ตอนที่ 259 ถามตอบ ไม่อาจปล่อยให้พวกเขาปฏิเสธ (2)
เรือนของหญิงสาวที่เขาเลี้ยงอยู่ด้านนอก อยู่ภายใต้ชื่อบุตรชายของหญิงสาวที่เลี้ยงเอาไว้ ส่วนเรือนของหญิงนางโลมที่ไถ่ตัวมาจากหอโคมเขียว คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเพียงเรือนที่เช่าอาศัย…
ที่ดินหนึ่งร้อยหมู่ เรือนหลังเล็ก จะมีมูลค่าเท่าใดได้! ไม่ถึงเศษเสี้ยวหนึ่งของเงินหนึ่งล้านตำลึง!
คิดคำนวณมาดีจริงๆ!
ตัวเขาปลอดภัย ไม่ถูกทำร้ายแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่ต้องคายเงินที่คดโกงคืนอีกด้วย
นึกถึงในตอนแรกเขาเป็นเพียงลูกชายของบ่าวรับใช้ที่คอยดูแลงานนอกจวน คอยช่วยดูแลงานในร้าน เมื่ออายุถึงวัยแต่งงาน มารดาของนางยกตงเหนียงสาวรับใช้คนสนิทให้แต่งงานกับเขา นอกจากนี้เพื่อให้เขาทำมาค้าขายสะดวก มีหน้ามีตา ไม่เพียงให้เขารับบิดามารดากับไปอยู่ด้วย ทั้งยังยกเรือนให้พวกเขาสองคนโดยเฉพาะ
อีกทั้งมารดาที่จากไปยังเมตตา เห็นแก่ที่พ่อบ้านเฟิงจงรักภักดีมาหลายปี เพื่อให้เขาตั้งใจทำงาน ตอนที่ตนไม่อยู่ในเมืองหลวง จึงยกสัญญาซื้อขายทาสให้เขา ท่านแม่ปฏิบัติต่อเขาอย่างดีที่สุด แต่…เขาเล่า…กลับตอบแทนท่านแม่เช่นนี้!
คิดคำนวณละเอียดเช่นนี้!
คนเนรคุณเช่นนี้ สมควรได้รับโทษ! หากไม่สืบจนรู้ว่ายังเหลือเงินอีกมากน้อยเท่าใด ถูกเขาซ่อนเอาไว้ที่ใด นางไม่มีวันรามืออย่างแน่นอน
บรรดาเถ้าแก่ต่างกระวนกระวาย เฟิงต๋าเริ่มอยู่ไม่นิ่งแล้ว ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยกลับจิบน้ำชาที่มั่วเหนียงยกมาให้อย่างนิ่งงัน ดวงหน้าของนางยังเคล้าไปด้วยรอยยิ้ม
วางแก้วลง นางคล้ายสนใจคำพูดของเฟิงต๋ายิ่งนัก “อืม…กิจการเริ่มดีขึ้นแล้ว? เช่นนั้น…ร้านค้าที่เถ้าแก่คนใดดูแลเริ่มดีขึ้นเล่า แล้วใช้แผนการค้าใดทำให้ร้านค้าที่ขาดทุนมานานติดต่อกันห้าปีกลับมาทำกำไรด้วยระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้”
เฟิงต๋าใบ้รับประทาน เห็นชัดว่าเขาคิดไม่ถึงว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะถามละเอียดเช่นนี้ สตรีที่ยังไม่ออกเรือน จะเข้าใจการค้าได้อย่างไร เขาพูดพร่ำเพรื่ออย่างไรก็ได้ ด้วยเหตุนี้เฟิงต๋าจึงมีความคิดบางอย่าง
“เทียนเซิ่งเซวียน” เฟิงต๋าเงยหน้าที่เมื่อครู่ก้มลงเพื่อแสดงความจงรักภักดีขึ้น ชี้ไปยังเถ้าแก่จาง “เป็นแผนการค้าที่เถ้าแก่จางคิดขอรับ เมื่อก่อนเทียนเซิ่งเซวียนรับซื้อภาพอักษรประดิษฐ์และโบราณวัตถุในราคาสูง ไม่ตรงกับความต้องการของตลาด ทำให้เงินค้างอยู่ที่นั่นมากเกินไป มักจะต้องขายภาพส่วนหนึ่งต่ำกว่าราคาซื้อเพื่อระบายภาพในคลัง ระยะที่ผ่านมาเพิ่งรับซื้อภาพอักษรประดิษฐ์จากจิตรกรทั่วไป ขายได้ดีประมาณหนึ่งขอรับ…”
เฟิงต๋าพูดร่ายยาว ทางด้านเถ้าแก่จางก็พูดเสริมตลอดเวลา ยามเขาพูดเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น ทำทีมั่นใจยิ่งนัก ว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ต้องเปลี่ยนจากขาดทุนมากำไรอย่างแน่นอน…
ตั้งแต่อดีตการค้าที่ขาดทุนที่สุดคือกิจการด้านวัตถุโบราณ ซื้อราคาสูงขายออกราคาต่ำ ตัวเลขต่างกันอย่างมาก สองคนนี้แสดงละครได้ดีเหลือเกิน แต่มั่วเชียนเสวี่ยฟังแล้วหงุดหงิดยิ่งนัก หากไม่ใช่ไม้แข็ง เกรงว่าพวกเขายังคงอยากเล่นลูกไม้
มั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะ จับจ้องที่เฟิงต๋าแล้วพูดทีละคำ อย่างประชดประชัน “เฟิงต๋า ท่านเห็นข้าอยู่ในระดับใดกันแน่ กระทั่งเวลานี้ยังคิดว่าข้าเป็นเด็กไม่รู้ความที่สามารถหลอกได้ง่ายๆ เช่นนั้นหรือ”
“ข้าถามใจตนแล้วไม่รู้สึกละอาย เฟิงต๋า…” เฟิงต๋าเห็นมั่วเชียนเสวี่ยไม่สนใจหลุมพรางที่เขาสร้างขึ้น จึงไม่รู้จะทำเช่นไร แต่สิ่งที่เขาช่ำชองที่สุดคือการแสดง ‘ความจงรักภักดี’ พูดถึง ‘ความผิดชอบชั่วดี’ ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน
สำหรับคนไร้ยางอายเช่นนี้ มั่วเชียนเสวี่ยนับถือจริงๆ
เมื่อวานมั่วเหนียงได้ยินคุณหนูบอกว่าเฟิงต๋าคดโกงเงินไปนับล้านตำลึง นางโมโหยิ่งนัก เวลานี้ไม่อาจอดทนต่อไปได้แล้ว เดินเข้าไปหาแล้วยื่นนิ้วชี้ออกไป ชี้หน้าด่าเฟิงต๋า “ความผิดชอบชั่วดี? เฟิงต๋าความผิดชอบชั่วดีของเจ้าถูกสุนัขคาบไปกินนานแล้ว!”
มั่วเหนียงชี้หน้าเขาแล้วด่ากราด มั่วเชียนเสวี่ยเองก็ไม่คิดจะอ้อมค้อมกับเขา “เฟิงต๋า ข้าให้โอกาสเจ้าครั้งสุดท้าย ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เงินที่เจ้าคดโกงไปเก็บไว้ที่ใด พวกเจ้าก็เช่นเดียวกัน หากยอมคืนเงินให้ข้า วันนี้หลังออกไปจากที่นี่ ระหว่างเราไม่มีสิ่งใดติดค้างกัน แต่หากไม่ยอมคืน อย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน”
“คุณหนูใหญ่ คุณหนูต้องการจะครหาเฟิงเต๋าเช่นนั้นหรือ เฟิงต๋ามีเพียงที่นาหนึ่งร้อยหมู่ เรือนหนึ่งหลัง ไม่มีทรัพย์สินมากกว่านี้แล้วขอรับ การที่ดูแลจัดการร้านค้าได้ไม่ดี เฟิงต๋าทำผิดต่อหน้าที่ที่ฮูหยินมอบให้ก็จริง แต่หากจะกล่าวโทษเฟิงต๋าว่าคดโกงด้วยเหตุผลนี้ ใคร่จะสาดโคลนเสียแก่เฟิงต๋า เฟิงต๋าไม่ยอมขอรับ!”
ขณะพูด เฟิงต๋าทั้งเสียใจและโมโห เขาเหยียดกายลุกขึ้น คล้ายถูกป้ายสีจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น คล้ายคับข้องใจยิ่งนัก
หากไม่ใช่เพราะมีหลักฐานอยู่ในมือ ไม่แน่มั่วเชียนเสวี่ยอาจจะเชื่อสิ่งที่เขาพูดแล้วก็ได้
ชั่วขณะหนึ่ง นางหัวเราะหึในลำคอ “เจ้าไม่ยอม?”
“ด้วยถ้อยคำเดียวของคุณหนูก็กล่าวโทษว่าข้าเฟิงต๋าไร้คุณธรรม เฟิงต๋าย่อมไม่ยอม หากคุณหนูต้องการจะกล่าวโทษเฟิงต๋าจริงๆ ก็ต้องนำหลักฐานออกมา เฟิงต๋าไม่ใช่บ่าวรับใช้ในจวนกั๋วกงที่คุณหนูใหญ่จะทุบตีและฆ่าฟันได้ตามต้องการ”
เวลานี้เฟิงต๋าอกผายไหล่ผึ่ง ถ้อยคำที่พูดเสียงดัง หนักแน่น ทำทีว่าหากมั่วเชียนเสวี่ยไม่ให้คำตอบกับเขา เขาจะไม่ยอมง่ายๆ ไม่มีความเคารพแม้แต่น้อย
เถ้าแก่จางและเถ้าแก่คนอื่นๆ รวมถึงเถ้าแก่ทั้งสองคนที่ก่อนหน้านี้ตกใจจนคุกเข่าบนพื้นต่างเหยียดกายลุกขึ้น ฟังเฟิงต๋าพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเช่นนี้ พวกเขามองตากัน ชั่วขณะหนึ่งต่างเผยความไม่พอใจ
“คุณหนูใหญ่ปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ พ่อบ้านเฟิงเป็นคนคอยดูแลจัดการเรื่องทุกอย่าง ตั้งแต่โบราณ โลกแห่งการค้าขายเปรียบดังสนามรบ ผู้ใดแพ้ผู้ใดชนะยังไม่อาจพูดได้…”
“คุณหนูใหญ่ไม่อาจสาดโคลนเสียให้พวกข้า แค่เพราะขาดทุน เมื่อเป็นเช่นนี้ จะมีผู้ใดกล้าทำงานรับใช้คุณหนูใหญ่…”
“คุณหนูใหญ่ ภัยพิบัติและการกระทำของมนุษย์ยากจะหลีกเลี่ยง พวกข้าเป็นเพียงคนธรรมดาไม่อาจฝืนลิขิตสวรรค์…”
พวกเขาต่างพากันพูด โดยไม่เห็นมั่วเชียนเสวี่ยที่เป็นนายอยู่ในสายตา มั่วเชียนเสวี่ยชำเลืองมองมั่วเหนียงที่รับใช้อยู่ข้างกายครู่หนึ่ง มั่วเหนียงพยักหน้า ฉึบ เสียงดังขึ้น ดึงกระบี่ออกมาจากฝัก
กระบี่ถูกดึงออกมา ภายใต้การขับเคลื่อนด้วยพลังปราณของมั่วเหนียง กระบี่ส่งเสียงหึ่งๆ
ทุกอย่างเงียบสงัดทันที แม้เถ้าแก่เหล่านั้นจะมีประสบการณ์และผ่านโลกมามาก ทว่าไม่ได้เป็นคนมีวรยุทธ์ ยิ่งไปกว่านั้น ท่ามกลางพวกเขา มีใครบ้างที่ไม่เคยได้ยินเรื่องอันเลื่องลือของมั่วเชียนเสวี่ย
วันแรกที่กลับเข้าเมืองหลวง มั่วเหนียงและองครักษ์ที่ติดตามอยู่ข้างกายสังหารคนนับสิบ แม้แต่ฮ่องเต้ก็ไม่กล้ากล่าวโทษ เพียงมีรับสั่งกักบริเวณในจวนเจ็ดวันเท่านั้น
เวลานี้ พวกเขาเพิ่งคิดปะติดปะต่อระหว่างมั่วเชียนเสวี่ยในสายตาพวกเขา กับคุณหนูใหญ่แห่งจวนกั๋วกงที่สั่งฆ่าคนด้วยความนิ่งงันเข้าด้วยกัน
สตรีคนนี้ ไม่ใช่สตรีอ่อนแอคนเดิมที่พ่อบ้านเฟิงเคยเจอเมื่อหลายปีก่อนอีกแล้ว แต่เป็นสตรีชั้นสูงที่พร้อมจะสั่งฆ่าคนได้ทุกเมื่อ
ลำแสงกระบี่เจิดจ้า เถ้าแก่ทั้งหลายต่างถอยหลังหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว ทว่าเฟิงต๋ากลับนิ่งงัน
มั่วเชียนเสวี่ยฆ่าฟันชาวบ้าน เฟิงต๋าเข้าใจมาตลอดว่าเรื่องนี้กล่าวเกินจริง พูดต่อกันเป็นทอดๆ เนื้อความจึงผิดเพี้ยน
เมื่อก่อนทุกครั้งที่เขารายงานสถานการณ์ของร้านค้า มีครั้งใดบ้างที่คุณหนูไม่หลบอยู่หลังฮูหยิน ตัวสั่นเทาหวาดกลัวในการพบเจอคน
มนุษย์เราแม้จะเติบโตแล้ว แต่ความขวัญอ่อนในจิตใจย่อมไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เรื่องในวันนั้น เกรงว่าพวกขอทานพุ่งตัวมาชิงข้าวของ จึงถูกสตรีเหี้ยมโหดอย่างมั่วเหนียงและองครักษ์ที่คอยคุ้มกันคุณหนูใหญ่สังหารเท่านั้น มิเช่นนั้นเหตุใดฮ่องเต้จึงไม่สืบสาวเอาความ
คิดอยากทำให้เขาตกใจ? แค่เพียงการแสร้งวางมาดเหี้ยมโหดของหมัวมัวแก่ชราคนหนึ่งเท่านั้น?!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฟิงต๋าไม่ถอยแต่กลับเดินเข้ามาใกล้ “หรือว่าคุณหนูคิดอยากจะสังหารคนเพื่อระบายความขุ่นเคืองเช่นนั้นหรือ คนแซ่เฟิงผู้นี้คือปุถุชนคนธรรมดา มีเถ้าแก่ทุกคนเป็นพยาน อีกทั้งข้าผู้แซ่เฟิงจงรักภักดีต่อฮูหยินมาโดยตลอด…” หรือว่านางกล้าสังหารพวกเขาทั้งเก้าคนขณะกักบริเวณตามรับสั่งของฮ่องเต้เช่นนั้นหรือ