ตอนที่ 194 มนุษย์โอสถแดนใต้
ตอนที่ 194 มนุษย์โอสถแดนใต้
“ท่านอา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ใดหรือ ? คนกลุ่มนั้นเดินจากทางใดและไปทางใด ท่านยังพอจำได้หรือไม่ ? ” หลังได้รับคำตอบแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็ส่งสายตาปลอบโยนเจียงโม่หานและหลินจื่อเหยียน…ไม่ต้องห่วง ข้าต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของตนและจะกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน !
หลินเว่ยเว่ยพุ่งเข้าสู่ฝูงชนอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่ามือยิงธนูคนนั้นยังไม่ยอมแพ้ เขาคอยยิงธนูมาทางหมินอ๋องซื่อจื่อเป็นครั้งคราว ชาวบ้านที่ได้รับลูกหลงก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่องครักษ์รอบกายหมินอ๋องซื่อจื่อก็บาดเจ็บและล้มตายเช่นกัน
ขณะเบี่ยงตัวหลบชาวบ้านที่กำลังหลบหนี หลินเว่ยเว่ยก็พยายามตามหาซัวถัวและหยาเอ๋อร์ไปด้วย นอกตัวอำเภอเป่าชิงมีผู้คนมารวมตัวหลายหมู่บ้านจนมีชาวบ้านนับพันนับหมื่น ดังนั้นการหาคนสองคนท่ามกลางความวุ่นวายจึงไม่ต่างจากการงมเข็มในมหาสมุทร
แต่หลินเว่ยเว่ยยังถือว่ามีโชคดีอยู่บ้าง หลังตามหาไปตามทิศทางที่ชาวบ้านฉือหลี่โกวคนนั้นบอกประมาณ 2 เค่อ นางก็ได้พบคนทั้งสองซึ่งกำลังปะปนอยู่ในฝูงชน
เส้นผมของหยาเอ๋อร์ยุ่งเหยิงลงมาปิดใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา บัดนี้นางกำลังออกแรงพยุงกายของซัวถัวเอาไว้ ดูเหมือนซัวถัวจะได้รับบาดเจ็บ ขาข้างเดียวต้องแบกรับน้ำหนักตัวไว้ทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าหยาเอ๋อร์อยากจะพยุงซัวถัวออกมายังสถานที่มีคนน้อย แต่รอบกายยังเต็มไปด้วยผู้คนที่เผลอมาชนพวกนางเป็นครั้งคราวด้วย เดิมทีคิดอยากออกห่างพวกหมินอ๋องซื่อจื่อ แต่ไม่ทันไรก็เข้ามาใกล้ขึ้นเสียอย่างนั้น !
‘ฉึก ! ’ ลูกธนูอีกดอกปักสู่พื้นดินซึ่งห่างจากพวกนางเพียงไม่กี่ก้าว ชาวบ้านที่อยู่รอบตัวพวกนางจึงเริ่มผลักและดันกันอย่างบ้าคลั่ง ดูเหมือนว่าชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่คนหนึ่งจะไม่ชอบใจที่พวกหยาเอ๋อร์ขวางทางตนอยู่ เขาจึงใช้ไหล่ออกแรงชนทันที หยาเอ๋อร์มีรูปร่างผอมบางและกำลังช่วยประคองซัวถัวอยู่ ไฉนเลยจะรักษาสมดุลไว้ได้ ? ทันใดนั้นทั้งสองคนก็ล้มลงพื้นอย่างแรง !
ภายใต้ความโกลาหล สิ่งน่ากลัวที่สุดคือการล้ม ขณะเห็นทั้งสองคนกำลังจะโดนเหยียบ หลินเว่ยเว่ยก็ทำศีรษะราวกับแรดตัวน้อยรีบพุ่งเข้าชนด้านข้างของชายฉกรรจ์คนนั้นทันที นางตั้งใจจะชนเบา ๆ ชายฉกรรจ์จึงเซออกไปสองสามก้าวและล้มลงในที่สุด
เมื่อเข้ามาถึงเบื้องหน้าทั้งสองแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็ใช้ร่างกายปิดกั้นผู้คนที่จะเข้ามาชนเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ดึงทั้งสองขึ้นมาด้วยมือเพียงข้างเดียว “เป็นอย่างไรบ้าง ? บาดเจ็บกันหรือไม่ ? ”
มือและแขนของหยาเอ๋อร์ถูกเหยียบประมาณ 2-3 ครั้ง ดูเหมือนจะเป็นเพียงบาดแผลภายนอกเท่านั้น ไม่ได้ร้ายแรงถึงกระดูกหรือเส้นเอ็น ทว่าขาของซัวถัวเหมือนจะไม่ดีสักเท่าไร
หยาเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงปนร้องไห้ “ซัวถัว…ถ้าเขาไม่ได้เข้ามาช่วยข้าก็คงไม่โดนเหยียบจนบาดเจ็บเช่นนี้ เป็นความผิดของข้าเอง…ข้ามันไร้ประโยชน์สิ้นดี ! ”
ทันใดนั้นเอง ก็มี ‘ยักษ์’ ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางฝูงชน ตัวมันสูงประมาณ 2 หมี่ ทั่วตัวเต็มไปด้วยผ้าพันแผลจนเหลือเพียงดวงตาสีแดงก่ำที่บ่งบอกได้ว่ามันก็เป็น ‘มนุษย์’ ให้เห็น สภาพของมันเหมือนตัวประหลาดที่ได้รับบาดเจ็บไม่มีผิด ท่วงท่าในการเดินของมันแปลกมาก ค่อนข้างเหมือน ‘ซอมบี้’ ในวันสิ้นโลก ข้อต่อแข็งขืนแต่ความเร็วไม่ช้าแม้แต่น้อย
เรี่ยวแรงของมันมหาศาล พอเจอชาวบ้านที่ขวางทางอยู่ก็ใช้มือหยิบขึ้นมาเบา ๆ แล้วโยนออกไป ชาวบ้านที่โชคร้ายเหล่านั้นตกกระแทกพื้นอย่างแรง หากไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส ! พร้อมกันนั้นเสียงกรีดร้องของชาวบ้านก็ดังระงม ทุกคนรีบหาที่หลบเหมือนหนีโรคระบาด สถานการณ์จึงตึงเครียดกว่าเดิม
หลินเว่ยเว่ยเห็นการกระทำของเจ้าตัวประหลาดนั้นและมันกำลังตรงมาทางนี้พอดี…หรือจะพูดให้ถูกหน่อยคือเป้าหมายของมันมีเพียงหมินอ๋องซื่อจื่อ ส่วนพวกนางที่โชคไม่ดีก็บังเอิญอยู่ตรงกลางระหว่างสองฝ่ายพอดี
ขณะมองชาวบ้านที่อยู่ข้างหน้าไม่ไกลถูกโยนออกไปและตกลงมาตายคนแล้วคนเล่า หลินเว่ยเว่ยก็ยกร่างของทั้งสองคนที่กำลังตกตะลึงอยู่ แล้วเบียดชาวบ้านออกไปยังจุดที่นางคิดว่าปลอดภัย
แรงเยอะก็คือข้อได้เปรียบ หลินเว่ยเว่ยหอบทั้งสองคนออกไปจนเหงื่อท่วมกาย ในที่สุดก็มาถึงสถานที่มีผู้คนน้อย จุดนี้ไม่อยู่ในอาณาเขตของผู้ลอบสังหารและยังอยู่ห่างเจ้ายักษ์นั่นด้วย
หลินเว่ยเว่ยวางทั้งสองคนลง จากนั้นก็กลับเข้าสู่ฝูงชนอีกรอบ นางเข้าไปรับร่างหญิงคนหนึ่งที่ถูกโยนขึ้นฟ้า เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนั้นตกใจจนไม่เหลือสติ ตอนที่หลินเว่ยเว่ยวางตัวอีกฝ่ายลง ดวงตาอีกฝ่ายยังคงแข็งค้างแล้วทันใดนั้นก็หมดสติไปทันที หลินเว่ยเว่ยพาคนไปวางยังสถานที่ปลอดภัย จากนั้นก็ออกไปรับผู้เคราะห์ร้ายรายใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ชาวบ้านที่อยู่ค่อนข้างใกล้นางล้วนถูกนางช่วยไว้จนหมด ส่วนคนที่ถูกโยนไกลเกินไปก็มีฝูงชนรวมตัวรอรับ นางเองก็จนปัญญาเหมือนกัน ช่วยได้ไม่กี่คนก็ไม่กี่คนสิ ! ต่อมาชาวบ้านส่วนมากที่ถูกเจ้ายักษ์โยนออกไปก็ถูกหลินเว่ยเว่ยช่วยไว้ไม่น้อย
หมินอ๋องซื่อจื่อก็เห็นยักษ์ตัวนี้เหมือนกัน “มนุษย์โอสถ ? มนุษย์โอสถแห่งแดนใต้เหตุใดมาปรากฎตัวที่แดนเหนือ ? เทพธนูตงหูและมนุษย์โอสถแดนใต้ สองนักฆ่าปรากฎตัวขึ้นพร้อมกัน…เกรงว่าคราวนี้มีคนอยากให้ข้าตายอยู่ที่นี่ ! ”
องครักษ์จวนหมินอ๋องเผยสีหน้าเคร่งขรึม “มนุษย์โอสถแดนใต้มีเรี่ยวแรงมหาศาล ฟันแทงไม่เข้า ลือกันว่าจุดอ่อนเพียงอย่างเดียวคือดวงตา ซื่อจื่อขอรับ สุภาพชนควรอยู่ห่างจากอันตราย ท่านถอยออกไปก่อน ประเดี๋ยวข้าน้อยจะขวางมันไว้เอง ! ”
หมินอ๋องซื่อจื่อมีศักดิ์ศรีของตน การหลบหนีไม่ใช่นิสัยแน่นอน “เป้าหมายของมนุษย์โอสถคือข้า หากข้าหนีไปแล้ว ชาวบ้านนอกอำเภอนี้ต้องทุกข์ทรมานแน่นอน ! ข้าอยากรู้ว่ามนุษย์โอสถแดนใต้ผู้นี้จะร้ายกาจเพียงใด ! ”
กล่าวจบ เขาก็ตะโกนใส่เหล่าองครักษ์ “พวกเจ้าพาชาวบ้านโดยรอบออกไปอยู่ในที่ปลอดภัยก่อน เพื่อลดจำนวนผู้บาดเจ็บและล้มตาย ! ”
ยักษ์ตนนั้นเห็นเป้าหมายกำลังพุ่งมาทางมันจึงแสยะยิ้มอย่างดุดัน เมื่อเห็นหมินอ๋องซื่อจื่อเข้ามาพร้อมกระบี่ มันก็ไม่หลบแม้แต่น้อย เพียงเอื้อมมือออกไปจับกระบี่ไว้เท่านั้น
หมินอ๋องซื่อจื่อรู้ว่ามันไม่กลัวคมกระบี่และมีพละกำลังมหาศาลจึงเป็นธรรมดาที่จะไม่ปล่อยให้มันทำสำเร็จ เขาผ่อนแรงบนมือออกแล้วยกกระบี่พร้อมทะยานกายขึ้นฟ้า ต่อจากนั้นกระบี่ในมือก็ทำมุมทแยงแล้วพุ่งไปที่ใบหน้าของมนุษย์โอสถ
มนุษย์โอสถรีบใช้มือปกปิดดวงตาเอาไว้ เมื่อกระบี่เข้าไปกระทบมือของมันก็เหมือนสัมผัสโดนโล่จากเหล็กกล้า พลันเปล่งประกายไฟออกมา !
หัวหน้าองครักษ์และเหล่าองครักษ์อีกหลายนายก็พุ่งทั้งดาบทั้งกระบี่เข้ามาเหมือนกัน มนุษย์โอสถไม่หลบแต่อย่างใด เดิมทีผ้าบนร่างกายก็สกปรกอยู่แล้ว สภาพในตอนนี้ก็ย่ำแย่ยิ่งกว่าขอทาน แต่คมกระบี่เหล่านั้นไม่ทิ้งบาดแผลไว้บนร่างกายมันแต่อย่างใด
องครักษ์นายหนึ่งทะยานขึ้นหน้า แต่แล้วมนุษย์โอสถก็ใช้แขนอวบใหญ่ขวางคมกระบี่ของเขาไว้และองครักษ์ก็ถูกโจมตีกลับอย่างแรง เขากระอักเลือดแล้วลอยออกไปทันที
หมินอ๋องซื่อจื่อขมวดคิ้วพร้อมตะโกนออกมา “มนุษย์โอสถมีเรี่ยวแรงมหาศาล อย่าเข้าปะทะแบบตัวต่อตัว ร่างกายของมันไม่ยืดหยุ่น คอยหาทางก่อกวนมันไว้ แล้วค่อยหาโอกาสอีกรอบ ! ”
หมินอ๋องซื่อจื่อและเหล่าองครักษ์เดินวนไปเวียนมารอบมนุษย์โอสถ พอมันเอื้อมมือจะคว้า พวกเขาก็หลบ สมาธิของมนุษย์โอสถเปลี่ยนไปอยู่ที่คนอื่น พวกเขาก็จะรอโอกาสให้มีช่องโหว่แล้วเข้าจู่โจมทันที มนุษย์โอสถจำต้องหดมือเข้ามาเพื่อปกป้องดวงตาอีกครั้ง…
เรื่องก็เป็นเช่นนี้ ต่างฝ่ายต่างเดินทางมาสู่ทางตัน ตั้งแต่มนุษย์โอสถปรากฎตัวขึ้น เทพธนูตงหูก็หยุดลงมือราวกับเชื่อใจมนุษย์โอสถมากจนไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองลูกธนูของตนอีก
หมินอ๋องซื่อจื่อและมนุษย์โอสถยังสู้กันต่อไป สถานการณ์ดูเหมือนไม่มีผู้ใดได้เปรียบ แต่มนุษย์โอสถไม่รู้จักเหนื่อยล้า เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า หมินอ๋องซื่อจื่อและองครักษ์จะต้องเผยช่องโหว่แน่นอน
เป็นอย่างที่คิดว่าการเคลื่อนไหวขององครักษ์สองนายค่อย ๆ ช้าลง
หลินเว่ยเว่ยคิดในใจ ‘ซอมบี้ตัวนี้ ลองมางัดข้อกันไหมเล่า ดูสิว่าใครแรงเยอะกว่ากัน ! ’