ตอนที่ 193 ถ้อยคำนี้ตัวเจ้าเองก็เชื่อหรือ
ตอนที่ 193 ถ้อยคำนี้ตัวเจ้าเองก็เชื่อหรือ
“พวกเราไม่ได้เป็นผู้ตัดสิน ! พวกเจ้าไปเอาหมั่นโถวทางโน้นแล้วกลับบ้านไปเถิด หมินอ๋องซื่อจื่อกล่าวแล้วว่าเสบียงบรรเทาทุกข์ของทางราชสำนักกำลังจะมาถึง ! ” เจ้าหน้าที่แจกข้าวสารส่ายหน้า เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นทุกวัน แม้เขาจะเห็นใจแต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้
ชายคนนั้นตัวแข็งทื่อไปพักหนึ่ง มันไร้ประโยชน์ เขาจึงได้แต่พาบุตรไปรับหมั่นโถวแล้วหันหลังเดินจากไปอย่างสิ้นหวัง ตอนนี้ได้แต่ฝากความหวังไว้ที่เสบียงบรรเทาทุกข์ของทางราชสำนัก…หวังว่าถ้อยคำของซื่อจื่อจะเป็นความจริง !
การแจกจ่ายอาหารยังคงดำเนินต่อไป ตอนมาถึงคราวของหมู่บ้านฉือหลี่โกวก็เข้าสู่ช่วงบ่ายแล้ว
“ว่าอย่างไรนะ ? ไม่ได้แจกข้าวตามใบทะเบียนบ้านหรอกหรือ ? ต้องมารับด้วยตนเองถึงจะให้”
ผู้ใหญ่บ้านถูกชาวบ้านฉือหลี่โกวผลักไปอยู่ด้านหน้าเพื่อลองเจรจากับเจ้าหน้าที่ “นายท่าน ระยะห่างของหมู่บ้านฉือหลี่โกวกับอำเภอเป่าชิงต้องใช้เวลาเดินทางไปกลับถึง 150-160 ลี้ ท่านพอจะยืดหยุ่นได้หรือไม่ขอรับ ? ข้าคือผู้ใหญ่บ้านฉือหลี่โกว ข้ายินดีรับประกันว่าคนในทะเบียนบ้านเหล่านี้มีตัวตนแน่นอน ! ”
เจ้าหน้าที่แจกข้าวสารกล่าวอย่างอดทน “ผู้อาวุโส นี่ก็เป็นกฎที่เบื้องบนกำหนดลงมา”
ในปีแห่งภัยพิบัติมีหลายหมู่บ้านที่เหลือเพียงหนึ่งส่วนสิบ ใครจะรู้ว่าคนในทะเบียนบ้านยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ? ข้าวสารในคลังแม้แต่คนเป็นยังไม่พอกิน ไฉนเลยจะปล่อยให้คนเป็นกับคนตายมาแย่งอาหารกัน ?
“นายท่านขอรับ คนในทะเบียนบ้านของพวกเรายังมีชีวิตอยู่จริง ! หากไม่เชื่อ ท่านสามารถไปตรวจสอบที่หมู่บ้านเราได้” ผู้ใหญ่บ้านกังวลจนเหงื่อแตก ไปและกลับต้องใช้เวลากว่า 2-3 วันแล้วจะให้มาเสียเที่ยวอย่างนั้นหรือ น่าหงุดหงิดเหลือเกิน !
ท่าทีของเจ้าหน้าที่ก็ดีใช้ได้ “ผู้อาวุโส พวกเราตัดสินไม่ได้ เช่นนั้นพวกเจ้านำข้าวสารบางส่วนกลับไปก่อน เมื่อคนในบ้านกินอิ่มแล้ว สักสองวันมีพลังมากพอก็ค่อยกลับมาเอาใหม่ ! ”
หลินเว่ยเว่ยได้ยินเช่นนี้จึงเบียดมาอยู่ข้างผู้ใหญ่บ้านซึ่งหันไปมองนางปราดหนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วสูดหายใจเข้าลึก
ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างปรากฏขึ้นในสมองของหลินเว่ยเว่ย นางกล่าวกับเจ้าหน้าที่คนนั้นว่า “ไม่ทราบว่าท่านนายอำเภอจะเข้ามาตรวจสอบตอนไหนหรือ ? ”
“ท่านนายอำเภอน่ะหรือ ? ” เจ้าหน้าที่มองนางด้วยความสงสัยและกล่าวอย่างหมดความอดทน “ท่านนายอำเภองานยุ่งจะตาย ! ไฉนเลยจะมีเวลามาพบพวกเจ้า ? พวกเจ้าจะเอาหรือไม่ ถ้าไม่เอาก็ไสหัวออกไปแล้วเปลี่ยนให้คนอื่นเข้ามาแทน ! ”
“เกิดอันใดขึ้น ? ” เมื่อทางฝั่งนี้เกิดความเคลื่อนไหวขึ้นก็ดึงดูดความสนใจของหมินอ๋องซื่อจื่อที่เฝ้าระวังการแจกอาหารบรรเทาทุกข์มาโดยตลอด
หลินเว่ยเว่ยเข้าใจผิดว่าตนเคยเสนอวิธีสร้างที่กรองน้ำให้คนกลุ่มนี้แล้ว อย่างไรหมินอ๋องซื่อจื่อก็ต้องให้เกียรติอยู่บ้างหรือไม่ก็ดูแลอย่างพิเศษอยู่บ้างกระมัง แต่ใครจะคิดว่าเขาทำเหมือนไม่รู้จัก…แค่กแค่ก ต้องเรียกว่ายุติธรรมไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด ราวกับว่าไม่เคยรู้จักพวกนางมาก่อน “ทุกอย่างต้องทำตามกฎ ! หากผู้ใดขัดคำสั่งเจ้าหน้าที่ โทษสถานเบาคือโดนไล่ออกไป โทษสถานหนักจะโดนจับขังคุกและรอการตัดสิน ! ”
หลินเว่ยเว่ยแยกเขี้ยวใส่ลับหลัง ปากก็บ่นพึมพำเบา ๆ เจียงโม่หานกลัวว่าเด็กใจกล้าหน้าโง่จะเข้าไปพูดจากวนโทสะจึงเอ่ยเตือนนางว่า “ดีที่สุดเจ้าอย่าไปท้าทายอำนาจของหมินอ๋องซื่อจื่อ เพราะเขาไม่เหมือนข้าหรอกที่จะสามารถทนการหยอกล้อของเจ้าได้ เขาจะจับเจ้าเข้าคุก…”
เสียงของเขายังไม่ทันเงียบลง สีหน้าของหลินเว่ยเว่ยก็เปลี่ยนไป นางรีบดึงตัวเขามาหาแล้วปกป้องเขาไว้ด้านหลัง เจียงโม่หานสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างลอยผ่านแก้มของเขาไปพร้อมกับลมที่บาดผิวจนทำให้เกิดความเจ็บแสบ
เมื่อเจียงโม่หานหันไปมองอีกครั้ง ลูกธนูดอกนั้นก็พุ่งตรงไปที่ตัวหมินอ๋องซื่อจื่อ ส่วนเขาเป็นเพียงผู้ได้รับลูกหลงเท่านั้น
หมินอ๋องซื่อจื่อชักกระบี่ออกจากฝักที่เหน็บเอวแล้วหมุนตัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตวัดไปทางลูกธนูดอกนั้น ลูกธนูและคมกระบี่ปะทะกันจนเกิดประกายไฟ มันถูกเบี่ยงไปทางด้านข้าง เมื่อลอยไปอีกหลายสิบลี้มันถึงจมดิ่งลงกับพื้นดิน
หมินอ๋องซื่อจื่อตกใจเล็กน้อย มือที่จับกระบี่ไว้ก็มีอาการสั่นเทา…พลังรุนแรงมาก !
“ปกป้องซื่อจื่อ ! ” ทันใดนั้นเหล่าทหารองครักษ์ของจวนอ๋องก็ชักกระบี่ออกมาแล้วเข้ามาล้อมรอบตัวหมินอ๋องซื่อจื่อเอาไว้
“กรี๊ด…” ชาวบ้านธรรมดาที่มารับอาหารไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ขณะที่เสียงกรีดร้องดังขึ้น พวกเขาก็เริ่มวิ่งชุลมุนจนหัวหมุน ภายใต้สถานการณ์ชุลมุนจึงสามารถปิดกั้นวิถียิงเอาไว้ได้ คนผู้นั้นยังยิงธนูมาทางหมินอ๋องซื่อจื่ออีกสองสามดอก หากไม่พลาดโดนชาวบ้านที่กำลังวิ่งหนีก็โดนองครักษ์ที่คอยปกป้องหมินอ๋องซื่อจื่อเอาไว้
เนื่องจากมีผู้บาดเจ็บล้มลงกับพื้น ประชาชนจึงตื่นตกใจยิ่งกว่าเดิม แน่นอนว่าสถานการณ์ยิ่งเละเทะเข้าไปใหญ่ มือยิงธนูไม่อาจเล็งไปที่หมินอ๋องซื่อจื่อได้อีกต่อไป ตัวหมินอ๋องซื่อจื่อก็ไม่อาจตัดสินได้ว่าศัตรูอยู่ในตำแหน่งใด สถานการณ์ในเวลานั้นจึงดูวุ่นวายยิ่งกว่าอะไรดี
หลินเว่ยเว่ยใช้มือหนึ่งปกป้องเจียงโม่หาน อีกมือก็คอยปกป้องหลินจื่อเหยียน นางหันไปตะโกนใส่ชาวฉือหลี่โกว “อย่าวิ่งมั่วซั่ว ! ทำตามคำสั่งของข้า ถอยไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ! ”
นางผลักเจียงโม่หาน “เป้าหมายของอีกฝ่ายคือหมินอ๋องซื่อจื่อ เจ้าพาทุกคนถอยไปทางนั้น ประเดี๋ยวข้าจะตามไป ! ”
เจียงโม่หานจับข้อมือนางไว้ “เจ้าคิดจะทำสิ่งใด ? หมินอ๋องซื่อจื่อมีองครักษ์คอยปกป้อง ตัวเขาเองก็มีวรยุทธสูงส่ง หากองครักษ์เหล่านั้นปกป้องเขาไม่ไหวแล้ว เจ้าเข้าไปก็ไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรอกหรือ ! ”
“ข้ารู้ ! เจ้าเห็นข้าเหมือนแม่พระที่ไม่ว่าอย่างไรก็จะช่วยทุกคนหรือไร ? ข้าจะยืนดูอยู่ด้านข้างและไม่ทำอันใดทั้งสิ้น ! ” หลินเว่ยเว่ยชูสามนิ้วเพื่อเป็นการรับประกัน
“เจ้าไม่ทำอันใดสักอย่างหรือ ? ถ้อยคำนี้แม้แต่ตัวเจ้าเองก็เชื่อลงหรืออย่างไร ? ” เจียงโม่หานจับนางไว้แน่น หลินเว่ยเว่ยไม่กล้าสะบัดมือออกเพราะกลัวจะควบคุมแรงไม่ได้แล้วทำร้ายเขาแทน
ภายใต้ความจนปัญญา หลินเว่ยเว่ยได้แต่เดินตามเขาไปแล้วตะโกนบอกทางให้ชาวบ้านอพยพไปยังที่ปลอดภัย เมื่อมีนางกับเจียงโม่หานอยู่ ชาวบ้านฉือหลี่โกวก็คล้ายว่ามีผู้ทรงอิทธิพลอยู่ด้วย แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่ก็ยังติดตามด้านหลังของทั้งสองอย่างเป็นระเบียบ
หลังอพยพออกมาแล้ว พวกเขาก็เริ่มนับจำนวนคน โชคดีที่ตอนเกิดเหตุวุ่นวายเป็นตอนที่ชาวฉือหลี่โกวเข้ารับอาหารบรรเทาทุกข์พอดี ทุกคนต่างมารวมตัวกัน ณ จุดแจกจ่ายอาหาร กอปรกับการออกคำสั่งที่ถูกจังหวะของหลินเว่ยเว่ยจึงทำให้ถอนตัวออกจากเขตการต่อสู้ระยะประชิดได้เกือบจะราบรื่น
แต่แล้วพ่อซัวถัวก็เบียดออกมาหาหลินเว่ยเว่ยที่ด้านหน้าและกล่าวด้วยสีหน้าตื่นตกใจ “นางหนูรอง เจ้าเห็นซัวถัวหรือไม่ ? พวกเจ้ามีใครเห็นซัวถัวหรือเปล่า…ซัวถัว ซัวถัว…”
พอนับจำนวนคนครบแล้ว หลิวต้าซวนก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ขาดไปสองคน ซัวถัวกับหยาเอ๋อร์หายไป ! ”
พ่อซัวถัวแข้งขาอ่อน แทบจะล้มลงนั่งกับพื้น เขากล่าวพร้อมดวงตาที่เริ่มแดงก่ำ “ซัวถัว…ซัวถัวคงไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ! ตอนที่เขาเพิ่งเกิด ยายของเขาก็เอาเงินสินเดิมไปซื้อกุญแจอายุยืนให้หลานหวังให้ช่วยคุ้มครองและให้เขามีอายุยืนนาน !…”
หลินเว่ยเว่ยรีบเข้าไปประคองอีกฝ่าย “ท่านลุง ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจ คงจะพลัดหลงกันเมื่อครู่ ประเดี๋ยวข้าจะไปตามหา…”
ในสายตาของชาวบ้านฉือหลี่โกวเห็นนางเป็นคนที่แม้แต่หมีควายก็ยังกลัว พอได้ยินนางกล่าวเช่นนั้น พ่อซัวถัวก็เหมือนได้รับฟางเส้นสุดท้ายในการช่วยชีวิต เขาสำลักถ้อยคำออกมาทันที “ดะ ดี…นางหนูรอง ฝากซัวถัวด้วย…”
ใบหน้าของเจียงโม่หานปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็ง เด็กคนนี้คิดว่าตนไม่มีทางเป็นอันใด เป็นอมตะสิท่า นั่นคือลูกธนูเหล็กเชียวนะ เป็นอาวุธที่สามารถคร่าชีวิตได้ !
ผู้ใหญ่บ้านอ้ำอึ้งและสุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาพลางกำชับว่า “นางหนูรอง เจ้าระวังตัวด้วย ถ้าหาไม่เจอจริง ๆ ก็กลับมา ทุกชีวิตล้วนมีค่าเท่ากัน…”
ทันใดนั้นก็มีชาวบ้านคนหนึ่งแจ้งเบาะแสที่เป็นประโยชน์ “เมื่อครู่ตอนถอยมาฝั่งนี้ หยาเอ๋อร์ถูกคนกลุ่มหนึ่งชนเข้า ซัวถัวอยู่ใกล้นางที่สุดจึงเข้าไปช่วยประคองไว้…แต่ตอนนั้นสถานการณ์วุ่นวายเกินไป น่าจะเข้าไปปะปนกับหมู่บ้านอื่น ทว่าต่อมาเป็นเช่นไร…ข้าก็ไม่รู้แล้ว ! ”