียงอีรับฟังเงียบๆ แต่ยิ่งฟังใบหน้าของหน้าก็ยิ่งแย่ลง นางเอื้อมมือที่สั่นเทามาจับมือเจียงซื่อ พลางเอ่ยถามด้วยความแคลงใจ “ไฉนถึงกลายเป็นเช่นนั้นได้ นางเป็นป้าสะใภ้ของพวกเราแท้ๆ คิดร้ายกับเจ้าเช่นนี้ นางไม่มีมโนสำนึกเลยหรืออย่างไร”
เจียงซื่อบอกไปตามตรง “พี่ใหญ่ คนเลวในโลกนี้มีอยู่ถมเถเจ้าค่ะ”
นางไม่คิดจะปิดเรื่องความกังวลใจนี้จากผู้เป็นพี่สาว แม้ว่าพี่ใหญ่ของนางจะเป็นคนอ่อนโยนนุ่มนวล และหากได้ฟังเรื่องเช่นนี้เกรงว่าคงผวาอยู่หลายวัน แต่เพราะรู้ดีว่าพี่ใหญ่ของนางจะประสบกับความโชคร้ายในอีกไม่ช้า หากไม่บอกให้พี่ใหญ่ระวังตัวจากพวกคนชั่ว เกรงว่าจะเป็นการทำร้ายพี่ใหญ่เสียเอง
ในบางครั้ง ต่อให้มีคนรอบข้างคอยปกป้องก็มิสู้ยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตนเอง
เจียงอีพยายามสงบสติตัวเอง นางออกแรงบีบมือเจียงซื่อและเอ่ยด้วยความละอาย “เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง ถ้าข้าไม่พาเจ้ากลับไปด้วย เรื่องทั้งหมดคงไม่ลงเอยเช่นนี้”
เจียงซื่อยิ้ม “พี่ใหญ่อย่าคิดเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ คนเราหากคิดจะปองร้ายผู้อื่น ท้ายที่สุดแล้วก็คงหาโอกาสลงมืออยู่วันยังค่ำ แม้คราวนี้จะชวดไปก็ยังมีคราวหน้า ฉะนั้นเรื่องนี้จึงมิเกี่ยวอะไรกับพี่ใหญ่ หากพี่ใหญ่ยังคิดโทษตัวเอง นั่นก็คงเป็นความผิดของข้าเองเจ้าค่ะ”
เจียงอีจับจ้องไปที่ใบหน้าของเจียงซื่อครู่หนึ่งพลางถอนหายใจออกมา “น้องข้าเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ”
เจียงซื่ออาศัยจังหวะนี้พูดเตือน “พี่ใหญ่ ต่อไปพี่ต้องระวังตัวให้มาก คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ คนที่ดูจริงใจกับพี่เหลือเกิน ไม่แน่ว่าคนเหล่านั้นอาจคิดร้ายกับพี่ก็เป็นได้…”
เจียงอีชะงักไปก่อนจะแสดงท่าทีกังวลออกมา “น้องสี่ แม้จะบอกว่าโลกนี้มีคนชั่ว แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังเป็นคนดี เจ้าอย่าปล่อยให้เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้มาบงการให้นิสัยของเจ้าเปลี่ยนไป มิฉะนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับถูกงูกัดเพียงครั้งเดียว แต่เข็ดขยาดเชือกไปอีกสิบปี”
เจียงซื่องงงัน
นางไม่เพียงแต่เตือนพี่ใหญ่ไม่สำเร็จ หนำซ้ำยังถูกพี่ใหญ่ให้โอวาทอีก
เจียงอีกังวลว่าเจียงซื่อจะจิตตกเพราะเหตุการณ์ในวันนี้จึงพยายามโน้มน้าวเจียงซื่ออย่างสุดกำลัง
เจียงซื่อถอนหายใจ “พี่ใหญ่วางใจได้เจ้าค่ะ ข้ามิใช่คนดื้อดึงเช่นนั้น เพียงแต่พี่ใหญ่ต้องสัญญากับข้าก่อนว่า จิตใจคิดร้ายผู้อื่นมิพึงมี จิตใจระแวดระวังก็มิพึงขาดนะเจ้าคะ”
เมื่อเจียงอีพยักหน้าตกลง เจียงซื่อถึงได้ค่อยๆ วางใจ
ทันทีที่รถม้าตระกูลจูมาส่งเจียงซื่อถึงหน้าประตูจวนตงผิงปั๋ว เจียงซื่อถึงได้เอ่ยลาเจียงอี เมื่อเดินเข้าประตูจวนไปแล้วจึงถามคนในจวนว่า “คุณชายรองกลับมาหรือยัง”
บ่าวรับใช้ที่ออกมาต้อนรับตอบ “ยังขอรับ”
“แล้วท่านพ่อล่ะ”
“ยังไม่เห็นนายท่านกลับมาเช่นกันขอรับ”
เจียงซื่อขมวดคิ้ว “แปลกจริง ปกติเหล่าฉินขับรถม้าไวกว่าคนรถตระกูลจูเป็นไหนๆ”
เหล่าฉินที่ตามหลังมาเงียบๆ เอ่ยตอบ “คุณหนู คงเป็นเพราะนายท่านไม่มีคนรถขอรับ”
เจียงซื่อตะลึงที่เห็นเหล่าฉินปรากฏอยู่ตรงหน้า
เหล่าฉินปฏิญาณอย่างแน่วแน่ว่า “ข้าเป็นคนรถของคนหนูแต่เพียงผู้เดียวขอรับ”
ในยามคับขัน เขาสามารถเป็นมีดสังหารให้คุณหนูได้ แต่เขาไม่อาจรับผิดชอบชีวิตของผู้อื่นได้ เพราะผู้อื่นไม่เคยใส่ใจเรื่องอาหารการกินของเขา
เจียงซื่อเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ที่เจ้าว่ามาก็ถูกแล้ว”
โชคดีที่นางไม่ใช่พี่รอง อย่างน้อยๆ ก็คงไม่ถูกตี