ตอนที่ 192 น้ำแกงหมดอายุ

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 192 น้ำแกงหมดอายุ

ตอนที่ 192 น้ำแกงหมดอายุ

ท่าทางเช่นนี้สู้ให้เขาโมโหยังดีเสียกว่า หัวใจของหลินเว่ยเว่ยกระตุกทันที ให้ตายเถิด ! นี่เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย เหตุใดจึงลืมว่าเจ้าหมอนี่เป็นคนหยิ่งทะนงและดูแคลนผู้ที่ด้อยกว่าเสมอ

นางจึงรีบพูดปลอบประโลมหัวใจดวงน้อย ๆ ของอีกฝ่ายทันที “ไม่ใช่ ! หากเขาถามว่าข้าไปเอาวิธีนี้มาจากที่ใด ข้าจะสามารถตอบได้อย่างไรเล่า ? อีกอย่าง…เมื่อครู่ก็บอกกับทุกคนไปแล้วว่าวิธีนี้เจ้าเปิดเจอในตำรา หากเปลี่ยนมาเป็นความคิดของข้าต่อหน้าซื่อจื่อ ข้าจะกลายเป็นตัวอะไรในสายตาผู้อื่น ? แย่งผลงานเจ้าเช่นนั้นหรือ ? ”

“แล้วอย่างไร ? เจ้าไม่อยากแย่งผลงานของข้า แล้วข้าสามารถแย่งผลงานเจ้าได้หรือ ? ในสายตาของเจ้าเห็นข้าเป็นคนไร้ยางอาย ทำทุกอย่างได้เพื่อชื่อเสียง ใช่หรือไม่ ? ” ดวงตาของเจียงโม่หานค่อย ๆ มีเส้นเลือดปรากฎขึ้น

ตัวเขาในชาติก่อน เพื่ออำนาจแล้วไม่ว่าหนทางใดก็สามารถลงมือทำได้ทั้งสิ้น ในชาตินี้เขาตัดสินใจจะใช้ความสามารถของตนค่อย ๆ ทำให้สิ่งที่ปรารถนาให้กลายเป็นจริง ทว่าเด็กคนนี้ก็ก่อกวนแผนการครั้งแล้วครั้งเล่า…

“ไม่ใช่ ! ข้าเต็มใจให้เจ้าแล้วจะเรียกว่าแย่งได้อย่างไร ? ” หลินเว่ยเว่ยคิดว่าอารมณ์ของเขาผิดแปลกไป นางจึงรีบสำนึกผิดเพราะไม่อยากให้บัณฑิตหนุ่มโมโหจนกู่ไม่กลับ “ได้ ได้ ได้ ! ข้ายอมรับ ข้าเป็นคนผิดเอง ! ต่อไปข้าจะไม่บุ่มบ่ามตัดสินใจเอาเอง ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ก็จะปรึกษากับเจ้าก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ ตกลงหรือไม่ ? ”

เมื่อเหลือบมองเจียงโม่หานแล้ว นางก็ม้วนผมเล่น “ข้ากลัวเกิดปัญหาจึงลากเจ้าเข้ามาเอี่ยว เดิมทีไม่คิดว่าจะดึงดูดความสนใจจากหมินอ๋องซื่อจื่อ อีกทั้งข้าจะรู้เรื่องแย่งไม่แย่งผลงานได้อย่างไร เจ้าเองก็รู้ว่าข้าชอบทำสิ่งต่าง ๆ โดยไม่คิด พูดโดยไร้เจตนาร้าย เจ้ายกโทษให้ข้าซึ่งไม่ได้ตั้งใจเถิดนะ”

“อีกอย่างในใจข้าเห็นเจ้ามีตัวตนดุจเทพเซียนบนสวรรค์มาโดยตลอด เวลาคนอื่นนินทาเจ้าให้ได้ยิน ข้าก็ไปคิดบัญชีถึงที่ แล้วจะเห็นเจ้าเป็นคนไร้ยางอายได้อย่างไร ? แม้เจ้าจะยังโมโหข้าอยู่ แต่จะใส่ร้ายข้าไม่ได้นะ ! ” หลินเว่ยเว่ยก้มหน้าพลางใช้นิ้วจิ้มกัน ท่าทางราวกับเด็กน้อยที่เพิ่งทำผิดมา

หากนางไม่ซุกซนลอบแอบมองเจียงโม่หานเป็นครั้งคราว ท่าทางสำนึกผิดก็คงดูจริงใจมากกว่านี้

อารมณ์ของเจียงโม่หานกลับมาเป็นปกติแล้ว ขณะมองเจ้าก้อนขนที่ก้มหน้าด้วยความน้อยอกน้อยใจและยังมีดวงตาหวาดระแวงก็ทำให้ตำหนิไม่ลง

ใจที่เคยโดนหล่อหลอมไปด้วยความเยือกเย็นก็เริ่มอ่อนลงเล็กน้อย เขาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “บอกข้ามาตามตรงว่าไปเรียนวิธีนี้มาจากที่ใด ข้าจะหายโกรธแน่นอน”

นางมีท่าทางกังวลแล้วลุกขึ้นยืนตัวตรง หลินเว่ยเว่ยเงยหน้าพร้อมฉีกยิ้มประจบเขาราวกับลูกสุนัขตัวน้อย “เจ้าจะไม่โกรธข้าจริงหรือ ? ”

เจียงโม่หานยื่นนิ้วไปจิ้มหน้าผากนางที่กำลังจะพุ่งเข้ามาแบบได้คืบจะเอาศอก “ก่อนอื่นคือเจ้าต้องสารภาพความจริง…”

“เฮ้อ…” เจ้าก้อนขนที่ไม่อยู่สุขจึงกลับไปนั่งใหม่อีกครั้ง หลินเว่ยเว่ยทำหน้าสับสน สายรัดเอวแทบจะถูกนางดึงจนขาดแล้ว

ต่อจากนั้นเจียงโม่หานก็ถูกนางที่ทำหน้าตาลับล่อลากมายังสถานที่ไม่มีคนอยู่ หลินเว่ยเว่ยทำท่าทางราวกับโจร นางหันซ้ายแลขวา เจียงโม่หานจึงกล่าวว่า “ที่นี่ไม่มีคนอื่น พูดมาเถิด ! ”

“เจ้าเชื่อเรื่องภูตผีหรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยสังเกตสีหน้าอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง

เจียงโม่หานมีสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ใจไม่ได้นิ่งเหมือนหน้า…แน่นอนว่าเชื่ออยู่แล้ว เพราะตนก็กลับชาติมาเกิดใหม่ !

“หืม ? แล้วเจ้าอยากกล่าวสิ่งใด ? ” เจ้าเองก็กลับชาติมาเกิดเช่นกันหรือ ? แต่ชีวิตเขาในชาติก่อนไม่มีนางอยู่ด้วย ! หรือเจ้าจะบอกว่ายืมร่างไร้วิญญาณของผู้อื่นมาใช้ ?

“กล่าวกันว่าเวลาจะมาเกิดใหม่ต้องดื่มน้ำแกงของยายเมิ่งเพื่อลืมอดีตชาติ เจ้าคิดว่า…ยายเมิ่งต้มน้ำแกงมาหลายปี จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าพอถึงคราวของข้าแล้ว…มันจะหมดอายุ ? ดังนั้นในตอนแรกสมองของข้าจึงสับสนวุ่นวาย ต่อมาพอตกไปในสระน้ำแล้วจู่ ๆ ก็ได้สติขึ้นมา ซ้ำยังมีความทรงจำของชาติก่อนด้วย เช่นวิธีทำเนื้อแผ่น วิธีแปรรูปเมล็ดสนและยังมีวิธีกรองน้ำ…ทั้งที่ไม่มีใครสอนข้า แต่พวกมันก็อยู่ในความทรงจำของข้าเอง เจ้าคิดว่าแปลกหรือไม่ ? ”

หลินเว่ยเว่ยกะพริบตาปริบ ๆ แล้วทำท่าทางว่าเชื่อข้าเถิด สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริงทั้งหมด

เจียงโม่หานพูดไม่ออก

หากเจ้าไม่กะพริบตา ข้าอาจเชื่อไปแล้วก็ได้ !

“ช่างเถิด ! ถ้าเจ้าไม่อยากบอก ข้าก็จะไม่บังคับ ! ” เจียงโม่หานไม่อยากบังคับอีกฝ่าย จากนั้นก็เดินกลับไปยังค่ายพักแรมของฉือหลี่โกว

หลินเว่ยเว่ยก็เดินตามไปอย่างกระตือรือร้น ขณะเดียวกันก็หยิบเคียวออกมาเกี่ยวหญ้าแห้งใกล้ตัวเพื่อทำเป็นเสื่อรองนอนชั่วคราวให้บัณฑิตหนุ่ม ทำให้เขาได้นอนสบายขึ้นอีกหน่อย

ถึงเวลาที่หมู่บ้านฉือหลี่โกวต้องเปลี่ยนเวรอีกแล้ว หลินจื่อเหยียนและหยาเอ๋อร์จึงได้กลับมาที่พักอีกครั้ง เขาเห็นท่าทางรีบเร่งของพี่รองจึงไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร “พี่รอง เขาเป็นผู้ชายมีมือมีเท้า ท่านไม่ต้องไปดูแลเขาหรอก ! ”

หลินเว่ยเว่ยไม่ได้ลำเอียงแต่อย่างใด เพราะนางก็ทำ ‘ฟูก’ ชั่วคราวให้น้องชายเช่นกัน “ข้าทำงานนี้จนชินแล้ว ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อันใดหรอก พอถึงตาพวกเจ้าก็ต้องลุกขึ้นมากลางดึกอีก อยากจะนอนหรือไม่ ? คว้าโอกาสตอนที่ข้ายังดูแลพวกเจ้าไว้เถิด ประเดี๋ยวรอให้พวกเจ้าแต่งสะใภ้แล้วก็ถึงตาพวกนางรับหน้าที่ดูแลแทนข้า ! ”

หลินจื่อเหยียนเข้ามาช่วยนางปูหญ้าพลางกล่าวว่า “ท่านเป็นพี่รองของข้า ดังนั้นการดูแลข้าจึงไม่ทำให้คนอื่นต่อว่า แต่ศิษย์พี่เจียง…ท่านเลี่ยงได้ก็เลี่ยงหน่อยเถิด ถ้าให้คนหมู่บ้านอื่นเอาไปลือกันอีก พวกท่านได้แต่งงานกันแน่ ! ”

“เหตุใดฟังแล้วเหมือนว่าการที่ข้าดูแลบัณฑิตน้อย เจ้าจะหวงข้ากันนะ ? ” หลังปูหญ้าเสร็จแล้วหลินเว่ยเว่ยก็โบกมือเรียกหยาเอ๋อร์ให้มานอนเบียดกับตน

พี่รองดีกับศิษย์พี่เจียงมากเกินไปแล้ว ดีกว่าน้องชายแท้ ๆ เสียอีก หลินจื่อเหยียนย่อมรู้สึกไม่พอใจแน่นอนและเขาไม่มีทางยอมรับเด็ดขาด

“ในสายตาข้า เห็นน้าเฝิงและบัณฑิตน้อยเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน คนอื่นจะพูดหรือมองอย่างไร เจ้าจะสนใจไปเพื่อเหตุใด ? แค่ใช้ชีวิตของเราก็พอแล้ว ! ต้าฮว๋า เจ้าอายุยังน้อย อย่าคิดให้มากนักเลย ตั้งใจเรียนหนังสือ สอบได้ถงเซิงกลับมา ! ข้ายังรอเป็นพี่สาวของซิ่วไฉอยู่ทั้งคน ! ” หลินเว่ยเว่ยเอ่ยกับน้องชายด้วยเหตุผลแสนยิ่งใหญ่

ค่ำคืนมาเยือน นอกตัวอำเภอเป่าชิงค่อย ๆ กลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง แม้แต่ผู้ที่ต่อแถวอยู่ก็เริ่มนั่งจับกลุ่มเพื่องีบหลับ เหลือเพียงดวงดาวกะพริบแสงบนท้องฟ้าเท่านั้น…

เช้าวันต่อมา ข้าวสารก็ถูกแจกจ่ายตั้งแต่ยามเฉิน ( 7 โมงเช้า ) ตัวอำเภอจึงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง…

ผู้ที่ได้รับข้าวสารแล้วก็เริ่มนำข้าวกลับบ้าน ชาวบ้านที่ได้รับอาหารเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้คนจึงเดินทางมายังอำเภอเป่าชิงจากทั่วทุกสารทิศ

“ทะเบียนบ้านของเจ้าไม่ได้อยู่ในอำเภอเป่าชิง ไม่สามารถขอรับข้าวสารได้ ! ” มีชาวบ้านจากอำเภออื่นเข้ามาทุกวันเพื่อฉวยโอกาสจากตอนที่ผู้คนชุลมุนแล้วพอจะมีโชคกับเขาบ้าง ทว่าคลังของอำเภอเป่าชิงก็ยังแทบแจกจ่ายให้คนในอำเภอไม่พอ ไฉนเลยจะพอแจกให้คนนอกอำเภอ ?

“นายท่าน ขอร้องขอรับ ! แจกข้าวให้พวกเราหน่อยเถิด บ้านเราไม่อดตายก็ป่วยตาย หากยังไม่ได้กินข้าวอีกจะต้องตายแน่นอน ! ” ชายคนนี้ผอมแห้งจนเหลือแต่กระดูก ในมือของเขาจับเด็กสองคนไว้ ซึ่งเด็กก็มีร่างเล็กศีรษะโต ยืนโซเซไปมาแทบจะล้มลงเพียงเพราะลมพัดผ่าน